วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

03/04/2556


..........................................................................................................................





เสียงข้างมากอาจผิดได้ กระทั่งเลวร้ายได้ เป็นความจริง.....

แต่การให้อำนาจเด็ดขาดโดยพลการแก่เสียงข้างน้อยเหนือเสียงข้างมาก ด้วยข้ออ้างว่าเสียงข้างน้อยเป็นคนดีกว่าและมีความเป็นไทยมากกว่าเสียงข้างมากนั้น พิสูจน์ตัวมันเองแล้วว่าไม่ work มันไม่สามารถทดแทนความชอบธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และไม่อาจเป็นที่ยอมรับของเสียงข้างมากโดยสมัครใจในสังคมวัฒนธรรมที่เปิดกว้างแตกต่างหลากหลายได้ รังแต่นำไปสู่การประท้วงต่อสู้รุนแรง สร้างความหายนะบอบช้ำเสียหายไม่รู้จบแก่บ้านเมือง

ไม่มีทางออกอื่นนอกจากเดินตามวิถีเสรีประชาธิปไตย เสียงข้างมากจะเห็นว่าตัวเองผิดได้ เข้าใจว่าอะไรเลวร้ายได้ ก็ด้วยประสบการณ์ บทเรียนและการเรียนรู้ด้วยตัวเสียงข้างมากเองในกระบวนการเสรีประชาธิปไตยเท่านั้น ไม่มีทางลัดหรือวิธีหรือครูหรือผู้ปกครองผู้รู้ดีคนอื่

สิ่งที่เสียงข้างน้อยที่เชื่อว่าตัวเองถูกสามารถทำได้ คือยืนหยัดคัดค้านอย่างสันติวิธีด้วยวิธีการอันชอบธรรมตามกฎกติกาเสรีประชาธิปไตย (ที่ซึ่งสิทธิเสรีภาพขั้นมูลฐานของบุคคลและเสียงข้างน้อยได้รับการปกป้องคุ้มครอง มิให้อำนาจรัฐของเสียงข้างมากล่วงล้ำข้ามเส้น) พร้อมจะแพ้ พร้อมจะเรียนรู้ปรับแต่งความคิดไปด้วยกันกับเสียงข้างมาก และรักษาสิทธิ์เสรีภาพต่าง ๆ ของเสียงข้างน้อยที่พ่ายแพ้ไว้ รณรงค์เผยแพร่ความเห็นความรู้ที่คิดว่าถูกต้องจนกว่าจะเปลี่ยนใจเสียงข้างมากได้

แต่ไม่ใช่ไปทำลายระบอบเสรีประชาธิปไตยในนามของความดีหรือความเป็นไทย เพราะความดีหรือความเป็นไทยที่เป็นปฏิปักษ์กับสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ที่การสงวนรักษามันไว้จะต้องทำลายสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยลงไปนั้น จะรักษาไปเพื่ออะไร? จะรักษามันไว้ทำไม? จะรักษาไว้ได้อย่างไร?

........................................................................................................................

clip อาจารย์ปวิน บรรยายวิชาการที่ Chicago หัวข้อชวนเก้าอี้-กาแฟมาก 5555

Part1 : http://www.youtube.com/watch?v=GqUk8Rz1l6E
Part2 : http://www.youtube.com/watch?v=cWSmM_xmfao

.........................................................................................................................




#### ผักชีล้างไต จริงหรือไม่ อันตรายแค่ไหน ?? ####

กระแสการแชร์เรื่องนำผักชีมาล้างไตไม่ได้เริ่มที่ไทยแต่มีมาจากเมืองนอก ลิงค์ที่ส่งกันมา

http://ac127.wordpress.com/2012/02/23/ผักชี-ช่วยล้างไต-clean-your-kidneys-in-rs-1-00-or-even-less/

>> มาทำความเข้าใจกับโรคไตวายก่อนจะไปล้างมันกัน

โรคไตวายเกิดจากการทำงานที่เสื่อมถอยลง ในหน้าที่หลักของไตได้แก่
- การควมคุมของเสียไนโตรเจนในร่างกาย ( Blood urea nitrogen)
- การควบคุมสมดุลกรดเบสในร่างกาย (Acid base regulation )
- การควบคุมสมดุลน้ำในร่างกายไม่ให้เกิดน้ำเกินหรือขาด (volume regulation)
- การควบคุมความสมดุลเกลือแร่ฟอสเฟต แคลเซียม แมกนีเซียม
- การกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ( คนไข้ไตวายเรื้อรังจึงซีดด้วย) ( Erythropoeitin )

>> โดยไตมักมีสาเหตุเสื่อมการทำงานลงจากโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือโรคไตโดยตรง

>> การรักษาโรคไตจึงแบ่งคร่าวๆ ให้เข้าใจง่ายๆสามช่วง
- ช่วงที่ 1 : ช่วงก่อนไตจะวายแต่มีความเสี่ยงที่จะวาย
เช่น คนเป็นโรคความดัน โรคเบาหวาน : ช่วงนี้แพทย์มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ไตเสื่อมลง โดยคุมระดับความดันและเบาหวานให้ปกติที่สุด

- ช่วงที่ 2 : ช่วงไตวายระยะแรกๆ
ผู้ป่วยจะยังพอสามารถขับของเสียได้ แต่ต้องมีการให้ยา เข้าไปช่วยเพื่อคุมภาวะเกลือแร่ต่างๆให้สมดุล และอาจจะให้ยาขับปัสสาวะด้วย หากมีความไม่สมดุลของปริมาณน้ำมีน้ำเกินหรือบวม หรือเกลือแร่ที่ผิดปกติคั่งมากเกินเช่นโพแทสเซียมสูง

- ช่วงที่ 3 : ช่วงไตวายระยะท้าย
ไตจะไม่สามารถทำงานได้เพียงพอ หากปล่อยไว้จะเสียชีวิตจากน้ำเกิน , เลือดเป็นกรด ,ของเสียคั่งในเลือด ในขั้นนี้ยาต่างๆที่กินจะไม่เพียงพอกับการคงสมดุลไว้ ต้องใช้สิ่งที่จะมาทำหน้าที่แทนไตเดิมที่เสียไปแล้ว ได้แก่ ล้างไตทางเส้นเลือด ( เหมือนให้ตัวกรองและเครื่องยนต์ทำหน้าที่แทนไต) ล้างไตทางหน้าท้อง ( ให้ผนังและน้ำในช่องท้องทำหน้าที่กรองของเสียแทน ) หรือสุดท้ายปลูกถ่ายไตใหม่ที่ยังทำงานดีมาแทน

### ทำไมถึงคิดว่าผักชีล้างไตได้ ? ###
เพราะมีคนสังเกตเรื่องผักชีมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะมาตั้งแต่อดีต และมีการศึกษาพบว่าสารในผักชีที่ออกฤทธิ์นี้คือ apiol and myristicin การทดลองในหนูทดลองพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของปัสสาวะจริงในหนูที่ได้สารสกัดจากผักชี แต่ไม่เห็นการทดลองในมนุษย์นะ

การทดลอง : http://www.ncbi.nlm.nih.gov/m/pubmed/11849841/

>> คนที่เข้าใจว่าไตเหมือนท่อระบายน้ำเสีย ก็คิดว่าถ้ายิ่งขับปัสสาวะออกได้มากๆ ก็เหมือนเร่งล้างของเสียออกจากร่างกาย หรือเหมือนได้กระตุ้นการทำงานไตให้ทำงานดีขึ้น จึงมีการนำผักชีมารักษาโรคไตวาย และ โรคนิ่วในไตตั้งแต่อดีต

>>> แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ !!! ไตทำหน้าที่ที่ซับซ้อนหลายอย่างมากกว่านั้นตามที่กล่าวมาข้างต้น แพทย์แผนปัจจุบันเน้นการทดแทนหน้าที่ที่เสียไปนี้ และรักษาความสมดุลต่างๆที่ไตทำไว้ ไม่ใช่ว่าจะใช้ยาขับปัสสาวะอย่างเดียว หรือแม้แต่ไตวายระยะหลังๆยาขับปัสสาวะก็ไม่ได้ช่วยในการกรองของเสีย หรือเพิ่มปัสสาวะได้อีกเลย

### อันตรายจากผักชี !!!! ###
หนึ่งในสาเหตุการตายที่สำคัญของคนไข้ไตวายเรื้อรังคือ ไตขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายไม่ทัน เกิดโพแทสเซียมในเลือดสูง สิ่งนี้ไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและหยุดเต้นได้
แพทย์จึงระวังเรื่องการตรวจดูค่าโพแทสเซียมในเลือดผู้ป่วยเสมอ และแนะนำการหลีกเลี่ยงอาหารบางอย่างที่มีโพแทสเซียมสู งโดยมีการแนะนำจากสมาคมโรคไตดังนี้

การรับประทานผักและผลไม้ในโรคไต
http://www.siamkidney.org/index.php?option=com_content&view=article&id=36%3A2011-05-12-11-09-25&catid=17%3A2011-09-06-03-40-02&Itemid=41

>> ผักชีติด”อันดับหนึ่ง” ของผักที่มีโพแทสเซียมสูง นับว่าอันตรายมากๆๆๆๆๆ แพทย์โรคไตแทบจะลมจับเมื่อเห็นกระแสการแชร์กินผักชีล้างไต ยิ่งวิธีการนำผักชี 1 กำมาทำให้เป็นน้ำเข้มข้น 1 แก้วนี่อีก

อย่างเคยนะครับจากการ search ด้วยคำของผักชี Parsley (ภาษาอังกฤษ) และ Petroselinum crispum ( ชื่อวิทยาศาสตร์ ) ในเวบ pubmed.com ยังไม่พบการศึกษาในมนุษย์ที่รับรองการใช้รักษาล้างไต หรือคนไข้ไต

>>> สรุปคำแนะนำจากอายุรแพทย์โรคไตนะครับ การกินน้ำผักชียังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะชะลอ หรือรักษาล้างไตในคนไข้ที่เป็นไตวายเรื้อรังได้ ฤทธิ์ของผักชีที่เป็นการขับปัสสาวะไม่อาจทดแทนการรักษาแผนปัจจุบันที่ใช้ยาและการล้างไตหรือปลูกถ่ายไตในการปรับสมดุลของเสีย เกลือแร่ และน้ำให้กับผู้ป่วย และการกินผักชีปริมาณมากอาจมีอันตรายถึงชีวิตจากค่าโพแทสเซียมที่สูงขึ้นครับ <<<<

อันนี้จากสมาคมโรคไตตัวเต็มสำหรับอ่านแนวทางการปฏิบัติตัวและการเลือกอาหารให้ผู้ป่วยโรคไตครับ
http://www.nephrothai.org/nephrothai_boffice/images_upload/news/186/files/อาหารระยะก่อนล้างไต-อ%20ชวลิต%20-%2053%20หน้า.pdf

สนับสนุนข้อมูลโดย Dr. Oatega Spartan ( นามสมมติ ) อายุรแพทย์โรคไต

...........................................................................................................................





วุฒิสภาไทยอยู่ตรงไหน

======
หมายเหตุ: ดังที่ทีมงานได้พูดเสมอถึงการเปิดกว้างให้ผู้อ่านส่งข้อมูลเข้ามาแบ่งปัน โพสต์นี้คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมชิ้นแรกที่ผู้อ่านของเราเป็นผู้ตระเตรียมข้อมูลและเขียนเนื้อหาขึ้นมาเองทั้งหมด ทีมงานทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและเรียบเรียงใหม่ให้กระชับมากขึ้น
======

ผู้สนใจการเมืองหลายคนมักสงสัยว่าเอาเข้าจริงๆแล้ว วุฒิสภาคืออะไร ไม่มีวุฒิสภาได้หรือไม่ ที่มาของวุฒิสภามาจากไหน ประเทศอื่นๆเขามีวุฒิสภากันหรือไม่ และหน้าตาเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับวุฒิสภาของประเทศไทย

วุฒิสภาหรือสภาสูง เป็นหนึ่งในสถาบันการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยเกิดขึ้นในสมัยโรมันตั้งแต่ 735 ปีก่อนคริสตกาล คำว่าวุฒิสภา (senate) มาจากภาษาละตินว่า senax แปลว่า ผู้อาวุโส เป็นที่คาดหวังของสังคมว่าจะเป็นสถาบันการเมืองที่มีอาวุโส เป็นที่ปรึกษา ให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อสภาผู้แทนราษฎร

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่ในโลกไม่มีวุฒิสภา มีเพียง 80 ประเทศในโลกเท่านั้นที่มีวุฒิสภา ในขณะที่ 114 ประเทศเลือกที่จะมีสภาผู้แทนเพียงสภาเดียว ตัวอย่างประเทศที่ยกเลิกวุฒิสภาไปหลังจากที่เคยมี เช่น นิวซีแลนด์ ยกเลิกวุฒิสภาในปี ค.ศ. 1950, เดนมาร์กในปี ค.ศ. 1954, สวีเดนในปี ค.ศ. 1970 และไอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1991 ส่วนประเทศเกิดใหม่หลายประเทศในโลกก็เลือกที่จะมีสภาผู้แทนราษฎรเพียงสภาเดียวมาตั้งแต่แรก เช่น อังโกลา บัลแกเรีย โคโมรอส โครเอเชีย จอร์เจีย มาลาวี หรือล่าสุดได้แก่ ติมอร์-เลสเต [1]

ประเทศที่เลือกจะไม่มีวุฒิสภามองว่า การมีสภาผู้แทนราษฎรเพียงสภาเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการเป็นตัวแทนของประชาชนในฐานะที่เป็นองค์กรที่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชน การตัดสินใจใดๆ ในสภาผู้แทนจึงไม่น่าจะถูกขัดขวางจากสภาอื่นที่ไม่ได้มาจากประชาชน อีกทั้งการมีสภาเดียวจะยังทำให้ตรวจสอบได้ง่ายกว่า ประหยัดกว่า และรวดเร็วกว่า

ส่วนประเทศที่เลือกที่จะมีวุฒิสภาส่วนใหญ่จะจำกัดอำนาจวุฒิสภาไว้มากกว่าสภาผู้แทนราษฎร เช่น วุฒิสภาในประเทศอังกฤษได้ถูกจำกัดอำนาจลงอย่างมากมายหลังจากมีการประกาศพระราชบัญญัติ Parliamentary Acts ในปี ค.ศ. 1911 และ 1949 แม้บางประเทศจะให้วุฒิสภาซึ่งมีที่มาจากการเลือกตั้ง เช่น ประเทศญี่ปุ่นไม่ให้วุฒิสภาควบคุมการงบประมาณของประเทศ

ในประเทศไทยนั้นได้กำหนดให้มีวุฒิสภาเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 โดยในสมัยนั้นเรียกว่า พฤฒิสภา และมาจากการเลือกตั้ง แต่เนื่องจากบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญกำหนดให้ในระยะแรกพฤฒิสภามาจากการแต่งตั้ง จึงไม่ได้มีการเลือกตั้งพฤฒิสภาจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ [2]

ปี พ.ศ. 2490 รัฐธรรมนูญไทยได้กำหนดให้มีสมาชิกวุฒิสภาเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมาจากการเลือกตั้งโดยพระมหากษัตริย์ [3]

ต่อมาในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2492 ได้กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามีจำนวน 100 คน กำหนดไว้ว่าต้องมีความรู้ความสามารถ และอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป [4]

หลังจากนั้นประเทศไทยได้กลับไปใช้ระบบสภาเดี่ยว สลับกับสองสภา โดยปกติในรัฐธรรมนูญที่มีที่มาจากการรัฐประหาร ได้แก่ รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2495, 2502, 2515, 2519, 2534 และ 2549 [5][6][7][8][9][10] มักกำหนดให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพียงสภาเดียว และไม่มีวุฒิสภา แต่ถ้ามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง ก็มักจะมีวุฒิสภามาประกบ เช่น ในรัฐธรรมนูญ 2511, 2517, 2521 และ 2534 [11][12][13][14]

ในปี พ.ศ. 2540 รัฐธรรมนูญไทยได้กำหนดให้มีวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก และอำนาจหน้าที่เปลี่ยนไปมาก เพราะนอกจากจะมีหน้าที่กลั่นกรองร่างกฎหมายและควบคุมตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ยังมีหน้าที่พิจารณาเสนอแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระของรัฐตามรัฐธรรมนูญ อีกด้วย [15]

ในปี 2550 รัฐธรรมนูญ [16] ได้ย้อนกลับไปกำหนดให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งผสมกับการแต่งตั้ง โดยผู้สมัคร สว. ที่จะได้รับการสรรหาจะมี 5 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มภาควิชาการ ภาคองค์กรเอกชน ภาครัฐ และภาคอื่น ๆ และได้รับการคัดเลือกโดยคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาจํานวน 7 คนคือ

1. ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
2. ประธาน กกต.
3. ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน
4. ประธาน ปปช.
5. ประธาน คตง.
6. ผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกมา 1 คน
7. ผู้พิพากษาศาลปกครองสูงสุดซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดเลือกมา 1 คน [17]

ในทางกลับกัน หากไปดูที่มาของคณะกรรมการสรรหาวุฒิสภาทั้ง 7 ตำแหน่ง ก็น่าสังเกตว่า ตำแหน่งเหล่านี้ล้วนมีที่มาจากการคัดเลือกโดยวุฒิสภาเช่นกัน

................................................................................................................


เรื่องรัฐธรรมนูญ และ ตลก. นี่ด่าไปหลายครั้งมากแล้วจนเลิกตามข่าวไปนาน

ผมไม่ใช่นักกฎหมาย และผมเชื่อว่าเรื่องเทคนิค แทคติก มันไม่ได้สำคัญเท่าหลักการ

สรุปหลักการง่ายๆที่ผมยึดถือได้ว่า รธน. ไม่ใช่ไบเบิ้ล หรือ พระไตรปิฎก มันไม่ใช่เอกสารที่พูดเรื่องศีลธรรมความดี มันคือเอกสารที่เอาไว้กำหนด "กติกาอำนาจทางการเมือง" และการเมืองคือเรื่องของ "ผลประโยชน์" ล้วนๆ

สำหรับประเทศไทยก็เห็นกันดีว่าอำนาจมาจากหลายทาง ทั้งการเลือกตั้ง และลากตั้ง คำถามที่สำคัญคือแล้วอำนาจ "สูงสุด" ของประเทศนี้ควรเป็นของใคร? --- คนอื่นจะตอบยังไงผมไม่รู้ แต่ผมขอตอบว่าเป็นของประชาชน

ดังนั้น ประชาชนนี่แหละคือต้นกำเนิดอำนาจ ประชาชนก็ควรมีอำนาจเต็มที่ที่จะปรับแก้ "กติกา" ที่ตนเองตกลงร่วมกันไว้ ไม่ว่ารัฐบาลหรือศาลก็ล้วน "อยู่ใต้" รัฐธรรมนูญทั้งนั้น

ยิ่งถ้าการปรับแก้มันทำให้ประชาชนมีอำนาจมากขึ้น อำนาจจากการลากตั้งลดลง ยิ่งควรสนับสนุน

ส่วนถ้าปรับแล้ว อำนาจจากประชาชนมันจะไปเข้าทางใคร ปีศาจที่ไหนจะได้ดิบได้ดี นั่นก็เป็นสิทธิที่ประชาชนไทยจะตัดสินกันเอง เทวดาหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิเสือกครับ

ไม่ว่าทหาร สว หรือใครก็ตาม ถ้าอยากมีอำนาจ ก็ไปเลือกตั้ง เอาใจ "ประชาชน" ครับ แล้วประชาขนจะเลือกคุณมึงเข้ามามีอำนาจเอง

หลักการมันก็ง่ายๆแค่นี้ พูดได้เต็มปากโดยไม่ต้องดูหน้าเลยว่าใครจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล

................................................................................................................................


"งานวิจัย" กับ "ความกล้าหาญ"

งานวิจัยอาจไม่ค่อยเข้ากับสังคมไทยสักเท่าไหร่ ถ้าคงความหมายแบบวิชาการมากเกินไป แต่ถ้ายกตัวอย่าง โครงการในพระราชดำริต่างๆ ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งขึ้น เพื่อแก้ปัญหาให้กับราษฎร คนไทยจะมองภาพออก จริงๆ แล้วเป็นตัวอย่างงานวิจัยที่เยี่ยมเลยทีเดียว ถ้ามาคิดกันเล่นๆ จะพอมีใครกล้าหาญจะทำงานวิจัยต่อไปนี้บ้างครับ

งานวิจัยเกี่ยวกับการเปรียบเทียบสารอาหารระหว่างไข่กับซุปไก่สกัด อะไรให้คุณค่าและคุ้มค่ากว่ากัน (เคยอ่านงานวิจัยชิ้นหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วซุปไก่สกัด 28 ขวดถึงจะมีคุณค่าเท่าไข่ 1 ฟอง ปัจจุบันคงไม่มีใครกล้าทำ เพราะบริษัทผลิตซุปไก่ได้เงินมหาศาลมีอำนาจทางการตลาดเยอะมาก)

งานวิจัยยาใหม่ที่พึ่งผลิตออกสู่ตลาด ดีกว่ายาเก่าจริงหรือไม่ เพราะยาออกใหม่ต้องลงทุกมากในคิดค้น และทำตลาด งานวิจัยที่ใช้ในคนจึงต้องจ้างนักวิชาการหาเหตุผลให้มันดีกว่าเดิม ทั้งที่จริงแล้วอาจมีผลข้างเคียงอันตรายที่ยังค้นไม่พบ แต่ต้องวางตลาดไปก่อนเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า

งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้งบประมาณของชาติในโครงการต่างๆ ได้ประโยชน์คุ้มเงินลงทุนหรือไม่ และเงินหาย(เข้ากระเป๋าใครบางคน)ไประหว่างดำเนินการกี่เปอร์เซ็นต์

งานวิจัยเกี่ยวกับเครื่องสำอางที่อ้างว่ามีความสามารถร้อยแปดประการที่ทำให้ผู้หญิงสวยขึ้น จริงๆ แล้วทำได้จริงหรือไม่ และราคาที่ตั้งไว้แพงอย่างที่ขายจริงหรือเปล่า

พี่วินทร์คิดอย่างไรกับงานวิจัยที่ผมลองคิดเล่นๆ แล้วพี่วินทร์อยากทำงานวิจัยอะไรบ้างครับ(ไม่ใช่ที่ผมยกตัวอย่างก้อได้ครับ)...smptong

ตอบ...

ผมอยากให้มีการวิจัยเรื่อง :

- ทำไมคนไทยไม่ชอบคิด

- ทำไมคนไทยไม่เคยเรียนบทเรียนจากอดีต

- ทำไมคนไทยเชื่อง่าย

นี่ไม่ได้ประชดใครนะครับ อยากรู้จริงๆ เพราะผมวิเคราะห์ไม่ออกเลย

คุยกับวินทร์, 19 สิงหาคม 2554
http://www.winbookclub.com/takedetail.php?quizid=394

.............................................................................................................................


ระบบการศึกษาไทย

อาวินทร์คิดอย่างไรกับระบบการศึกษาไทยกับสถาบันกวดวิชาครับ คิดว่ามันเป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทยหรือเปล่าครับ เห็นมีการทำสถิติเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้วพบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโรงเรียนกวดวิชามากเป็นอันดับต้นๆของโลกด้วยสิ...Arbell

ตอบ...

โดยส่วนตัวผมไม่ชอบการกวดวิชาครับ หากต้องเรียนกันบ้าเลือดแบบนี้ ก็ไม่สนุกแล้ว มันเหมือนการแย่งชิงอะไรสักอย่า

ผมสังเกตดูสิงคโปร์ ประเทศที่การศึกษาอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก ก็ไม่เห็นมีสถาบันกวดวิชาเหมือนบ้านเรา แต่หลักสูตรของเขาเข้มข้นพอที่จะแข่งกับโลกได้อยู่แล้ว

สิ่งที่ผมว่าประหลาดก็คือ สถาบันกวดวิชาไม่ได้สอนให้คนเป็นคนที่มีปัญญา แค่สอนให้สอบเข้าโรงเรียนกับมหาวิทยาลัยชั้นนำเท่านั้น พอจบการแข่งขันก็จบกัน ผมอยากให้สร้างสถาบันเสริมปัญญามากกว่า ทั้งทางการเสริมความรู้รอบตัว ศิลปะ วรรณกรรม ฯลฯ

ก็เข้าใจนะครับว่าใครๆ ก็อยากเข้าโรงเรียนดี และอยากปลอดภัยไว้ก่อน แต่ค่านิยมแบบนี้ไม่เกิดอะไรดีในระยะยาว ตรงกันข้ามเราจะเป็นสังคมแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา

คุยกับวินทร์, 15 สิงหาคม 2554
http://www.winbookclub.com/takedetail.php?quizid=347


.....................................................................................................................


แบบนี้สิพระเอกตัวจริง ชอบมาก ๆ *


http://www.facebook.com/photo.php?v=537499519627351

....................................................................................................................


........................................................................................................................


เรื่องนี้ ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อนนะครับ
เรื่องนั้น ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อนนะครับ
เรื่องโน้น ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อนนะครับ

คือถ้าจะทำอะไรก็ต้องผ่านศาลรัฐธรรมนูญหมด มึงไม่เอา ศาลรัฐธรรมนูญมาบริหารประเทศไปเลยละวะ ไม่ต้องไปมีแม่งเลือกตั้ง ไม่ต้องมาเหนียมอายกันแล้ว สัส


.......................................................................................................................



..........................................................................................................................




Ketsara Walundet


ทุกจังหวะของชีวิตมีเหตุผล...และมีที่มาที่ไปอย่างมีท่วงทำนอง

ดังนั้น ไม่ต้องเร่ง เร่งร้อน แค่เต็มที่กับทุกอย่างก็พอ
เกสรา
03.04.2013


............................................................................................................................


เรื่องนี้รับรู้มานานละ แต่เห็นทำเป็นรูปน่ารักดี เลยแชร์เก็บไว้





ต่อจากเมื่อคืนนี้ครับ .... ที่จะแชร์ให้ฟังวันนี้มีเป็นทฤษฏีมีชื่อว่า ทฤษฎีลิง 5 ตัว .... เป็นการทดลองในปี 1966 เพื่อศึกษาการควบคุมลิง โดยการทดลองเริ่มจาก นำลิง 5 ตัวมาใส่ในห้องทดลองเดียวกัน แล้วมีบันไดตั้งอยู่กลางห้อง ที่สุดบันไดมีกล้วยอยู่สำหรับล่อลิงให้ปีนขึ้นมา หากมีลิงตัวใดตัวหนึ่งปีนขึ้นมา จะมีน้ำเย็นจากฉีดลงมาจากเพดานใส่ลิงที่เหลือ ... ทำไปสักพัก ลิงจะรู้ว่า ถ้ามีใครปีนบันได พวกมันทีเหลือจะถูกฉีดน้ำแน่ ๆ ดังนั้นเมื่อมีตัวไหนพยายามปีนบันได ตัวที่เหลือก็จะจัดการทันที สรุปสุดท้าย ก็จะไม่มีลิงตัวไหนพยายามปีนบันไดอีกเลย ....

การทดลองยังไม่จบ ต่อมาก็นำลิงตัวออก 1 ตัวแล้วเอาลิงใหม่ใส่เข้าไปแทนที่ ลิงใหม่จะไม่รู้เรื่องก็จะวิ่งไปปีนบันได ลิงเก่าทั้งสีก็จะวิ่งเข้าตีลิงใหม่ โดยที่ลิงใหม่ก็จะส่งสายตาถามว่าตีฉันทำไมว้าาาา .... สุดท้ายลิงตัวใหม่ก็จะไม่กล้าปีนบันไดอีก ....

การทดลองก็จะเอาลิงเก่าออกอีก แล้วเอาลิงตัวใหม่ใส่เข้าไป เหตุการณ์ก็จะเป็นเหมือนเดิมอีก คือลิงใหม่จะวิ่งไปปีนบันได แล้วลิงตัวที่เหลือ ก็จะรุมเข้าตี ทำการเปลี่ยนลิง จนไม่เหลือลิงชุดเก่า ที่เคยโดนน้ำฉีดเลย แต่ว่าเหมือนมันกลายเป็นธรรมเนียมไปเสียแล้วว่า "ห้ามปีนบันได" แม้ลิงทั้งชุดที่อยู่ในห้อง จะไม่เคยโดนน้ำเย็นเลย และไม่รู้ว่า ปีนบันได แล้วเป็นอย่างไร แต่หากมีการเปลี่ยนลิงตัวใหม่เข้ามา แล้วพยายามจะปีนบันได ลิงตัวที่เหลือ ก็จะพุ่งเข้าตีเสมอ ๆ ลิงตัวใหม่ก็ได้แต่สงสัย ว่าเพราะอะไรฟระ ><
ส่วนลิงตัวเก่าก็คงได้แต่คิดในใจ ไม่รู้เฟ้ย ก็เค้าทำมาแบบนี้ เอ็งก็ต้องอยู่แบบนี้แหละ มันเป็นกฎของที่นี่ จบ.


..........................................................................................................................


ผมเกลียดรร.แต่รักการศึกษา [ซับไทย]


http://www.youtube.com/watch?v=wEz6ZL4sIKQ

.............................................................................................................................































































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น