วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

02/04/2556


วิสัยทัศน์ ประเทศไทย 2020


http://www.facebook.com/photo.php?v=550005995030761

................................................................................................................




กล้วยตาก "บานาน่าโซโซตี้"
ผลิตผลท้องถิ่นสู่ความเป็นสากล

วิสาหกิจชุมชนกล้วยตากบุปผา เกิดขึ้นเมื่อปี 2548 ภายใต้แนวคิดต้องการเปลี่ยนรูปแบบกระบวนการผลิตกล้วยตากแบบดั้งเดิมให้ได้มาตรฐานตามระบบการผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อยกระดับสินค้าสู่สากล ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) โดยมีทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยศิลปากรออกแบบสร้างเครื่องอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์กรีนเฮ้าส์ (พาราโบลาร์โดม) เพื่อลดการปนเปื้อนของกล้วยน้ำว้า อันเกิดจากการตากแดดในที่โล่งแจ้ง อีกทั้งช่วยให้กล้วยมีสีผิวสม่ำเสมอ คงไว้ซึ่งรสชาติที่ดีกว่ากรรมวิธีดั้งเดิม

การศึกษาและการสร้างเครื่องดังกล่าว สำเร็จเป็นพาราโบลาร์โดม ปี 2550 สามารถแก้ปัญหาทางด้านผลผลิตได้อย่างน่าพอใจวัดได้จากคุณภาพของผลผลิตรวม ทั้งยังช่วยลดการสูญเสียวัตถุดิบได้ถึง 90% และยังสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคด้วยการยกระดับการผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานข้อกำหนด โดยใช้เงินลงทุนสร้าง 8 แสนบาท พื้นที่ภายในประมาณ 160 ตารางเมตร ให้กำลังการผลิตสูงสุดถึง 1,400 กิโลกรัมต่อวัน

เมื่อพิจารณาในแง่กระบวนการผลิต แน่นอนว่ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนกล้วยตากบุปผาต้องแบกรับต้นทุนในการผลิต ดังนั้น แนวทางการเพิ่มมูลค่าสินค้าคือ ทางออกเพื่อความอยู่รอด การพัฒนาเพื่อยกระดับสินค้าโดยการสร้างภาพลักษณ์และความแตกต่างให้แก่ผู้บริโภค จึงเป็นที่มาของตราสินค้า บานาน่าโซไซตี้ : Banana Society ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เกิดการจดจำควบคู่การวางแผนการตลาด การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ กล้วยตากบุปผา ภายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ

ปัจจุบันการผลิตกล้วยตากภายใต้ตรา บานาน่า โซไซตี้ มีกำลังการผลิต 30 ตันต่อเดือน สามารถสร้างงานและรายได้อย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรท้องถิ่นรวมถึงชุมชนใกล้เคียง นอกจากการพัฒนาการผลิตกล้วยตากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ยังมีการแปรรูปกล้วยน้ำว้าเป็นไซรัปกล้วยน้ำว้า เพื่อเพิ่มมูลค่าให้วัตถุดิบ อันนับเป็นความพยายามของผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ไม่หยุดนิ่ง

มัทนา ลัดดาสิริพร/คมชัดลึก


..........................................................................................................




[a day] ผมอยากบอกนักศึกษาที่กำลังจะจบว่า 2-3 ปีแรกอย่าซื้อรถ อย่าซื้อบ้าน ทำงานเก็บเงินแล้วไปเที่ยวต่างประเทศให้ได้ปีละครั้ง ออกไปดูโลก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ เก็บวัตถุดิบสำหรับการทำงาน ใครจะว่าอะไรให้ถือว่าเป็นการลงทุนชีวิต

สิโรตม์ จิระประยูร เจ้าของร้านหนังสือ The Booksmith แห่งเมืองเชียงใหม่ (จากคอลัมน์ the outsiders | a day 151)


Pipat Posawad กำลังจะซื้อบ้านเลยครับ 555

Supapong Wanitpongpan ถ้าจะซื้อบ้านนะ เอาเงินไปลงทุนก่อนดีมั๊ย? 
อันนี้เขานำเสนอการลงทุนชีวิต
พี่นำเสนอการลงทุนจริงๆ เช่นการซื้อหุ้น,กองทุนรวม,พันธบัตร หรือ สลากออมสิน การซื้อประกัน การทำธุรกิจ ฯลฯ
ยกเว้นว่า เราจะซื้อบ้านเพื่อทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซื้อมาขายไป อันนี้ OK

.....................................................................................................................




พ.ร.บ. กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่มีการหมกเม็ด หรือซ้อนตัวเลข สามารถตรวจสอบได้ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป


.................................................................................................................


.....................................................................................................................




ถ้าต้อง "ไม่รู้" เท่านั้น คนเราถึงจะ "รักกัน" ก็ให้เกลียดๆ กันไปเถอะ สังคมที่ผู้คนเกลียดกันมากๆ แต่ขณะเดียวกัน ก็รู้อยู่เสมอว่าทำไมตัวเองถึงเกลียดอีกฝ่าย -- จะยิ่งแจ่ม ถ้ารู้ด้วยว่าทำไมฝ่ายนั้นถึงเกลียดเรา -- สังคมแบบนั้น น่าอยู่กว่าสังคมที่เผยแพร่ หรือเชิดชูความไม่รู้ เพียงเพื่อจะบอกให้ทุกคนรักๆ กัน

กำแพงแบร์ลินไม่ได้สร้างขึ้นมาจากความเกลียด แต่สร้างขึ้นมาจากความไม่รู้ รัฐบาลเยอรมันตะวันออก ทั้งที่พยายามใช้อุดมการณ์ และศีลธรรมครอบงำประชาชน สุดท้ายก็ "ไม่รู้" อยู่ดีว่าทำไมคนถึงได้ยังหนีไปโลกตะวันตก อูลบริชท์ ผู้นำเยอรมันตะวันออก ไม่ได้สร้างกำแพงขึ้นมา เพราะกลัวว่าคนเยอรมันสองฝ่ายจะฆ่ากัน แต่สร้างขึ้นมา เพราะกลัวว่าคนเยอรมันสองฝ่ายจะรู้จักกันดีขึ้นต่างหาก


......................................................................................................................


เข้าใจว่า "โต้ง"กับ"กรณ์" คงจะทะเลาะกันจนกว่า ......



จนกว่าจะตาย...ยกลำ


.....................................................................................................................




คำเตือน : สภาเป็นสาเหตุของการทะเลาะวิวาท


....................................................................................................................


.......................................................................................................................




วันนี้วันพระราชสมภพของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เจ้าหญิงอันเป็นที่รักของคนไทย เจ้าหญิงที่ไม่เหมือนในนิทานที่เราเคยเห็นตอนเด็กๆ เจ้าหญิงพระองค์นี้เดินทางไปทั่วประเทศเพื่อเยี่ยมพสกนิกร ตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ พระองค์ก็ทรงเดินทางไปกับพระเจ้าอยู่หัวเพื่อดูแลทุกข์สุขของประชาชน
..
เจ้าหญิงพระองค์นี้ทรงเดินทางไปประเทศต่างๆ ทรงศึกษาภาษาและวัฒนธรรมหลากหลาย เพื่อเชื่อมโยงศิลปและวัฒนธรรมของโลกเข้าด้วยกัน และที่สำคัญเพื่อผูกมิตรกับประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเป็นการทูตที่สำคัญที่สุด อันเป็นประโยชน์มหาศาลแก่แผ่นดินและประชาชน
...
เจ้าหญิงพระองค์นี้ทรงดนตรีทั้งไทยและสากล ทรงอักษรตลอดเวลา แม้แต่ตอนเสด็จพระราชดำเนินตามที่ต่างๆก็ทรงจดในสมุดโน้ต พระราชนิพนธ์อันมากมายของพระองค์เป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนศึกษาและสนใจในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
...
พระองค์ทรงถ่ายรูปด้วยพระองค์เอง ภาพที่พระองค์ทรงสะพายกล้องและถ่ายกลับมาที่ประชาชนเป็นภาพที่คุ้นตาของคนไทย
..
แต่ภาพนี้ยิ่งทำให้ประชาชนยิ่งถวายความจงรักภักดี
..
ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ


...................................................................................................................




"Vespa รุ่นลิมิเต็ด"
ใช้ความพยายามสูงที่สร้างมันด้วยไม้ทั้งคัน สุดยอด!!!


........................................................................................................................


...........................................................................................................................



ความหลงผิดว่า “สามารถเป็นกลางได้” ของสื่อไทยๆ

โดย Thai Policy Library (บันทึก) เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2013 เวลา 14:26 น.
นักปรัชญาชายชอบ


1) มาตรฐาน “ความเป็นกลาง”
มาตรฐานความเป็นกลางของวิชาชีพสื่อที่ป่าวประกาศกัน คือ “การรายงานข้อเท็จจริงทุกด้านอย่างสมดุล การเสนอความเห็นของทุกฝ่ายอย่างสมดุล” โดยมาตรฐานนี้ ในแวดวงสื่อมวลชนต่างวิจารณ์กันเองว่า ตั้งแต่เกิดวิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน สื่อค่ายต่างๆ ได้ทำลายมาตรฐานความเห็นกลางแห่งวิชาชีพของตนเองลง เพราะสื่อล้วนแต่เลือกข้างทางการเมือง

“การเลือกข้างทางการเมือง” จึงเป็นการทำลายมาตรฐานความเป็นกลางของวิชาชีพสื่อ นี่เป็น “ความหลงผิด” ภายในวงการสื่อมวลชน (หรือความหลงผิดของมุมมองทางวิชาการด้วย) ที่สรุปว่า “การเลือกข้างทางการเมืองของสื่อเป็นการทำลายความเป็นกลางของวิชาชีพสื่อ”


2) มาตรฐานความเป็นกลางที่เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ต้น
ความหลงผิดตามข้อ 1) เกิดจากการไม่ยอมรับความเป็นจริงว่า ขั้วขัดแย้งทางการเมืองมีความสลับซับซ้อนและดำเนินไปภายใต้อุดมการณ์ และกติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือไม่ free and fair ที่จะให้สื่อ (นักวิชาการหรือใครก็ตาม) สามารถเสนอข้อเท็จจริงทุกด้าน และเปิดพื้นที่เสนอความคิดเห็นของทุกฝ่ายอย่างสมดุลได้จริง
เช่น ไม่สามารถรายงานข้อเท็จจริงเบื้องหลังรัฐประหาร หรือการอภิปรายถกเถียงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเบื้องหลังรัฐประหารได้ใน “ระดับเดียว”  หรือใน “มาตรฐานเดียว” กับการเสนอข้อเท็จจริงและอภิปรายถกเถียงเกี่ยวกับการกระทำที่ไม่ชอบมาพากลของนักการเมือง เป็นต้น

ฉะนั้น กติกาที่ free and fair ในการรายงานข้อเท็จจริงและการเปิดพื้นที่เสนอความคิดเห็นทั้งสองด้านอย่างสมดุลมันไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก มาตรฐานความเป็นกลางแห่งวิชาชีพสื่อตามทฤษฎีจึงนำมาใช้กับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นมาและเป็นอยู่เวลานี้ไม่ได้เลย ความเป็นกลางของสื่อจึงมีไม่ได้เลย


3) ความลื่นไหลบนความไร้หลักการ
หากหลักการของความเป็นกลางคือกติกาที่ free and fair ไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก การอ้างความเป็นกลาง ความสมดุลในการเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นทุกด้าน ก็เป็นเพียงการแสดง “ความลื่นไหล” หรือพูดให้ตรงๆ คือ “การโกหกตอแหล” เท่านั้นเอง

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ กลุ่มบรรณาธิการข่าวการเมืองของ Thaipbs (ที่อ้างว่าเป็น “ทีวีสาธารณะ” ใช้ภาษีประชาชน เสนอข่าวสารและความเห็นที่เป็นกลางเพื่อประโยชน์ของประชาชน) กดดันเป็นการภายในให้งดออกอากาศรายการตอบโจทย์ที่เสนอการดีเบตเรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ระหว่าง ส.ศิวรักษ์ กับสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โดยอ้างว่า เป็นการนำเสนอความเห็นที่ไม่สมดุล เนื่องจากให้เวลาแก่สมศักดิ์ (ซึ่งตั้งคำถาม วิพากษ์โครงสร้างสถาบัน) มากกว่า ดังที่เป็นข่าวและมีการวิพากษ์วิจารณ์กันในแง่ต่างๆ ไปแล้วนั้น

ข้ออ้างดังกล่าวนี้ เป็นความพยายามหลอกสังคมอย่างทื่อๆ เพราะข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้เลย คือ 1) ไม่มีกติกาที่ free and fair ให้สื่อเสนอข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่สมดุลอยู่จริงในประเทศนี้ และ 2) สื่อหลักทุกช่องต่างนำเสนอข้อมูลข่าวสารเชียร์สถาบันกษัตริย์อย่างล้นเกินอยู่แล้ว ไม่เปิดพื้นที่ให้กับการตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น การให้เวลาสมศักดิ์ออกมาตั้งคำถามเป็นครั้งแรกเพียง 3 ตอน จะสรุปว่าไม่สมดุลในการเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสถาบันไม่ได้เลย

ที่ตลกร้ายกว่านั้นคือ เมื่ออ้าง “ความสมดุลในการเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบัน” แล้ว พอระงับรายการตอบโจทย์ที่ ส.ศิวรักษ์ กับสมศักดิ์ดีเบตตอนที่สอง (ต่อมาให้ออกอากาศคืนวันจันทร์) ในคืนวันศุกร์ พอคืนวันเสาร์ Thaipbs ก็นำวงดนตรีทหารอากาศบรรเลงเพลงแนวสรรเสริญพระบารมีออกอากาศในรายการ “ดนตรีกวีศิลป์” จากนั้นรายการนี้ก็นำเสนอดนตรีแนวสดุดีพระราชา เศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้นมาออกอากาศเรื่อยมา จนกระทั่งคืนวันเสาร์ที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมาก็มีการนำเสนอการร้องเพลงสรรเสริญ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพ่อ โดยบรรดานักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ประชาชน

ราวกับว่า Thaipbs กำลัง “ไถ่บาป” ที่อาจสำนึกว่าตนหลงผิดให้สมศักดิ์ไปออกรายการตอบโจทย์!
นี่คือตัวอย่างของ “ความลื่นไหล” ในความหมายของคำว่า “สมดุล” ในการเสนอข่าวสารและความคิดเห็นสองด้านของ “ทีวีสาธารณะ” (โดยมิพักต้องเอ่ยถึงการเสนอข่าวประจำวันของทีวีช่องนี้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลแทบทุกเรื่อง)


4) ความเป็นกลางจะมีได้เมื่อร่วมกันต่อสู้ให้ความเป็นกลางเป็นไปได้
ปัญหาที่แท้จริงจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า “สื่อเลือกข้างทางการเมืองทำลายมาตรฐานความเป็นกลางของวิชาชีพสื่อ” อย่างที่พูดๆกัน แต่อยู่ที่สื่อเลือกข้างอย่างไรต่างหาก

คุณเลือกข้างที่ต่อสู้เพื่อให้ความเป็นกลางเป็นไปได้หรือไม่? คือเลือกข้างที่ต่อสู้เพื่อทำให้มาตรฐานความเป็นกลางของวิชาชีพสื่อไปได้ในทางปฏิบัติหรือไม่ ถ้าเลือกทางนี้คุณก็กำลังต่อสู้เพื่อให้สื่อสามารถเป็นกลางได้จริง ซึ่งหนีไม่พ้นที่ต้องร่วมกันต่อสู้ในหลายๆวิธีการ เพื่อสร้างกติกาที่ free and fair แก่ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต่อสู้เพื่อให้ยกเลิก ม.112 การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ระบบยุติธรรม กองทัพ ให้อยู่ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

หากไม่ต่อสู้เพื่อให้ความเป็นกลางเป็นไปได้ การกล่าวอ้างความเป็นกลาง อ้างการนำเสนอข่าวสาร ข้อเท็จจริง ความคิดเห็นทุกด้านอย่างสมดุล ก็เป็นเพียงการแสดงออกอย่าง “หลงผิด” หรือเป็นเพียงการหลอกตัวเองและลวงโลกไปวันๆเท่านั้นเอง



....................................................................................................................




เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ๕๘ พรรษา วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๖
...ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน...
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม


.....................................................................................................................




แม่นมาก!!!
 

..................................................................................................................


อยากเป็นนักมายากล คนนี้จริงๆเลยวู้ย


http://www.facebook.com/photo.php?v=105958256267889

...................................................................................................................




ดอกติ้ว (แต้ว)
ทางหลวง 202 ตอนเขมราฐ-หนองผือ
// ฮักนะเขมราฐ.com


......................................................................................................................



เราคิดต่างกันได้ไหม
โดยไม่ต้องมีใครโง่เง่า

เราเห็นต่างกันได้ไหม
โดยไม่ต้องมีใครตาบอด

เราเลือกกระทำต่างกันได้ไหม
โดยไม่ต้องมีใครถูกหลอก-ถูกจ้างมา

เรา "รัก" - "ชอบ" ต่างกันได้ไหม
โดยไม่ต้องมีใครเลวร้ายไม่เหลือดี

เราขัดแย้งกันได้ไหม
โดยไม่ต้องมีความเป็นมนุษย์ของใครถูกเหยียดให้ต่ำลง



เราจะ "คุย" กันบ้างได้ไหม
โดยที่เรายังคงแตกต่างกัน




....................

หมายเหตุ:

1. ข้อความด้านบนถูกเขียนขึ้นในใจหลายวันก่อนจะได้เห็นภาพนี้ ด้วยความรู้สึกเศร้ามากกว่าอย่างอื่น – โดยไม่ได้เจาะจงต่อประเด็นรถไฟความเร็วสูง หรือเงินกู้ 2.2 ล้านล้าน หรือข้อถกเถียงย่อยใดๆ และไม่ได้มุ่งสื่อสารต่อ "สี" หนึ่งฝ่ายใดเป็นการเฉพาะ

เพียงแต่เช้านี้-วันนี้ สิ่งที่ภาพนี้ "พูด" ออกมา (รวมทั้งการ "พูด" ผ่านการกดไลค์และกดแชร์ของหลายๆ คน) ได้ซ้ำเติมความรู้สึกเศร้าที่ปักอยู่เดิม จึงตัดสินใจเขียน แม้จะสำนึกแก่ใจดีว่านอกจากจะถูกมองว่า "ดัดจริต" แล้ว ก็คงจะไร้ความหมายอะไรอีกเช่นเคย

2. ภาพ: แชร์จาก facebook ของคุณ Hannarong Yaowalers (ซึ่งระบุที่มาว่าhttp://astv.mobi/Ae4V2Ha)



จาก Status : อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

คำครู สุนทรภู่ กล่าวพาดพิง
ฉันไม่ท้วงติง (ดังนี้) ครับ

"อันเจ็บอื่น หมื่นแสน พอแคลนคลาย
เจ็บจนตาย เพราะเหน็บ ให้เจ็บใจ"

แล้วเธอ ก็จะรู้เอง
You will soon learn enough


...........................................................................................................................




ช่วงนี้มันร้อนจริง ๆ


Ahiru Ped ฮาตตรง ไหมทำอะรอ

...........................................................................................................................



เมื่อโลกกลับเข้าสู่ยุค"ราง"

โดย Pitch Pongsawat (บันทึก) เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2013 เวลา 15:42 น.
เมื่อโลกกลับเข้าสู่ยุค"ราง"

(มติชนรายวัน อังคาร ๒ เมษายน ๒๕๕๖ หน้า ๖)


  
บทความชิ้นนี้อยากจะไปให้ไกลกว่าเรื่องของการถก เถียงว่า รถไฟความเร็วสูงมีไว้แค่ขนผัก หรือโครงการขนาดใหญ่นั้นควรทำ แต่ไม่ควรใช้การกู้เงินแบบมโหฬารขนาดนี้

โดยพยายามหาคำตอบ ว่า ทำไมเรื่องราวของรถไฟความเร็วสูง นั้นกลับกลายเป็นวาระสำคัญของการพัฒนาประเทศของโลกไป ทั้งที่เรื่องนี้ดูน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องของการบินราคาถูก(ลง) รถยนต์ที่ราคาไม่แพงนัก หรือแม้กระทั่งการติดต่อสื่อสารกันด้วย อินเตอร์เน็ต

รวมทั้งเมื่อโลกทั้งโลกไม่ได้คิดว่ารถไฟความเร็วสูงเป็นเพียงสิ่งมหัศจรรย์ทางเทคโนโลยีของบางประเทศอีกต่อไป

กล่าวคือ ประเทศไทยนั้นไม่ใช่ประเทศเดียวในโลกที่กำลังสนใจเรื่องราวของรถไฟความเร็วสูง

ใน กรณีของสหรัฐอเมริกา นั้น การให้การสนับสนุนการพัฒนาระบบขนส่งแบบรางได้กลับมาเป็นประเด็นสำคัญทาง นโยบายของโอบามา ที่จะพัฒนาการเชื่อมต่อและการส่งเสริมเศรษฐกิจและการจ้างงาน

แม้ กระทั่งในกรณีของแคลิฟอร์เนียเองที่ระบบรางไม่ค่อยมีการพัฒนามากนักมานาน แล้ว การเดินหน้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงก็กำลังเริ่มขึ้น และดูมีทีท่าว่าจะเป็นที่สนใจของสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเงื่อนไขหลายประการ อาทิ การที่ศาลได้พิจารณาให้เดินหน้าต่อไปได้แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านจากเกษตรกร ว่าการสำรวจและก่อสร้างนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีการตัดสินใจออกมาว่ารูปแบบการมีรถไฟความเร็วสูงนั้นจะเป็นแบบไม่เร็ว เกินไป เพราะว่าถ้าเร็วมากก็แพงมาก(เกินไป)

ในกรณีของอังกฤษ เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง โครงการรถไฟความเร็วสูงสายที่สองก็เดินหน้าต่อไป หลังจากที่ศาลไม่รับผลการคัดค้านจากแนวร่วมที่ต่อต้านรถไฟความเร็วสูง แม้ว่าประเด็นหนึ่งที่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการวิพากษ์วิจารณ์กันก็คือ การสร้างรถไฟความเร็วสูงนั้นจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือไม่ และจะมีผลทางด้านอื่นๆ ที่เหนือไปจากเศรษฐกิจจริงไหม

ดังที่มีการ วิพากษ์วิจารณ์กันว่าถ้าไม่คุ้มทุนจริงๆ แล้ว ควรจะทำโครงการนี้ไหม หรือว่าส่งผู้หญิงไปดวงจันทร์ก็ได้ (หากไม่เน้นเรื่องความคุ้มทุนทางเศรษฐกิจ แต่เน้นเรื่องของผลทางจิตใจ)

ดัง ที่มีการซัดกันอย่างรุนแรงทางความคิดว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงนั้น เป็นเสมือนการให้เหตุผลที่ผิดพลาดทางการเมือง (political syllogism) ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นท้าทายของการเมืองประชาธิปไตย ที่จะต้องได้รับความนิยมจากประชาชน ในทำนองที่ว่า ประเทศชาติต้องการโครงการขนาดใหญ่? รถไฟความเร็วสูงเป็นโครงการขนาดใหญ่? ประเทศชาติต้องการรถไฟความเร็วสูง

ในกรณีของบราซิล จะพบหนึ่งในข่าวคราวล่าสุดว่า มีความพยายามที่จะเปิดประมูลการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมเมืองใหญ่ใน ประเทศของเขา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการประมูล ด้วยเงื่อนไขบางเรื่อง อาทิ คนที่จะมาลงทุนยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ หรือค่ารถไฟอาจจะสูงเกินไป แต่กระนั้นหนึ่งในเงื่อนไขที่จะต้องทำก็คือว่าประเทศของเขานั้นขาดระบบการ คมนาคมขนส่งที่เชื่อมโยงผู้คนออกจากกัน

ในกรณีของยูเครน แม้ว่าข่าวคราวจะเป็นเรื่องอารมณ์ที่เย้ยหยันพอสมควรกับผลงานการสร้างรถไฟ ความเร็วสูงที่เพิ่งผ่านไปจากการเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของการเป็นเจ้าภาพบอล ยูโร แต่สิ่งที่เป็นบทเรียนสำคัญก็คือ การมีรถไฟความเร็วสูงนั้นดูจะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ประเทศของเขา นั้นได้รับการยอมรับให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิศาสตร์โลกใหม่ที่เชื่อมโยง ผู้คนในภูมิภาคเข้าด้วยกัน และก็เป็นจุดที่จะดึงดูดให้เกิดการไหลมาของผู้คนและความมั่งคั่ง (แม้ว่าจะมีปัญหาที่ต้องแก้กันต่อไป)

หรืออย่าง ในกรณีของจีน ก็จะพบความน่าสนใจว่า การพัฒนาการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อเมืองใหญ่เข้าด้วยกันนั้นเป็นส่วน หนึ่งของการแสดงออกซึ่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งเรื่องนี้ยังรวมไปถึงเรื่องของความใฝ่ฝันของจีนเองที่จะเชื่อมต่อประเทศ ของตนเข้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะจากคุนหมิงมาสู่สิงคโปร์

ข่าว การพยายามขยายตัวเพื่อสร้างจุดเชื่อมต่อและแผ่อิทธิพลของจีนมาสู่ภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ไม่ใช่ข่าวใหม่อะไร จะว่าไปแล้วเดิมทีความใฝ่ฝันแบบนี้เป็นความใฝ่ฝันของเจ้าอาณานิคมที่จะ เชื่อมจีนกับพม่าและสิงคโปร์อยู่แล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ในการพูดคุยเรื่องนี้ที่ผ่านมาเขาพบว่าโครงข่ายระบบรางของภูมิภาคเรานั้นยัง ไม่เคยพัฒนาต่อเนื่องมาเลยนับตั้งแต่ยุคอาณานิคม

เรื่องนี้ ประชาธิปัตย์ก็เคยส่งตัวแทนไปพูดคุยกับจีนเช่นกันเมื่อครั้งเป็นรัฐบาล แต่ก็ยอมรับว่าด้วยเงื่อนไขทางการเมืองในยุคปลายรัฐบาลนั้นก็เป็นไปได้ยาก ที่จะขับเคลื่อนประเด็นเหล่านี้ ซึ่งหากขยายรายละเอียดนั้นก็คงจะต้องมีทั้งเรื่องว่าโครงการขนาดใหญ่นั้นจะ ต้องเข้าสู่การถกเถียงในสภา และทั้งเรื่องที่ว่าจีนจะเป็นตัวเลือก/ทางเลือกเดียวหรือไม่ในการพัฒนาระบบ รางท่ามกลางระบบเทคโนโลยีและการลงทุนที่มีมากมายหลายทาง

ข่าวสุดท้าย ที่จะขอประมวลมาให้ฟังกลับเป็นข่าวที่เชื่อมโยงกับรถไฟความเร็วสูงในกรณี ญี่ปุ่น ซึ่งประเด็นที่เป็นที่สนใจไม่ใช่เรื่องรถไฟว่าจะเร็วขึ้นไหม แต่กลับเป็นเรื่องที่ว่า อนาคตของสายการบินต้นทุนต่ำที่จะเปิดใหม่ ในญี่ปุ่นนั้นจะมีความเป็นไปได้แค่ไหน เมื่อเทียบกับเงื่อนไขใหญ่ที่มีอยู่แล้ว คือ ระบบรถไฟความเร็วสูงที่มีประสิทธิภาพ การครอบงำของธุรกิจการบินรายใหญ่เดิม และวัฒนธรรมการเดินทางของคนญี่ปุ่น

สุดท้ายแล้วเขาก็ฟันธงกันว่า อนาคตของสายการบินต้นทุนต่ำที่จะบริการเชื่อมต่อภายในประเทศนั้นยังต้องใช้ เวลาอีกสักพัก และหนึ่งในเงื่อนไขที่จะทำสำเร็จก็คงจะต้องเป็นเรื่องของการส่งเสริมการท่อง เที่ยว (เสียมากกว่าเรื่องของการเดินทางปกติ)


กล่าวโดยสรุป ท่ามกลางข่าวคราวเรื่องของรถไฟความเร็วสูงในโลก สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การพูดถึงการลงทุนเรื่องของรถไฟความเร็วสูงนั้นกลับกลายเป็นส่วนสำคัญของ หลายประเทศในโลก แทนที่จะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของความทันสมัยในแบบโบราณเมื่อร้อยกว่าปี ก่อน หรือเป็นเพียงการโชว์เทคโนโลยีว่าใครเร็วกว่าใคร

รวมทั้งความ เชื่อว่าโลกจะเชื่อมกันด้วยระบบรางมากขึ้น แม้ว่าในช่วงแรกของความเชื่อมโยงนี้จะดูเป็นเรื่องของการเพิ่มความเชื่อมโยง ภาคในแต่ละประเทศเสียก่อน

ส่วนประเด็นเรื่องความเร็วว่าใครเร็วกว่า ใครนั้น ก็เริ่มพูดกันบนเงื่อนไขว่า แต่ละที่จะมีปัญญาแบกรับต้นทุนความเร็วสักแค่ไหน และอาจจะต่อเนื่องไปยังเงื่อนไขของปริมาณที่ลดลงและราคาที่สูงขึ้นของน้ำมัน ที่ทำให้คนเริ่มหันมามองว่าการจะมีการขนส่งทางเลือกอื่นๆ นั้นก็สำคัญ

และ คงปฏิเสธได้ยากว่า เราคงต้องมองเรื่องนี้จากหลายมุม โดยเฉพาะเราเจือปนไปด้วยอคติและข้อมูลมากน้อยแค่ไหนว่าคนอื่นๆ นอกจากตัวเราจะมีปัญญาขึ้นรถไฟได้ไหม

อย่าลืมว่าต้นทุนในการเดิน ทางในชนบทนั้นก็สูงอยู่มาก แต่คนชนบทก็ใช้จ่ายกับเรื่องเดินทางอยู่มิใช่น้อย บางทีในบางเรื่องนั้นเขาก็อาจจะเลือกที่จะจ่ายมากกว่าเรื่องอื่นๆ ถ้ามันมีความแน่นอนมากกว่า

นอกจากนั้นแล้ว การเดินทางด้วยรถไฟนั้นหากจัดให้เป็นระบบจริงๆ ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งกับสายการบินราคาถูกได้อยู่ เพราะความแน่นอนของการบินและโอกาสของการล่าช้านั้นมีมากกว่า รวมทั้งเงื่อนไขเรื่องของการเข้าถึงย่านเศรษฐกิจเองนั้น รถไฟยังมีแต้มต่อเพราะเข้าถึงใจกลางเมืองได้เลย ขณะที่การบินนั้นแม้ว่าอาจจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า แต่เงื่อนไขที่จะต้องไปเชื่อมต่อกับการเดินทางเข้าเมือง และเงื่อนไขความผันผวนของราคาน้ำมันเองนั้นก็ยังมีอยู่มาก

มิพัก ต้องกล่าวถึงว่า การเชื่อมต่อด้วยรถไฟความเร็วสูงในวันนี้ยังมีเงื่อนไขสำคัญที่ทำไมโลกนี้ เขาถึงหันกลับมาพูดเรื่องนี้มากขึ้น เพราะว่าเขาไม่ได้เถียงกันเฉพาะเรื่องทางเศรษฐศาสตร์ (economics) ในแง่ความคุ้มทุนและรูปแบบการกู้เงินเท่านั้น

แต่เขาพูดกันในเรื่อง ของ ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ economic geography ภูมิศาสตร์เมือง (urban geography) และการวางแผนพัฒนาภูมิภาค (regional geography) เพราะเขาต้องการปรับรูปแบบพื้นที่ใหม่ ทั้งในแง่ของการขยายพื้นที่เมืองที่มีอยู่ให้ใหญ่ขึ้น ด้วยการเชื่อมโยงพื้นที่ใกล้ๆ กันให้เป็นผืนเดียวกัน หรือทำให้พื้นที่ที่มีอยู่แน่นขึ้น เพื่อสร้างตลาดที่พักอาศัยในเมืองให้มีจำนวนมากขึ้นได้ (โดยไม่ต้องลดมาตรฐานลง) และที่สำคัญคือส่งเสริมการพัฒนาเมืองระดับรองๆ ต่อไป ซึ่งว่ากันว่าโลกในวันนี้หนึ่งในทางออกของปัญหาเมืองใหญ่คือการสร้างเมือง ระดับรองให้เข้าถึงได้มากขึ้นด้วย และอาจรวมการพลิกฟื้นเมืองที่เดิมนั้นเคยรุ่งเรืองมาก่อนในยุคเก่า

ทั้งนี้ ไม่รวมเรื่องของการอธิบายถึงความเป็นธรรมในการคมนาคมขนส่งด้วย เพราะว่าในทางหนึ่งนั้น อาจจะมีความคิดความเชื่อแบบหนึ่งว่า การขยายตัวของเมืองที่ดีนั้นควรจะมาจากการสร้างพื้นที่ชานเมืองที่ทำให้บ้าน ราคาถูกลง และใช้รถยนต์เดินทางผ่านทางหลวงและทางด่วน แต่ทุกครั้งที่มีการสร้างทางใหม่ๆ นั้นประชากรบางกลุ่มก็เข้าไม่ถึงเงื่อนไขเช่นนี้เช่นกัน ถ้าเขาไม่มีรถหรือไม่สามารถซื้อบ้านได้ สู้มาพัฒนาความแน่นของเมืองเดิมให้มีความเป็นธรรมมากขึ้นและมีโอกาสมากขึ้น อาทิ เรื่องของการเช่าบ้านและแหล่งงานที่จะเกิดขึ้น


สุดท้าย(ของ สุดท้าย) ก็คือเรื่องของรถไฟความเร็วสูงนี้ก็ชวนให้คิดถึงเรื่องของ รถไฟว่าเป็นประเด็นคลาสสิกที่ไม่เคยจางหายไป จากข้อถกเถียงของการเมืองวัฒนธรรม ตราบเท่าที่เงื่อนไขบางข้อนั้นยังเชื่อมโยงกัน

ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของ ความทันสมัย (modernity) การแผ่ขยายอำนาจยึดครองพื้นที่ที่เรียกว่า อาณานิคม (colonialism) การสร้างสำนึกความเป็นชาติร่วมกัน (nationalism) และทุนนิยม (capitalism) ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้  เรียงร้อยเข้าด้วยกันผ่านการต่อสู้ช่วงชิงความหมาหยถึงประวัติศาสตร์การ สร้างรถไฟของอินเดียตั้งแต่เริ่มแรกนับแต่ยุคอาณานิคม การต่อต้านอาณานิคม และการสร้างสำนึกความเป็นชาติและสร้างชาติใหม่หลังอาณานิคม ผ่านการ
ต่อสู้ ช่วงชิงความหมายและเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งชาติผ่านการกำหนดเงื่อนไขการ เคลื่อนไหวและเคลื่อนที่ของผู้คน สิ่งของ และสำนึกใหม่ของประชาชาติ


เขียนมาทั้งหมดนี้ ก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าอนาคตของระบบรางในบ้านเราจะถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ของโลกมากน้อยแค่ ไหน ว่าจะเป็นเพียงเรื่องของการให้เหตุผลที่ผิดพลาดทางการเมือง เป็นเรื่องของการลงทุนเพื่อ ยกระดับประเทศ เป็นบทเรียนของการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ที่เหมาะสม หรือเป็นการสร้างสำนึกใหม่ทางการเมือง (ว่าการสนับสนุนโครงการ หรือไม่สนับสนุนโครงการนั้นจะสร้างสำนึกความเป็นชาติได้มากกว่ากัน)

.....................................................................................................................................


......................................................................................................................................




เข้าใจตรูหน่อย!!

เครดิตมุขสุดติ่งโดย : อนุกูล ตั้งเสนารักษ์


Nalina Nina 55555นั่นสิ

......................................................................................................................


...............................................................................................................................


ไม่อยากมีเรื่อง แต่ถ้าเราเห็นคนโดนรังแกแล้วไม่ช่วยกัน วันหนึ่งเราอาจโดนบ้าง

คนที่โดนรังแกนั้นเขาอาจไม่ได้บริสุทธิผุดผ่อง อาจมีส่วนผิดบ้าง แต่โทษขนาดที่เขาได้รับนั้นมันเกินเลยร้ายกาจ เด็กอเมริกันทิ้งหมากฝรั่งเลอะเทอะแล้วโดนศาลสิงคโปร์สั่งเฆียน 4-5 ที เป็นเรื่องขี้ปะติ๋็วไปเลย เมื่อเทียบกับโทษขัง 3 ปี(ลดแล้วจาก 5 ปี)เพราะเผยแพร่สารคดีจากโทรทัศน์แห่งชาติออสเตรเลียและบทความจากวิกิลีคส์

ยังไม่รู้เหมือนกันว่าควรต้องทำอะไรต่อไป แต่คิดว่าต้องเป็นการประท้วงแบบอหิงสาจริงๆ และขอให้เป็นการผนึกกำลังกระพือปีกพร้อมกัน


...............................................................................................................................


TALKS

ฮียุนเซียว ลี: การหลบหนีจากเกาหลีเหนือของฉัน


http://www.ted.com/talks/lang/th/hyeonseo_lee_my_escape_from_north_korea.html

................................................................................................................................


......................................................................................................................










































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น