วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

01/05/2556 ตอนที่ 1




นักทวงคืนปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ...

เพจทวงคืนฯทำภาพออกมาหลายภาพเลย เช่น http://tinyurl.com/bvkg6knโดยยกข้อมูลจากรายงานประจำปี 2012 ของบ.เชฟรอนมาอ้าง ว่าเชฟรอนสามารถขุดเจาะผลิตน้ำมันดิบ-คอนเดนเสทในไทยได้ถึง 243,000 บาร์เรล/วัน แล้วก็โยงไปประเด็นนั้นประเด็นนี้มั่วซั่วเลยครับ

แอดมินก็เลยตามไปเปิดรายงานดังกล่าวดู http://www.chevron.com/documents/pdf/chevron2012annualreportsupplement.pdf (ดูหน้า 37) อ่านดูแล้วฮาก๊ากแทบตกเก้าอี้เลยครับ ก็ไอ้ตัวเลข 243K ที่ยกมาเนี่ย มันเป็นตัวเลขที่รวมทั้งน้ำมันดิบ คอนเดนเสท และที่สำคัญรวมก๊าซธรรมชาติเข้าไปด้วยครับ

ลองดูตามภาพข้างล่างนะครับ ไอ้ตัวเลขการผลิตที่ว่าเนี่ย รายงานเค้ารวม Net worldwide 2012 = 2610K แล้วถ้าเรามองไปทางขวานิดเดียวจะเห็นว่าเค้าทำกราฟไว้อันนึง มันเป็นกราฟที่แยกระหว่าง Natural Gas กับ ปิโตรเลียมที่เป็น Liquid อื่นๆ สังเกตตัวเลขนะครับว่าปริมาณอยู่ที่ 2610K ตรงกัน หมายความว่าตัวเลขนั้นเป็นตัวเลขที่รวมปริมาณก๊าซธรรมชาติเข้าไปแล้ว จึงไม่แปลกที่ตัวเลขของประเทศไทยจะสูงถึงขนาดนั้น

แล้วไอ้คำว่า Net Oil-equivalent production น่ะ มันไม่ได้แปลว่าการผลิตน้ำมันดิบนะคร้าบ แต่แปลว่าการผลิตเทียบเท่าน้ำมันดิบ หมายถึงว่าเค้าจะบอกปริมาณการผลิตในหน่วยที่ใช้วัดน้ำมันดิบ คือเป็น บาร์เรล/วัน ครับ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะปกติก๊าซธรรมชาติจะใช้หน่วยวัดต่างกัน แหม ตลกพวกทวงคืนจัง พูดเป็นตุเป็นตะ

เห็นอย่างนี้แล้วหันมาทวงคืน "ไก่" ที่ชอบปล่อยก่อนดีมั้ยคร้าบ

............................................................................................................

................................................................................................................




ผลิตไฟฟ้าใช้เอง: กังหันลมผลิตไฟฟ้าได้ 22 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ติด 15 ตัวไว้นอกบ้านก็จะผลิตไฟฟ้าเพียงพอสำหรับ 1 ครอบครัว

...........................................................................................................


คืนนี้นั่งตามข้อมูลหลายเรื่อง เรื่องที่หนึ่ง เราคุณยิ่งลักษณ์ พูดที่มองโกเลีย จับใจความได้ว่า พูดความจริงของประเทศ แต่โดนบางคนตำหนิเละเทะ เรื่องที่สอง วิกฤต ตลก หาข้อมูลรอบด้าน ก็บอกได้ว่า ตลก ทำได้ ตลก สมชื่อ แต่ก็ยังมีบางคน ตำหนิ กลุ่มแดง และคุณยิ่งลักษณ์อีก เรื่องที่สาม เสรี เจิมศาก ชวนนท์ บักใส วสิษฐ เดชกุญชร วันชัย(ทนาย) และอืกหลายๆคน ก็รีบตามมาจับกระแสไล่ด่า คุณยิ่งลักษณ์ แต่เรื่องที่เงียบสุดๆๆ คือ เรื่องศาล พิจารณา ว่าทหารยิงกันเอง ไม่มีใครพูดถึง เรื่องจีที 2oo ของหมอผีพร เรื่องเสื้อแดงที่ยังโดนขัง เรื่องคุณสมยศ และอีกหลายเรื่องๆๆ จนทำให้สงสัยว่า ตอนที่กรูเลือกเพื่อไทยตอนเลือกตั้ง สส.หัวกล้วย ตั้งเกือบสามร้อยคน แมร่งทำห่าอะไรว่า พวกมรึงมีปากกันมั๊ย พวกมรึงออกมาต่อสู้กับประชาชนมั๊ย พวกมรึงทำอะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง กรูว่า อย่างน้อยๆๆๆๆๆนะ สส ประชาธิปปัตย์ ยังแสดงให้เห็นเลยว่า ใครมาด่าพวกกรูไม่ได้ เนี่ยกรูถามหน่อย ใจคอพวกสส เพื่อไทยหัวกล้วยทั้งหลาย มรึงจะไม่คิดทำห่าอะไรเลย กะจะให้ประชาชนอย่างกรูจัดให้ซะทุกเรื่องเลยเหรอ ไอ้เวรรรร
แล้วมรึงสสจะเป็นทำห่าเหวอะไรวะ (ชายกลาง) กรูละเซ็ง

..........................................................................................................


ถึงแม้ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ แต่หนังสือประเภทหนึ่งที่ไม่เคยอ่านเลยคือหนังสือประเภท "How to"

ถามว่าทำไม ประการแรกผมมีความเชื่อว่าชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ คนเรามี DNA ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นการอ่านหนังสือว่าทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จตอนอายุ 40 ปีด้วยบันไดสี่ขั้น อาจจะใช้ได้ผลกับตัวผู้เขียน แต่มันจะใช้ไม่ได้ผลกับตัวผม เพราะผมกับตัวผู้เขียนตัวตนไม่เหมือนกัน ความหมายคือสูตรนั้นใช้ได้กับตัวเขา แต่หยิบนำมาใช้กับผมคงจะไ่ม่่ได้การ

ประการที่สอง ผมมีความเห็นว่าสมองมีไว้คิด สมองไม่ได้มีไว้ท่องจำ หนังสือที่ผมสนใจอ่านคือหนังสือที่ว่าด้วยเรื่อง วิธีคิด แนวคิด ในช่วงยี่สีบปีนี้ผมอ่านหนังสือแบบนี้มาตลอด หนังสือประเภทนี้กระตุ้นให้คนอ่านคิด ทำให้สมองคิดได้กว้างและลึกขึ้น

วิธีคิดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ถ้ามีวิธีคิดที่แข็งแรง ชีวิตตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ มีแต่ความสุขความเจริญ และขออนุญาติพูดตรง ๆ อย่างหนึ่งท่านผู้อ่านอย่าโกรธผมนะครับ คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศมีความคิดที่ไม่เข้มแข็ง ทำให้ใช้ชีวิตตามกรอบประเพณีของสังคม เป็นผลให้ชอบอ่านหนังสือ How to เพราะต้องการสูตรสำเร็จในชีวิต

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ชีวิตของคนเราเราต้องพัฒนาวิธีคิดเฉพาะตัว แล้วคุณจะพบกับความสุขและความเจริญตามศักยภาพที่คุณพึงจะได้รับ

วันนี้คุณมีวิธีคิดของตัวคุณเองแล้วหรือยัง

..................................................................................................................


Imagined Newspaper: วิธีที่เราอยู่กับเฟสบุ๊ค
%%%%%%%%%%%%%%%%%
Let’s imagine…..
ลองจินตนาการดูว่าคุณยืนอยู่หน้าแผงขายหนังสือพิมพ์รายวันหลากหลายฉบับ กำลังใคร่ครวญว่าจะควักเงินซื้อฉบับไหนดี? ฉบับหัวเขียวก็พาดหัวข่าวอาชญากรรมน่าสนใจ แต่ฉบับหัวส้มก็มีสกู๊ปการเมืองที่น่าตาม ฉบับหัวแดงลงข่าวคาวล่าสุดของดารานักร้องดาวยั่วคนโปรด แต่ฉบับหัวน้ำเงินวันนี้ก็มีคอลัมน์ประจำของอาจารย์นักวิชาการที่คุณอยากอ่าน แถมการ์ตูนการเมืองก็กวนตีนดีเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม ผลฟุตบอลพรีเมียร์ลีกล่าสุดก็ไม่มีฉบับไหนรายงานวิเคราะห์เจาะลึกละเอียดเท่าข่าวกีฬาฉบับหัวเขียว ฯลฯลฯ
ในภาวะปกติธรรมดา ที่สุดแล้วคุณคงต้องตัดสินใจเลือกซื้อสักฉบับหรือสองฉบับเป็นอย่างมาก แต่มันคงจะดีไม่น้อยมิใช่หรือ หากคุณสามารถทำตัวเป็นบก.นสพ.เฉพาะกิจ แล้วฉีกพาดหัวข่าว เนื้อข่าว คอลัมน์ การ์ตูน เซ็คชั่นเศรษฐกิจ กีฬา บันเทิง ฯลฯ จากฉบับนี้นั้นนู้นต่าง ๆ มาประกอบสร้าง (constitute) เป็น นสพ. ฉบับสั่งพิมพ์เฉพาะตัว (tailor-made edition) ขึ้นใหม่และจ่ายตังค์ซื้อมันฉบับเดียวบัดเดี๋ยวนั้นเลย! เชื่อว่าเพื่อนผู้ยืนลังเลเลือกซื้อหนังสือพิมพ์ร่วมแผงกับคุณหลาย ๆ คนก็คงอยากทำได้อย่างนั้นเหมือนกัน
ผมคิดว่า Facebook คือเทคโนโลยีที่อนุญาตให้พวกเราทำนสพ.ในจินตนากรรม (imagined newspaper) เฉพาะตัวแต่ละคนแบบ tailor-made edition ขึ้นมาอย่างรวมหมู่แลกเปลี่ยนกันเป็นเครือข่าย, แต่ก็แยกกันทำอย่างอิสระ, และเป็นไปเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ลองไล่ดูนะครับ ตื่นเช้ามา (แบบผมวันนี้) ก็เปิดคอมฯ แล้วก็เปิด internet browser, ล็อกอินเข้าหน้า FB ของตัว อย่างแรกที่เราดูคือ News Feed ข่าวคราวที่เพื่อน ๆ หรือหน้าคนอื่นที่เรา subscribe หรือบอกรับเป็นสมาชิกให้ช่วยป้อนข่าวมาให้ แล้วเราก็ดูพาดหัวข่าวผ่าน ๆ พรวด ๆ เพื่อคัดเลือกหัวข้อข่าว/ภาพ/คอมเมนต์ ทั้งส่วนตัวส่วนรวมที่จะอ่านอย่างละเอียด อ่านผ่าน ๆ หรือก็อปปี้เก็บ ไม่มีเซ็คชั่นข่าวที่เราไม่ชอบหรือไม่สนใจหรือรำคาญ เช่น บางคนไม่ชอบหน้าการเมือง, ไม่ชอบหน้าบันเทิง, ไม่ชอบหน้าอาชญากรรม, หรือไม่สนใจหน้ากีฬา ฯลฯ ถ้าไม่บอกรับหรือ subscribe มันก็ไม่โผล่มาในหน้า imagined newspaper – tailor-made edition ของเราให้ระคายตา
จากนั้น ถ้าเราอ่านประทับใจสะเทือนอารมณ์กระตุกกระตุ้นสติปัญญาหัวแล่นปรู๊ดปร๊าดกับข่าวไหน เรื่องราวใด เราก็ไปที่หน้าสเตตัส เขียนบทวิเคราะห์วิจารณ์คอมเมนต์ของเราลงไป เหมือนกำลังผลิตหน้ากระแสทรรศนะ/บทบรรณาธิการนสพ.รายวันกันสด ๆ เดี๋ยวนั้นเลย ในทำนอง newspaper in the making ชั่วแต่ว่าเราไม่ใช่ผู้อ่านที่ passive อีกต่อไป แต่สามารถเถียงกลับ ไม่ว่าชม ติ หรือแค่กด like อย่าง active ขึ้นกว่าแต่ก่อน
จากนั้นก็ไปดู messages ว่ามีใครเขียนถึงเราเข้ามามั่ง ในทำนอง “จดหมายจากผู้อ่าน” แหะ ๆ
คิดประมวลสะระตะแล้ว Facebook มันก็นสพ.เราดี ๆ นี่เอง แต่เป็นฉบับทำเองเขียนเองอีดิตเองอ่านเองให้ถูกใจตัวเองสุด ๆ หน้าไหนคอลัมน์ใดข่าวอะไรไม่ชอบเก๊าะ edit ทิ้งไปไม่ต้องให้มาเกะกะสายตาในหน้านสพ.ส่วนตัวเฉพาะตัวของเรา
ถ้า Facebook = imagined newspaper, tailor-made edition, in the making อย่างที่ผมว่าจริง ก็น่าคิดว่า
๑) มันกำลังทำหน้าที่แทนนสพ.กระดาษและออนไลน์ที่คนอื่นทำแทนเรามากขึ้นเรื่อย ๆ คือมีบทบาทแค่ป้อนวัตถุดิบ (ข่าว, ภาพ, คอมเมนต์ ฯลฯ) ส่วนหนึ่ง สำหรับให้เราคัดเลือกมาบรรจุใส่นสพ.ในจินตนากรรมบน FB เราเท่านั้น
๒) Imagined newspaper ที่ว่านี้เป็นกิจกรรมเครือข่ายรวมหมู่ สร้างขึ้นได้ด้วยการอาศัยแหล่งข่าวข้อมูลบทวิเคราะห์ภาพการ์ตูนซึ่งกันและกัน ของกันและกัน แต่ขณะเดียวกันก็มีลักษณะ ปัจเจกอิสระ แต่ละคนมีฉบับเฉพาะตัวของตัวเองด้วย
๓) อาจบนฐานนี้กระมังที่มักมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าด้านลบของกิจกรรม social online คือเรามักขังตัวเองอยู่กับเครือข่ายกลุ่มคนที่คิดเหมือน ๆ กัน..... ที่ทำได้เช่นนั้นก็เพราะเราเป็น editor ชีวิตข่าวสารของเรา และได้ edit สิ่งที่เราไม่อยากอ่านอยากฟังออกไปจากหน้านสพ.ส่วนตัวฉบับกูทำเองของเราแต่ละคนแล้ว

...........................................................................................................

บทความอาจารย์เจษฎา เำีกี่ยวกับ GT200

ตั้งกระทู้นี้ช้าไปสัปดาห์ หวังว่าคงจะไม่ตกข่าวเกินไปนะครับ (สัปดาห์ที่ผ่านมา ไปเฝ้าภรรยาผ่าตัดที่รามา กับไปทำค่ายวิทยาศาสตร์ที่ประจวบฯ)

ทุกท่านคงทราบข่าวเรื่องที่นายเจมส์ แม็กคอมิก เจ้าของบริษัทที่ขายเครื่องตรวจระเบิดลวงโลก ADE-651 ถูกศาลอังกฤษตัดสินว่าผิดจริงที่ขายของลวงโลก เอาเครื่องหาลูกกอล์ฟ (ก็ลวงโลกเช่นกัน) อันละไม่กี่ร้อยบาท มาทำเครื่องตรวจกิ๊กก๊อก ADE-651 ไปขายอิรักเครื่องละหลายแสน จนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี


ผมเอง พอรู้ข่าวนี้ ก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่ฝรั่งลวงโลกคนนี้ได้ จะถูกลงโทษซะที ..... ตอนนี้ต้องรอฟังผลอีกหน่อยซักวันที่ 2-3 พ.ค. ว่าจะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง จำคุกซักกี่ปี

ความรู้สึกดีใจอีกประการนึงคือการที่ความพยายามที่พวกเราลงทุนเหน็ดเหนื่อยกันเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว ในการเปิดเผยความจริงเรื่อง ไม้ล้างป่าช้า GT200 และรณรงค์ให้หยุดยั้งการใช้มัน ไม่ว่าจะด้วยการช่วยกันเผยแพร่ Forward Mail หรือช่วยกันเถียงกับฝ่ายที่ไม่เชื่อเรา แต่ในที่สุดก็ถึงบทอวสานเสียที แม้ว่าผม คุณจุฬาฯ และทีมงานทุกท่าน จะต้องทนกระแสเสียดทาน ด่าทอ ข่มขู่ และอีกหลายๆ อย่างที่ผ่านมา


สัปดาห์ที่ผ่านมา มีแต่ช่องเนชั่นที่เชิญผมไปออกรายการ "คมชัดลึก" และมาทำข่าวสัมภาษณ์ผมเพื่อสรุปเป็นสกู๊ป ว่าเราได้บทเรียนอะไรบ้างจากการเสียค่าโง่เป็นพันล้าน เสียชีวิตเจ้าหน้าที่ เสียความเชื่อถือของชาวบ้านต่อภาครัฐ และเสียศรัทธาของคนดังหลายๆ คน ไปกับเครื่องตรวจระเบิดลวงโลกนี้


ผมเอง แม้จะคิดว่าทุกอย่างจบลง 99.99% แล้ว แต่คิดๆ ไปรวมทั้งอ่านกระทู้ต่างๆ ในพันทิปแล้ว มันยังคงเหลืออะไรบ้างอย่างอยากจะเล่า หรือเน้นให้กับพวกเรานะ

- อย่างแรก คนเลวจริงๆ ที่มีหลอกขายเครื่อง GT200 ให้เรา คือ นาย แกรี่ โบลตัน .... ถึงแม้จะถูกจำคุกดำเนินคดีอยู่ที่อังกฤษเหมือนกัน แต่ถ้าตานี้มันยังไม่โดนตัดสินลงโทษ ผมก็ยังคงนอนตาไม่หลับ


- การพิสูจน์ว่าเครื่อง GT200 เป็นของลวงโลกเนี่ย แทบจะเรียกได้ว่าเป็น "ฝีมือคนไทย" เราแท้ๆ เลยครับ เพราะทางอังกฤษตั้งแต่แรกไม่ได้สนใจเรื่อง GT200 ของเรา แต่สนใจ ADE-651 ตามที่รัฐบาลอิรักถามไป และก็กลัวว่าทหารเค้าในอิรักจะอันตรายไปด้วย

- ชาวพันทิป เป็นแกนหลักสำคัญของการพิสูจน์ GT200 มาตั้งแต่เดือน มิ.ย. 52 ที่คุณ Geneticist เอามาเถียงกันอย่างนักในห้องหว้ากอ ตามด้วยคุณ PastelSalad (คุณจุฬา)  ที่เอาเรื่องนี้มาปรึกษาผมตอนเดือน ส.ค. 52 และเราก็วิ่งเข้าวิ่งออกหน่วยงานต่างๆ ของรัฐมาหลายเดือน โดยไม่มีหน่วยงานไหนรับลูกไปทำอะไรจริงจัง แถมมีแม่หมอคนดัง เริ่มเขียนบทความด่าพวกเราแล้ว .... คงเพราะเราไปแตะแผลข้างหลังแกหลายอย่างที่เกี่ยวกับ GT200 มั้ง รวมทั้งการที่ "เครื่องมือคุณหญิงหมอ" นี่โดนใช้เยอะในการตรวจค้นบ้านค้นคนในภาคใต้


- จะเห็นได้ว่าพวกผมไม่ได้พึ่งจะออกมาพูดตอนเดือน ม.ค. 53 เพื่อเกาะกระแส BBC ดังไปกับเค้าด้วย (ใครมาจะหาเรื่องเข้าตัวขนาดนั้น) แต่โชคดีที่ BBC ทำข่าว ไม่งั้นนักข่าวไทย สังคมไทย รัฐบาลไทย ก็ยังไม่สนใจคำพูดคำเตือนของนักวิชาการไทยด้วยกันเองอยู่ดี 


- ความเซ็งสุดๆ ของผมตอนนั้นคือ การที่ตอนแรก BBC ทำข่าวแต่เครื่อง ADE-651 เลยทำให้ รองนายกฯ สุเทพ ออกมาแถแทนกองทัพ ได้ว่าคนละรุ่นกัน .... หน้าตาเครื่องมันก็ป๊อกแป็กพอกัน ทำไมดูไม่ออกวะ ..... โชคดีที่ผมเปิดเจอในเน็ตตอนตีสอง ว่านักข่าว BBC เค้าเคยแกะเครื่อง GT200 เหมือนกัน เลยโทรศัพท์คุยกับเค้าโดยตรง ถึงได้ภาพข่าวออกมาในอีกสัปดาห์ถัดไปจนเถียงไม่ขึ้นเลยทีนี้


- แต่ผมอยากยืนยันว่า แม้ว่าท่านสุเทพ จะสร้างปัญหาให้ผมแค่ไหน แต่ท่านอภิสิทธ์นั้นได้ช่วยเหลือผมไว้เยอะกับกรณี GT200 นี้ (ท่านทักษิณ ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ต้องไปโทษกันไปกันมา) โอเคแหล่ะว่า ท่านอภิสิทธ์เคยพลาด เล่นพูดตามสคริปต์เรื่องจะหาแบตเตอรี่มาใส่ GT200 ให้ดีขึ้น .... แต่หลังจากท่านโทรคุยกับผมโดยตรง ผมก็ได้รับโอกาสในการจัดทดสอบเครื่อง จนทำให้เห็นเลยว่ามันเป็นเครื่องเดาสุ่มแท้ๆ  หลายๆ คนที่ด่าพวกผมกันอยู่ตอนนั้นถึงได้ตาสว่างขึ้นมาได้ (ยิ่งพอมาได้เครื่องจริงไปถ่ายเอ็กซเรย์ และแกะดูกันเห็นๆ ว่าข้างในไม่มีอะไร ก็ยิ่งอ๋อกันใหญ่)
รูปนี้ก็ถ่ายที่ห้องทำงานผม ก่อนจะเอาไป x-ray แล้วมาโพสต์โชว์ในพันทิป


- แล้วผลการทดสอบที่เมืองไทยว่าเครื่องมันลวงโลกนี่แหล่ะ ที่เป็นหลักฐานสำคัญให้ศาลอังกฤษเอาผิดกับ เจมส์ แม็กคอแม็ก และพวก .... เพราะพวกมันเล่นอ้างว่าส่งมาขายหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยเนี่ย แล้วไม่เห็นคนที่ใช้จะบอกเลยว่าใช้ไม่ได้
ไม่รู้ว่าพวกมันเอาคลิปแถลงข่าวนี้ไปเป็นพยานสุ้คดีด้วยหรือเปล่า หวังว่าคงไม่เผลอเอารูปนี้ไปโชว์ (การ์ดจอ NVDIA - ฝีมือบางคนแอบวางยา) ฮะฮะ


- อานิสงค์ที่เกิดจากที่เราปฏิบัติการต่อต้าน GT200 นั้น ส่งไปถึงประเทศอื่นๆ ที่พึ่งจะเริ่มมาสอบสวนเรื่องนี้ ... อุทาหรณ์สำคัญที่ผมคิด คือ ข้อมูลทั้งหมดที่พวกผมใช้ตั้งแต่ต้น มันก็มาจากอินเตอร์เน็ตเป็นส่วนใหญ่ (DSI ยังใช้ข้อมูลจากเน็ตพวกนี้ในการทำคดีนี้เลย) ทำไมถึงไม่หามาดูกันตั้งแต่มีเรื่องตรวจคาร์บอร์มผิดพลาด ทำไมเอาแต่เถียง โดยอ้างแต่ผุ้ใช้

จริงๆ ก็มีอีกหลายๆ เรื่องอยากจะเล่าเกี่ยวกับ "ลับ ลวง พราง" ของ GT200 .... เอาเป็นว่า รบกวนหาหนังสือ "จากนักวิทย์ สู่ชีวิตทหารรับจ้าง" แล้วกันครับ ผมกับคุณจุฬาช่วยกันเขียนเล่าเบื้องหลังของจีทีสองร้อย เขียนไว้ตั้งแต่ปีก่อนแล้วจะได้มั่นใจได้ว่าผมบันทึกไว้อย่างนัั้นจริงๆ ไม่ใช่มาอ้างเอาตอนนี้


ผมอยากจบกระทู้โดยการเปิดประเด็นในพวกเราคิดเป็นอุทาหรณ์ต่อไปว่า สังคมไทยต้องพัฒนาทางความคิดมากขึ้นกว่านี้ ต้องอาศัยหลักการและเหตุผล โดยเฉพาะหลักฐานและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ในการแก้ปัญหาต่างๆ มากขึ้นกว่านี้ ..... คิดๆ ไปแล้ว ปัญหาเสื้อเหลืองเสือแดงทะเลาะกัน ก็มาจากการที่ไม่ใช้เหตุผลคุยกัน  ไม่เปิดใจรับฟังความเห็นจากอีกฝ่ายบ้าง .... หวังว่าเราจะฟังกันมากขึ้น และเคารพสิทธิของผู้อื่นมากขึ้นนะ

ขอฝากความหวังที่จะเห็นประเทศชาติ โดยเฉพาะภาคใต้ สงบสุขขึ้น .... หวังว่าเราจะไม่สูญเสีย ผู้บริสุทธิ์ ครูอาจารย์ พระสงฆ์ เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ ฯลฯ อีก .... ผมเองทำกิจกรรมรับบริจาคเงินซื้อเสื้อเกราะกันกระสุน ร่วมกับโครงการสันติภาพชีวิต ( http://www.stpcv.org/index1.php ) ส่งให้กับเจ้าหน้าที่ของเราไว้ป้องกันตัว แต่ก็ไม่อยากให้เสื้อพวกนี้ต้องเคยโดนกระสุนแม้แต่นัดเดียว


สุดท้าย ขอฝากท่านที่อยากร่วมให้กำลังใจทหารหาญของเรา ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติภาระกิจ  ต้องมาแขนขาขาด สูญเสียอวัยวะ ก็เพื่อให้คนไทยนอนหลับได้อย่างสบาย .... ขอเชิญไปร่วมกับคุณบิลลี่ โอแกน จัดคอนเสิร์ตเพื่อพวกเขา ได้ในวันที่ 1 พ.ค. นี้ที่ รพ. พระมงกุฎ นะครับ 
---------------------------------
Billy Ogan
1 พ.ค 2556 วันแรงงาน อยากขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาอยากจะไปใช้แรงงาน ร่วมกันในกิจกรรม เยี่ยมปลอบขวัญ ทหารชายแดนที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ และ พักรักษาตัวที่ ร.พ พระมงกุฏ พบศิลปิน วงดนตรี ปล้ำแรง บิลลี่เข้ม คณาคำ อภิรดี และ อีกหลายคน ไปร่วมกันขับกล่อมเสียงดนตรี พร้อมจัดเลี้ยงให้กับทหารจำนวน 65 นายที่กำลังพักฟิ้น ท่านสามารถไปเป็น อ.ส หรือ ร่วมเป็นเจ้าภาพอาหาร หรือบริจาคนอกเหนือจากนี้ได้ เพื่อเป็นการให้เกียรติต่อผู้ที่ได้เสียสละตนเพื่อประเทศชาติ จึงขอเรียนเชิญมาร่วมโดยพร้อมเพรียงกัน อนึ่งงานนี้จัดโดย

**** แก้ไขด่วน ***
คอนเสิร์ตคุณบิลลี่ เปลี่ยนเวลากระทันหันเป็นตอนเที่ยงนะครับ ขออภัยเป็นอย่างสูงครับ


*** เพิ่มเติม ***
อ๊ะ... มีอย่างนึงที่ลืมเล่า

การสอบสวนของ DSI กับของ ปปช. เกี่ยวกับการจัดซื้อ GT200 และ อัลฟ่า 6 ของสำนักงานนิติไสยศาสตร์เนี่ย

เศร้า งานนี้หญิงหมอหลุดนะครับ แกเล่นไม่ยอมลงนาม แต่ให้ รอง ผ.อ. เป็นคนลงนามแทน เศร้า

ผมก็ว่าแล้วว่าทำไมตอนดูรายชื่อผู้ถูกฟ้องซึ่งเยอะไปหมด (แค่นิติวิทย์ที่เดียวก็เป็นสิบคนแล้ว) ถึงไม่มีชื่อ หญิงหมอ .... ร้ายจริงๆ  เค้าล้อเล่น
..........................................................................................................




กิจกรรมวันแรงงาน ว่างๆเอาช้อนแก้วพลาสติกใช้แล้วทิ้งแปลงร่างเป็นมังกรไข่มุก •.•

..............................................................................................................


โอ้ว่าอองซานซุจี ท่านอยู่หนใด?

ออง ซาน ซูจี ปราศรัยเมื่อ 17 พ.ย. 2554 (ที่มา: วิกีพีเดีย/แฟ้มภาพ)

การหายตัวไปของสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยพม่าเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นข่าวที่น่าสลดใจอย่างยิ่งในรอบหลายปี
เป็นเรื่องที่ทำใจลำบากอยู่แล้วเมื่อนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายด้านสิทธิมนุษยชน หายตัวไปที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2004 ในระหว่างกำลังตรวจสอบข้อกล่าวหาการทำทารุณกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ข่าวน่าสะเทือนใจที่คล้ายคลึงกันคือการลักพาตัวนายโจนาส เบอร์โกส ทนายที่ต่อสู้เพื่อชาวนาที่ไม่มีที่ดินทำกิน จากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเขตเกซอนซิตี้ของกรุงมะนิลา
หลังจากนั้นอีก 4 เดือน สมบัด สมพอน นักการศึกษาและนักรณรงค์สิทธิชาวลาว ถูกหยุดตรวจโดยตำรวจในเวียงจันทน์และต่อมาก็ถูกควบคุมตัวเข้าไปในรถกระบะ
ไม่มีใครเห็นคนเหล่านี้อีกเลย
มาในตอนนี้ก็เกิดการหายตัวไปอย่างลึกลับของด่อออง ซาน ซุจี* เพื่อนและเพื่อนร่วมงานของนางสงสัยว่าการหายตัวในครั้งนี้จะเป็นฝีมือของผู้นำในกองทัพและผู้ใกล้ชิดระดับมหาเศรษฐี
หากเป็นเรื่องจริง คนกลุ่มนี้ได้เล่นกลลวงและได้นำคนหน้าเหมือนมาสวมรอยแทนเธอ เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับบุคคลสำคัญทางการเมืองมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นวินสตัน เชอร์ชิล เฮนรี่ คิสซินเจอร์ และซัดดัม ฮุสเซน
เรามาทบทวนกันดีกว่าว่าการกระทำที่แสนจะขี้ขลาดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ในปี 1988 เมื่อด่ออองซานซุจีกลับมาจากพม่า (จากอังกฤษ – ผู้แปล) ด่ออองซานซุจีกลายเป็นตัวแทนผู้กล้าหาญที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้มีระบบหลายพรรคที่เป็นของประชาชนและปลอดจากการคอรัปชั่นที่รัฐเห็นชอบ เธอยังต่อสู้กับการค้ายาเสพย์ติด และการกวาดล้างกลุ่มชาติพันธุ์ด้วย
เธอประณามเผด็จการทหารที่บริหารทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ในประเทศของเธอผิดพลาด และทำให้ประชาชนต้องจมอยู่กับความยากจน และในระหว่างนี้เองเธอก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในช่วงที่เธอถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านพัก
จากนั้น ในปี 2010 เธอก็ได้รับการปล่อยตัวจากการจองจำและได้รับเสรีภาพให้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองบางส่วนซึ่งไม่มีใครคาดฝันมาก่อน
เธอออกหาเสียงไปทั่วประเทศ ได้รับชัยชนะจำนวนหนึ่งที่นั่งในรัฐสภา และ ยังเดินทางไปต่างประเทศเพื่อรับรางวัลโนเบล และยังได้รับเกียรติให้เข้าพบผู้นำระดับโลกทั้งที่วอชิงตัน ลอนดอน และปารีส
จากนั้น จู่ ๆ เธอก็หายตัวไป หรืออย่างน้อย ๆ ด่ออองซานซุจีตัวจริงที่เราทุกคนรู้จักได้หายตัวไป มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งปรากฏกายในที่ของเธอ มีชื่อเดียวกันและมีบุคลิกลักษณะใกล้เคียงกันด้วย
สิ่งมีชีวิตใหม่สิ่งนี้กระโดดลงไปบนเตียงกับเหล่านายพลและคนสนิทฐานะมั่งคั่งของพวกเขา เป็นตัวละครอย่างเฟาสต์** เช่นเดียวกับลีกวนยูและฮุนเซน ที่ไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกสต๊าฟไว้อีกต่อไป
“เป็นเรื่องจริง ดิฉันชอบกองทัพ” เธอกล่าวออกรายการ Desert Island Discs ของบีบีซี พร้อม ๆ กับเลือกเพลง Here Comes the Sun ของเดอะบีเทิลส์ และ Green Green Glass of Home ของทอม โจนส์ เป็นสองเพลงในจำนวนเพลงที่เธอเลือก
นี่เป็นด่ออองซานซุจีตัวจริงแน่หรือ ที่ชื่นชมนายทหารในกองทัพ ซึ่งหากเราจำกันได้ ก็คือพวกที่เกณฑ์ทหารเด็ก ปล้นและข่มขืนชนกลุ่มน้อย และสังหารผู้ชุมนุมประท้วงหลายร้อยคนในปี 1988 และ 2007
ไม่นะ นี่ต้องเป็นตัวปลอมสิ เพราะผู้หญิงคนนี้ทำแม้กระทั่งสรรเสริญคนพวกนั้น และยังยินดีรับเงินบริจาคในงานระดมทุนของพรรคจากคนอย่างอูเธสะและอูจอวิน ซึ่งทรัพย์สินที่ได้มาด้วยช่องทางที่ไม่บริสุทธิ์ พร้อมทั้งรถเฟอรารี่และโรลสรอยซ์ของพวกเขานั้นล้วนมาจากสัญญากับทหารและกิจกรรมอื่น ๆ ทั้งสิ้น
นอกจากนั้น “นกต่อ”ในรูปของอองซานซุจีตัวปลอมนี้ยังเห็นดีเห็นงามกับเหมืองทองแดงเลทปะด่อง (Letpadaung) ที่มีกลุ่มทหารจีนเป็นเจ้าของด้วยส่วนหนึ่ง และ Union of Myanmar Economic Holdings ที่มีกองทัพเป็นเจ้าของอีกด้วย
โครงการที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมานานนี้ได้ขับไล่ชาวนาหลายร้อยคนออกไปจากพื้นที่และเปลี่ยนพื้นที่ชนบทบ้าน ๆ ให้กลายเป็นพื้นที่ประมาณหลุมบ่อที่แสนสยดสยองบนพระจันทร์ที่จะท้าทายความสามารถแม้แต่จิตรกรอย่างเฮียโรนิมัส บอส (Hieronymus Bosch)***
แม้ภายหลังกองกำลังรักษาความสงบได้ยิงกระสุนฟอสฟอรัสขาวเข้าไปยังกลุ่มชาวนาผู้ชุมนุม “นกต่อ” ด่ออองซานซุจียังย้ำอีกว่าเธออยู่ข้างเดียวกับเหมืองทองแดงและเธอจะลงโทษชาวนาเหล่านั้นที่ได้ประท้วงเหมืองโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน
หลักฐานชิ้นสุดท้ายที่ทำให้เห็นปีศาจนกต่อตนนี้ คือเมื่อชาวมุสลิมในเมืองเมกติลา (Meiktila) ย่างกุ้ง และรัฐยะไข่ถูกสังหารโดยกลุ่มชาวพุทธฝ่ายขวาจากชุมชนชาวพม่าแท้ (Bamar) ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ และเป็นฐานเสียงสำคัญของด่อออองซานซุจี
ท่านผู้หญิง**** ได้ลุกขึ้นมาประณามการสังหารหมู่นี้หรือไม่ เธอเปล่า
สิ่งเหล่านี้มันไม่เหมือนด่ออองซานซุจีตัวจริงเอาเสียเลย คำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้คือนี่เป็นอุบายชั่วของทหารที่วางแผนลักพาตัวเธอและนำหุ่นเชิดขี้ประจบมาสวมรอยแทน
เราคงได้แต่เพียงหวังว่าใครสักคนจะปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ...แล้วก็เร็ว ๆ นี้ด้วย

เชิงอรรถ
* ด่อ (Daw) เป็นคำนำหน้าชื่อผู้หญิงพม่าวัยกลางคนขึ้นไปทั้งที่แต่งงานแล้วหรือไม่ได้แต่งงาน มีความหมายใกล้เคียงกับ “นาง” ในภาษาไทย แต่ใช้อย่างกว้างขวางมากกว่าและยังมีนัยยะเรื่องการให้ความเคารพ ดังนั้นจึงไม่มีชาวพม่าที่กล่าวถึงด่ออองซานซุจีว่า “อองซานซุจี” เฉย ๆ แต่จะมี “ด่อ” นำหน้าชื่อด้วยเสมอ
**เฟาสต์ (Faust) เป็นตัวเอกของตำนานเก่าแก่ของเยอรมัน ชีวิตของเฟาสต์จัดเป็นเรื่องราวแบบโศกนาฏกรรม เฟาสต์เป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในชีวิตแต่กลับไม่พอใจกับชีวิตของตน และได้ตกลงกับปีศาจเพื่อแลกวิญญาณของตนกับความรู้และความสุขทางโลก เฟาสต์เป็นตัวละครที่ถูกศิลปินเยอรมันหลายยุคหลายสมัยจับมาสร้างเป็นงานศิลปะและวรรณกรรม แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็นบทประพันธ์เรื่องเฟาสต์ของเกอเธ (Johann Wolfgang von Goethe)
***เฮียโรนิมัส บอส (Hieronymus Bosch) เป็นจิตรกรชาวดัตช์ที่มีชื่อเสียงจากการวาดบานพับภาพ (triptych) บานพับภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของบอสเป็นภาพของสวรรค์กับนรกชื่อ The Garden of Earthly Delights
**** The Lady เป็นสมญานามที่ทั่วโลกมอบให้ด่ออองซานซุจีด้วยความรักและเคารพ ผู้แปลขอแปลตรงตัวในที่นี้ว่า “ท่านผู้หญิง” ด้วยท่าทางและท่าทีที่สง่างามของเธอที่ทำให้อดคิดมิได้ว่าเธอเป็น “ท่านผู้หญิง” จริงๆ

.......................................................................................................




ปาฐกถาที่นายก ฯ หญิงของเรา ไปแสดงที่ประเทศมองโกเลีย เมื่อ 29 เมษายนที่ผ่านมา ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปในต่างแง่มุม แต่ที่อาจยังไม่มีใครกล่าวถึงก็คือแง่มุมทางภาษา ประวัติศาสตร์ โบราณคดีที่แฝงอยู่ในบางถ้อยความ อย่างความหมายของคำว่า Thai

ประเด็นดังกล่าว ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ ได้ตั้งข้อสังเกตและแสดงความเห็นไว้ในคอลัมน์สยามกาลครั้งหนึ่ง นสพ.สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ดังที่คัดมาให้อ่านบางส่วนนี้ (อ่านข้อเขียนฉบับเต็มได้ในฉบับวางแผงศุกร์นี้)

'ผมคิดว่าปาฐกถาที่ท่านนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปแสดงที่ประเทศมองโกเลีย เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมานี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

เพราะเนื้อหาที่บรรจุอยู่ภายในปาฐกถาครั้งนี้สรุปเรื่องราวภาพการเมือง และประชาธิปไตยของไทยปัจจุบันได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะในภาษาอังกฤษ จะเห็นได้ว่าคำที่ใช้นั้นง่าย ตรงประเด็น และชัดเจนมากๆ

ผมไม่คิดว่าสิ่งที่ขั้วตรงข้ามกับรัฐบาลได้ตั้งข้อกล่าวหาจะนับว่าเป็นปัญหาได้ แต่ข้อบกพร่องเล็กๆประการหนึ่งในสายตาคนที่ทำงานวิชาการสายโบราณคดี-ประวัติศาสตร์ อย่างผม ในปาฐกถาชิ้นนี้ คือข้อความที่ว่า

“Thai means free” หรือ “คำว่าไทย แปลว่า อิสระ” ต่างหาก
เพราะคำว่า “ไทย” แต่ดั้งเดิมนั้นไม่ได้หมายความว่า “อิสระ”

เนื่องจากในคำชักชวนเชิงอธิบายความ 5 ข้อ ทางวิทยุของหลวงวิจิตรวาทการ (ซึ่งอิงอยู่กับอำนาจของรัฐบาลของ จอมพล ป.พิลูลสงคราม ในสมัยนั้น) เรื่องการเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2482 มีสองข้อสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าคำว่า “ไทย” ในที่นี้มาจาก “ชนชาติ” คือ

1. ไม่ตรงกับเชื้อชาติของพลเมืองซึ่งเปนไทย ทำให้ชื่อประเทศเปนอย่างหนึ่ง แลชื่อพลเมืองเปนไปอีกอย่างหนึ่ง
และข้อ 5. ชนชาติไทยเปนชาติที่มีสาขาใหญ่หลวงอยู่ในเวลานี้ สมควรจะเรียกชื่อประเทศให้สมศักดิ์ของชนชาติไทย

ผลที่ตามมาคือเราเปลี่ยนชื่อจากประเทศสยาม เป็นประเทศไทย โดยมีประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2482 ดังนั้น คำว่า “ไทย” ในที่นี้จึงมาจากชื่อชนชาติ หรือกลุ่มชาติพันธุ์ “ไท” ซึ่งเป็นคำเก่าของอุษาเนย์ที่แปลว่า “คน” เราเพิ่งมาเติม “ย” ตามท้ายคำ เพื่อลากความเข้าภาษาบาลีสันสกฤตแปลว่า “อิสระ” ในชั้นหลังเท่านั้นเอง

ที่สำคัญความหมายของคำว่า “คน” ของอุษาคเนย์เก่า ไม่ได้มีความหมายเหยียดหยามสิ่งมีชีวิตอันเป็นเพื่อนร่วมโลกชนิดอื่น เหมือนอย่างความหมายในโลกตะวันตกเสียด้วย

นิทานหลายเรื่องแสดงให้เห็นว่าชาวอุษาคเนย์ดั้งเดิมนับถือสัตว์บางชนิดเป็นบรรพบุรุษ (totem) โดยเฉพาะนิทานของกลุ่มชนเผ่าที่กระจายตัวอยู่ทางตอนใต้ของจีน ไปจนถึงตอนเหนือของเวียดนามและลาว เช่น นิทานของตะเรียง และตะกู ที่เล่าว่า เมื่อคราวหลังน้ำท่วมโลก เหลือเพียงหมาเพศผู้ กับมนุษย์ผู้หญิง ติดเกาะกันอยู่บนยอดเขาที่สูงชันเสียจนน้ำท่วมไปไม่ถึง
มองไปข้างบนก็มีแต่ฟ้า แลมาข้างล่างก็มีแต่น้ำ มองไปข้างๆก็พบแต่สายตาระหว่างกันและกัน จะมัวมาพูดพล่ามทำเพลงอะไรกันอีกเล่าครับ? ทั้งคู่จึงได้อยู่กินกันมาจนสืบลูกสืบหลานมาเป็นมนุษย์อย่างเราๆท่านๆนี่แหละ

นิทานเรื่องนี้คงเป็นที่แพร่หลายเป็นอย่างมากในยุคก่อนที่ชาวอุษาคเนย์ดั้งเดิมจะรับอิทธิพลศาสนาพุทธ-พราหมณ์ จากชมพูทวีป ภาพเขียนสีที่เขาจันทร์งาม อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา แสดงรูปหมาโชว์อวัยวะเพศอยู่เหนือรูปมนุษย์ผู้หญิงกำลังคลอดลูก ชวนให้คิดถึงนิทานเรื่องนี้ตะหงิดๆ (สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับศิลปะถ้ำติดตามได้ใน www.facebook/Bigneversmall Art Institute) และคงไม่ใช่เพียงแค่กับหมาเท่านั้นเรายังมีร่องรอยอีกหลายประการที่แสดงให้เห็นถึงการนับถือสัตว์ประเภทต่างๆเป็นบรรพบุรุษด้วย

ดังนั้น ถ้าท่านนายกฯ จะแปลคำว่า “ไทย” ใหม่เสียว่า “คน” ก็ไม่เสียหายนะครับ ซ้ำยังมีแต่จะความหมายเพิ่มขึ้นอีกด้วย จาก “Thai means free, and the people of Thailand fought back for their freedom.” หรือ “คำว่า ไทย หมายถึง อิสระ และประชาชนในประเทศไทยได้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของพวกเขา”มาเป็น “Thai means man, and the people of Thailand fought back for their honor of human being.”

“คำว่า ไทย แปลว่า คน และประชาชนในประเทศไทยได้ต่อสู้เพื่อเกียรติยศความเป็นคนของพวกเขา” ซ้ำยังเป็นความเป็นคนที่เท่าเทียมกับสิ่งมีชีวิตร่วมโลกชนิดอื่นๆอีกด้วย'
 
........................................................................................................




ยิ่งอ่านยิ่งโง่?!

สวัสดีครับคุณวินทร์

ไม่รู้ว่ามีคนเขียนมาถามบ้างหรือยัง คือขอช่วยขยายความที่บอกว่า หนังสือจำนวนมากยิ่งอ่านยิ่งโง่เป็นอย่างไร? และเป็นไปได้อย่างไร? หรือหมายถึง 'หนังสือต้องห้าม' ทั้งหลาย? อ่านเจอหลายที่ทั้งข่าวหน้าหนึ่งและคุยกับวินทร์

และที่บอกว่าหนังสือบางเล่มไม่น่าอ่าน สมควรฉีกทิ้ง ไม่ควรบริจาคด้วยซ้ำ ขอยกตัวอย่างสักเล่มเพราะไม่เคยเจอครับ อย่างหนังสือโป๊คนเขาทิ้งยังมีคนไปเก็บมาเลยครับ

อีกประเด็นหนึ่งคือ แนวคิดที่ว่ายิ่งอ่านยิ่งฉลาด ทำไมจึงเป็นทัศนคติที่อันตรายไม่ควรปลูกฝัง ทั้งหมดนี้หากคนที่เข้าใจคำว่า การอ่าน/นิสัยรักการอ่าน วัตถุประสงค์ของการอ่าน คุณค่าของการอ่าน ก็พอจะเข้าใจและไม่มองในแง่ลบมากนัก

อ้อ หนังสือพิมพ์ด้วยครับ พาดข่าวหน้าหนึ่งอาจจะไม่น่าอ่าน แต่รายละเอียดในคอลัมน์ต่างๆ หนังสือพิมพ์แต่ละฉบับก็ยังทำหน้าที่ได้ดีนะครับ

ด้วยความเคารพ

ตอบ...

สมัยผมเป็นเด็ก ครูสอนให้ยกหนังสือเป็นของสูง อ่านแล้วต้องกราบก่อนเก็บ ค่านิยมนี้มีส่วนดี เพราะหนังสือดีจำนวนมากสร้างคนจริงๆ ผมเองก็ได้ความรู้ปัญญาจากหนังสือจำนวนมาก และถือเป็นบุญคุณอย่างหนึ่ง

แล้วทำไมจึงกล้าบอกว่า หนังสือจำนวนมากยิ่งอ่านยิ่งโง่?

มันจริงหรือ?

ก่อนคุยต่อ ขอให้ช่วยลบความคิดว่า "หนังสือเป็นของสูง" ออกชั่วคราวก่อนนะครับ แล้วถามว่าหนังสือคืออะไร คำตอบคือ หนังสือเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง เหมือนจดหมาย วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ

ถ้าจดหมาย วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ อินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องแย่ๆ ได้ หนังสือก็เป็นได้ จริงไหม?

หนังสือเป็นเพียง end product ของความคิดอ่านของคนที่เขียนมันขึ้นมา

ผมไม่ได้หมายถึงหนังสือโป๊หรือหนังสือต้องห้ามหรอกครับ พวกนี้ไม่ได้เลวร้ายไปหมด ถ้าอ่านเป็นก็เรียนรู้ได้ แต่หนังสือประเภทที่ปลูกฝังความเชื่อโดยไม่คิดนี่สิอันตรายกว่า บางครั้งแฝงอยู่ในรูปของวิชาการ หรือวิทยาศาสตร์ หรือพุทธศาสนาด้วยซ้ำ ทำให้เชื่อได้ง่ายว่าเป็นของดี

ผมคงไม่สามารถบอกชื่อหนังสือหรอกครับ แต่หากคุณลองอ่านหนังสือทั้งหลายในตลาด ก็จะพบว่ามีหนังสือที่เข้าข่ายหนังสือเลวมากมาย

ยกตัวอย่างเช่น หนังสือที่เสนอความคิดว่า ทุกความชั่วแก้ได้ด้วยกระบวนการไสยศาสตร์ ก็ลองคิดดูว่าอ่านแล้วเราจะได้สังคมแบบไหน หรือหนังสือที่เสนอวิธีสร้างบุญเพื่อได้คู่ครองรวย เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่มีวุฒิภาวะอ่านแล้วถูกปลูกฝังด้วยความเชื่อนั้น เราก็จะได้สังคมแบบที่คนงอมืองอตีน รอรวยทางลัดอย่างเดียว เป็นต้น

ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่อ่านแล้วโง่ลง

ดังนั้น ทัศนคติที่ว่า "หนังสือเป็นของสูง" จึงใช้ไม่ได้กับหนังสือทุกเล่ม หนังสือจะเป็นของสูงก็ต่อเมื่อคนเขียนมีความรู้ ปัญญาจริงๆ เขียนเรื่องที่ทำให้คนอ่านอยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น อยากสร้างสรรค์สังคมที่ดีขึ้น ไม่ใช่เห็นแก่ตัวมากขึ้น หรือโลภมากขึ้น

ความจริงก็คือ ไม่ใช่นักเขียนทุกคนที่มีปัญญา ขั้นตอนการผลิตหนังสือที่ง่ายดายกว่าเดิมและการตลาดที่มีลูกเล่นมากมาย ทำให้คนไม่รู้ก็เขียนหนังสือฮิตได้

โดยนิสัยส่วนตัว ผมไม่สร้างศัตรูแม้แต่คนเดียว ดังนั้น การพูดเรื่องนี้ออกมา จึงพูดเพราะเชื่ออย่างนี้จริงๆ ไม่ใช่เพราะอคติ อยู่ดีๆ ผมไม่หาเรื่องถูกด่าหรอกครับ ที่ยอมพูดก็เพราะเป็นห่วงเด็กๆ รุ่นใหม่ อยากให้เราคิดถึงพวกนี้ว่าเราจะช่วยสร้างสังคม หรือทำลายสังคม เราอยากให้ลูกหลานเราอยู่ในสังคมแบบไหน

สังคมที่คนถูกจูงจมูกง่ายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มิใช่เพราะคนเชื่อง่ายหรืิอ? ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องสอนให้คนอ่านคิดเป็น แย้งเป็น วิเคราะห์เป็น

คุยกับวินทร์, 30 เมษายน 2556
http://www.winbookclub.com/takedetail.php?quizid=3308

........................................................................................................

.............................................................................................................

ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย : อำนาจและศักดิ์ศรีของรัฐสภาไทย


(อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

ภายหลังจากที่กลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลกอปรกับสมาชิกวุฒิสภาประมาณ 30 ท่าน ได้ออกแถลงการณ์ไม่ยอมรับศาลรัฐธรรมนูญกรณีที่มีการรับคำร้องเพื่อตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตาม มาตรา 68 ได้นำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่าการออกแถลงการณ์ดังกล่าวถือเป็นการไม่เหมาะสม กรณีถือเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของศาลบ้าง ไม่ให้เกียรติศาลบ้าง ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมบ้าง ผ่านการแสดงออกว่าไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
ยิ่งไปกว่านั้น บางท่านกล่าวถึงขนาดว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเสียด้วยซ้ำ

สำหรับผู้เขียนเองเห็นว่าข้อโต้แย้งของฝ่ายผู้ไม่สนับสนุนให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญข้างต้นนั้นค่อนข้างมีปัญหา กล่าวคือ เป็นข้อโต้แย้งที่อยู่บนพื้นฐานแนวคิดที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากหลักการทางด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน การกระทำของฝ่ายไม่สนับสนุนข้างต้นต่างหากกลับขัดแย้งกับหลักการเสียเอง จึงใคร่ขออนุญาตที่จะอรรถาธิบายผ่านบทความนี้โดยสังเขปเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจได้อย่างถูกต้องตรงกันตามหลักวิชา

คำถามในเบื้องต้นที่เราจะต้องตอบก็คือ อะไรส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ของการไม่ยอมรับการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ณ ปัจจุบัน?
ในเชิงหลักการแล้ว คำถามดังกล่าวสามารถตอบได้โดยง่ายนั่นก็คือ การที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เริ่มเข้ามาสำรวจตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภา "ด้วยช่องทางพิเศษ" ผ่านมาตรา 68 ซึ่งโดยหลักการแล้วหาได้เป็น "ฐานอำนาจ" ที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถเข้ามากระทำการดังกล่าวได้

เพราะมิใช่การใช้สิทธิเสรีภาพของบุคคลหรือพรรคการเมืองแต่อย่างใด หากแต่เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ การกระทำของศาลรัฐธรรมนูญจึงขัดแย้งต่อ "หลักไม่มีกฎหมาย ไม่มีอำนาจ" ซึ่งถือเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของหลักนิติรัฐที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 3 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญที่ผูกพันทุกองค์รวมตลอดถึง "องค์กรตุลาการ" ด้วย

อย่างไรก็ดี หลายท่านอาจตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ข้างต้นที่กลุ่ม "สมาชิกรัฐสภา" กลุ่มหนึ่งที่สนับสนุนให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ออกแถลงการณ์ไม่ยอมรับการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญที่จะเข้ามาสำรวจตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตรา ว่าเป็นการเหมาะสมหรือไม่เพียงใด เพราะเป็นการโต้แย้งกับศาล โดยหากพินิจพิเคราะห์ให้ดีก็จะพบว่าอันที่จริงการไม่ยอมรับดังกล่าวนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่เริ่มที่มีการ "ก่อตัว" ขึ้นมาให้เห็นบ้างพอสมควรแล้วเมื่อครั้นที่รัฐสภาได้ขอเสนอแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 291 เพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญอันนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แต่กลับถูกระงับยับยั้งโดยศาลรัฐธรรมนูญผ่านมาตรา 68

ผู้เขียนขออธิบายว่า ในเชิงหลักการแล้ว เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกและน่าตระหนกตกใจอะไร เพียงแต่สำหรับประเทศไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นชินกับบรรยากาศของการโต้แย้งทำนองนี้เท่าไรนัก

ทั้งนี้ เนื่องจากเราจะคุ้นเคยกับระบบกฎหมายเอกชน (Private Law) ที่กำหนดให้องค์กรตุลาการ หรือศาลนั้นเป็นองค์กรชี้ขาดแต่เพียงองค์กรเดียว แต่ในกรณีของรัฐธรรมนูญซึ่งอยู่ในระบบกฎหมายมหาชน (Public law) หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ถือเป็นเรื่องธรรมชาติของระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญ

เพื่อให้เห็นภาพและเข้าใจได้โดยง่าย ขอให้ผู้อ่านโปรดนึกและทำความเข้าใจตามด้วยว่ารัฐธรรมนูญนั้นเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการกำหนดโครงสร้างอำนาจหน้าที่ขององค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยหลักๆ อันประกอบไปด้วยฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ

ดังนั้น โดยสภาพแล้ว แต่ละฝ่ายก็ย่อมต้องมีอำนาจหน้าที่ของตนเองตามที่รัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายแม่บทของประเทศได้กำหนดไว้

การกำหนดโครงสร้างอำนาจหน้าที่ข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers) ที่ทุกองค์กรต้องเคารพ อย่างไรก็ตาม เราพึงต้องทำความเข้าใจในหลักการด้วยว่า คำว่า "การแบ่งแยกอำนาจ" ณ ที่นี้ หาใช่เพียงแค่การแบ่งแยกการใช้อำนาจของแต่ละองค์กรอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่รวมถึง "การแบ่งแยกอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญ" (Separate Constitutional Interpretation) ด้วย ว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจองค์กรใดใช้อำนาจ

เช่น ฝ่ายบริหารก็มีอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญว่า เรื่องนี้ถือเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีในการบังคับใช้ตัวบทกฎหมาย ฝ่ายนิติบัญญัติก็มีอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญว่า เรื่องนี้ถือเป็นอำนาจของรัฐสภาในการตรา หรือแก้ไขตัวบทกฎหมาย ฝ่ายตุลาการก็มีอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญว่าเรื่องนี้ถือเป็นอำนาจของศาลในการตัดสินคดี จะเห็นได้ว่าอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญจะ "มิได้ผูกขาดไว้เฉพาะกับศาลเท่านั้น" อันเป็นการแตกต่างจากระบบกฎหมายเอกชนทั่วไป

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การตีความโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตัวรัฐธรรมนูญจะมีลักษณะของการกระจายอำนาจการตีความไปยังองค์กรอื่นในฐานะผู้ใช้อำนาจอธิปไตยด้วยเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี การตีความดังกล่าวขององค์กรต่างๆ ว่าตนเองมีอำนาจในการกระทำการใดๆ นั้น ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ จะตั้งอยู่บนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเป็นหลัก ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้มีการตีความไปตามอำเภอจิตอำเภอใจอันนำไปสู่การใช้อำนาจไปอย่างบิดเบือน (Abuse of Powers) นั่นเอง

ดังนั้น จากหลักการที่ผู้เขียนได้หยิบยกขึ้นมากล่าวในข้างต้นสามารถนำไปอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ได้ว่า ปัจจุบัน รัฐสภาในฐานะขององค์กรฝ่ายนิติบัญญัติได้ใช้อำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญโดยบอกว่า "อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา" อยู่ใน "ขอบเขตอำนาจของฝ่ายการเมือง" ดังที่บัญญัติไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือว่าเป็นการสอดคล้องกับหลักการของระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว

อีกทั้งการตีความของรัฐสภาในครั้งนี้อยู่บนเงื่อนไขและหลักการที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ นั่นก็คือ มาตรา 291 ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จึงหาได้เป็นการตีความอย่างไร้เหตุไร้ผลเพื่อใช้อำนาจของตนเองไปโดยมิชอบไม่ หากปรากฏว่าการกระทำของรัฐสภาไม่ขัดแย้งกับมาตราดังกล่าวก็ย่อมทำได้ ถือเป็นอำนาจของรัฐสภาโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้แล้ว ในความเห็นของผู้เขียน อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจและถือว่าสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประเด็นของการให้ความเคารพต่ออำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติโดยองค์กรตุลาการในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแต่ไม่มีการหยิบยกมาพูดถึงกัน คือ ตัวสมาชิกรัฐสภาเองนั้นได้ตระหนักถึงอำนาจขององค์กรตนเองหรือไม่อย่างไร?

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เหล่าบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่ออกมาคัดค้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ให้เหตุผลว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาในครั้งนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญบ้าง การออกแถลงการณ์ไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นการไม่เคารพและทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญบ้าง ท่านได้เข้าใจถึงบทบาทและอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติอันเป็นองค์กรที่ท่านสังกัดอยู่ได้ดีมากน้อยเพียงใด?

เพราะโดยหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยฝ่ายนิติบัญญัติ จะมีหลักการหนึ่งที่เรียกว่า "หลักอำนาจและศักดิ์ศรีของรัฐสภา" (Parliamentary Authority and Dignity) อันถือเป็นหลักการที่สำคัญยิ่งหลักการหนึ่ง หลักการนี้เรียกร้องให้ "สมาชิกรัฐสภาในฐานะตัวแทนของประชาชน" จำต้องปฏิบัติตนอันเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมอำนาจขององค์กรตนเอง จะไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการจำกัดตัดตอน "อำนาจขององค์กรตนเองที่มีอยู่ตามระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญให้อ่อนด้อยลงไป" อันจะส่งผลเป็นการลดทอน "ศักดิ์ศรีของฝ่ายนิติบัญญัติ" (Legislative Dignity) ลง

กรณีนี้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องตั้งคำถามต่อการกระทำของกลุ่มสมาชิกรัฐสภาที่ออกมาคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภานี้ว่าถือเป็นการบั่นทอน หรือลดคุณค่าศักดิ์ศรีของฝ่ายนิติบัญญัติตามหลักการที่ผู้เขียนได้อรรถาธิบายมาแล้วในข้างต้นหรือไม่?
เรามิอาจมองข้ามประเด็นดังกล่าวไปได้ เนื่องจากในเชิงหลักการแล้วมีความสำคัญอย่างมาก กล่าวคือ หากมีการกระทำใดๆ อันส่งผลเป็นการบั่นทอนอำนาจ หรือศักดิ์ศรีของฝ่ายนิติบัญญัติ หรือรัฐสภาที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองไว้ตามรัฐธรรมนูญแล้วไซร้ ย่อมส่งผลให้ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญไม่สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ "องค์กรที่เป็นตัวแทนของปวงชน" ได้อีกด้วยอันเป็นหัวใจหลักของระบอบประชาธิปไตย กล่าวอีกนัยหนึ่ง กรณีเป็นการกระทำที่กระทบต่อโครงสร้างการใช้อำนาจของสถาบันการเมืองในองค์รวมเลยทีเดียว

ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนไม่ได้กล่าวว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไม่สามารถที่จะถูกสำรวจตรวจสอบโดยศาลรัฐธรรมนูญได้เลยในระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญ หากแต่ ณ ปัจจุบัน ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้นมิได้มีการสถาปนากลไกในการตรวจสอบดังกล่าวเยี่ยงเดียวกันกับในต่างประเทศไว้แต่อย่างใด หากสังคมเห็นว่าพึงจะต้องมีกลไกการตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยศาลรัฐธรรมนูญ ก็อาจจะนำไปพูดคุยถกเถียงกันเพื่อนำไปสู่การบัญญัติหลักการดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญต่อไปในอนาคตก็เป็นไปได้

ฉะนั้นแล้ว หากเรายังคงยืนยันว่าจะเคารพต่อหลักประชาธิปไตย หลักนิติรัฐ และรัฐธรรมนูญ ก็พึงต้องยอมรับว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญถือเป็นอำนาจของรัฐสภาโดยชอบแล้ว การเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามากำกับตรวจสอบการแก้ไขดังกล่าวนั้นอาจถือได้ว่าเป็นการสนับสนุนให้มีการกระทำการอันมิชอบด้วยหลักการและตัวรัฐธรรมนูญ อันจะส่งผลให้เกิดวิกฤติการทางการเมือง กฎหมาย และต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นแน่ และที่สำคัญคือ เป็นการทำลายและลดทอน "อำนาจและศักดิ์ศรีรัฐสภาไทย" ด้วยน้ำมือของ "สมาชิกรัฐสภา" เสียเองอีกด้วย ท่านต้องการให้เป็นอย่างนั้นหรือ? 
เรามี "หลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" (Human Dignity) ที่ภาครัฐจำต้องให้การเคารพในระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญฉันใด รัฐสภาก็มี "หลักศักดิ์ศรีความเป็นรัฐสภา" (Parliamentary Dignity) ที่องค์กรอื่นๆ จำต้องให้การเคารพในระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญด้วยฉันนั้น"

.......................................................................................................


ขบวนแถวนักประชาธิปไตยที่เปิดโปงเผด็จการในเวทีสากล, ความรักชาติเผด็จการและใบอนุญาตถ่อยทั่วราชอาณาจักร
%%%%%%%%%%

ถ้าการกล่าวแถลงในเวทีต่างประเทศเพื่อวิพากษ์วิจารณ์การก่อรัฐประหารทำลายประชาธิปไตยในประเทศไทย (https://www.facebook.com/Y.Shinawatra/notes) เป็น "การเร่ขายชาติ" แล้ว......

ก่อนหน้านายกฯยิ่งลักษณ์ ก็มีผู้รักประชาธิปไตยที่ "เร่ขายชาติเผด็จการ" มาหลายคน:

-ฯพณฯรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ได้เขียนบทความวิพากษ์รัฐบาลปฏิกิริยาของจอมพลป.พิบูลสงครามที่ขึ้นสู่อำนาจด้วยการรัฐประหารและดำเนินนโยบายร่วมมือรับใช้จักรวรรดินิยมอเมริกาในสงครามเย็นต่อต้านคอมมิวนิสต์ อ่านออกกระจายเสียงทางวิทยุปักกิ่ง ภาคภาษาไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ ระหว่างท่านลี้ภัยการเมืองอยู่ที่เมืองจีน

-อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ขึ้นให้การต่อคณะกรรมาธิการสภาสหรัฐฯ เปิดโปงวิจารณ์รัฐประหาร ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และรัฐบาลเผด็จการที่ครองอำนาจต่อมา หลังปี ๒๕๑๙

ที่เหลือไม่มีอะไรใหม่ เพราะก็เป็นที่ทราบกันอยู่ว่าความรักชาติเผด็จการคือใบอนุญาตถ่อยทั่วราชอาณาจักรในสังคมและสื่อมวลชนไทย

.........................................................................................................




อีก 51 วัน คดี ปรส.จะหมดอายุความ
ทำชาติเสียหายเป็นแสนๆล้าน
อันนี้สิขายชาติของจริง หลักฐานก็ฟ้อง
อยู่ทนโท่.......
ฝากกลุ่มประชาชนทนไม่ไหว
กลุ่มทวงคืนห่าเหวอะไรต่างๆ
นำไปแชร์ด้วยน่ะ

................................................................................................................


มีคนอยากให้พูดเรื่องสปีชของนายกฯปูที่มองโกเลีย ในความเห็นส่วนตัว ผมไม่รุ้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าอายอะไรที่จะพูดเรื่องรัฐประหารที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ก็ที่พูดแม่งเรื่องจริงทั้งนั้นไม่ใช่หรอ คนเขาก็รู้กันอยู่แล้วทั้งโลก เผลอๆจะรู้มากกว่าที่คนไทยหลายคนรู้ซะอีก แล้วชื่อเวทีที่ไปพูด มันก็ชื่อ "การประชุมประชาคมประชาธิปไตย" ถ้าคุณไม่ให้เขาพูดเรื่องรัฐประหาร-ประชาธิปไตย แล้วคุณจะให้เขาพูดเรื่องอะไร? เศรษฐกิจพอเพียงหรอ?

..............................................................................................................


ตำรวจอุบลฯจับแฟนเพจ


http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=vyZlNkwrcuM
...............................................................................................................




บิลเกต เจ้าของ ไมโครซอฟ เรียนแค่ปีสอง แล้วออกจากhavard
สตีฟ จอป ผู้สร้าง แอปเปิ้ล เลิกเรียนตอนปีสอง
ทิม เบอร์ตัน ผู้สร้าง แบทแมน และหนังพันล้าน ก็ลาออกจากมหาลัย ตอนปีสอง .............................
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีปริญญา
แต่คนระดับโลกเหล่านี้ไม่เคยหยุดการเรียนรู้ครับ

............................................................................................................


Parithep Pongthong อืมน่าคิด
.............................................................................................................




เรื่องดีๆอยากให้ช่วยกันแชร์... ^^

เรื่องคือ น้องบัญฑิตทำโทรศัพท์หล่นในรถแท็กซี่ เรียกมาจากบางซื่อมาลงร้านอาหารแถวพระราม 5 พอรู้ตัวว่าน่าจะทำหล่นในแท็กซี่ก็รีบโทรเข้าไป โทรติดแต่ไม่มีคนรับสาย

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชม. มีแท็กซี่สีชมพูวนรถกลับเข้ามาที่ร้าน พอเปิดกระจกก็เป็นคันเดียวที่มาส่งน้องที่ร้านก่อนหน้านี้

"น้าแกบอกที่กลับรถวนไกลมาก แถมรถติดเลยวนมาช้า เห็นว่าโทรมาแต่รับไม่เป็น"

น้องบัญฑิตขอบคุณกันยกใหญ่ ตอนแรกจะให้ค่าตอบแทนน้ำใจเล็กๆน้อยๆ แต่น้าแกบอกไม่เป็นไรๆ ไม่เคยคิดอยากได้ของผู้โดยสาร... ^^

คนดียังไม่สิ้นไปจากสังคมไทยฮะ วันนี้เป็นวันดีของน้องบัญฑิตแถมมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นอี

ขอบคุณแทนน้องบัญฑิตอีกครั้งฮะ... ^^

ปล. ขออภัยจำเลขทะเบียนไม่ได้

.............................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น