วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

20/05/2556

คำแถลงของนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พตท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี : พตท ทักษิณแสดงความคิดเห็นอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้แทรกแซง ธปท.
นาย นพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ นาย เกียรติ สิทธิอมร กล่าวโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าแทรกแซงการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น นาย เกียรติ ได้ให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงหลายประการ เพราะ แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีความเป็นอิสระ แต่ก็ควรต้องรับฟังเสียงสะท้อนของทุกภาคส่วน พ.ต.ท. ทักษิณ เพียงแต่แสดงความคิดเห็นโดยสุจริต จะเป็นเรื่องเสียหายตรงไหน เพราะที่ผ่านมา ก็มีหลายฝ่ายแสดงความเห็นเกี่ยวกับการแก้ปัญหาค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยมากมาย ไม่ว่า นาย กิตติรัตน์ ณ. ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือ ภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องปกติ ที่ใคร ๆ ก็สามารถวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ ธ.ป.ท. ได้ 
ส่วนที่ นายเกียรติ อ้างว่าไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง ก.ม. ที่เกี่ยวข้องกับธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ก็เป็นการพูดเท็จ เพราะ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 หลังจากที่มีการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 กำหนดให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น และให้อำนาจ ธ.ป.ท. มากมาย จนทำให้แม้แต่กระทรวงการคลัง ก็ไม่สามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของประเทศได้อย่างเต็มที่ เพราะ พ.ร.บ. ดังกล่าว ไม่ได้กำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ ร.ม.ว.คลังไว้อย่างชัดเจน ส่วนการที่ นาย เกียรติ อ้างว่า นักวิชาการส่วนใหญ่ เห็นว่าการลดอัตราดอกเบี้ย ไม่ได้ช่วยอะไร ซึ่งน่าจะหมายถึง ไม่ได้แก้ปัญหาเงินบาทแข็งนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะที่จริงแล้ว นักวิชาการส่วนใหญ่ ได้เสนอความเห็นผ่านสื่อมาโดยตลอด ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นหนึ่งในมาตรการที่ ธปท. สามารถใช้เพื่อสกัดเงินทุนต่างประเทศ ไม่ให้ไหลเข้าไทยซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงได้ ดังนั้น คำพูดของนาย เกียรติ ที่ระบุว่า การลดอัตราดอกเบี้ย ไม่ได้ช่วยอะไร จึงเป็นคำพูดที่ไม่เป็นความจริง ทั้งยังเป็นการบิดเบือนความคิดเห็นของนักวิชาการอีกด้วย นอกจากนั้นจากเอกสารรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่รายงานต่อ ค.ร.ม. เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้ระบุว่า สาเหตุของการแข็งค่าของเงินบาท เกิดจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ ดังนั้น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่สามารถสกัดเงินทุนต่างประเทศ ไม่ให้ไหลเข้าไทยเพราะจะลดแรงจูงใจของนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการแสวงผลกำไรในระยะสั้น แล้วอย่างนี้ นาย เกียรติ จะอ้างว่า การลดอัตราดอกเบี้ย จะไม่ได้ช่วยอะไร หรือ ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งได้อย่างไร
นักเศรษฐศาสตร์และนักธุรกิจชั้นนำเห็นว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นมาตรการหนึ่งในการแก้ปัญหาเงินบาทแข็ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการส่งออก ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการนำรายได้เข้าประเทศ ไม่ใช่การทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์บางรายได้ประโยชน์อย่างที่นาย เกียรติ กล่าวหาอย่างไร้หลักฐาน ตรงกันข้าม หากปล่อยให้เงินบาทแข็งค่า โดยไม่รีบแก้ไข จะมีผู้เดือดร้อนมากมายไม่ว่าจะเป็นผู้ส่งออก ผู้ผลิตวัตถุดิบป้อนผู้ส่งออก ธุรกิจภาคท่องเที่ยวและบริการในประเทศ หากธุรกิจเหล่านี้ต้องปิดกิจการลง จะทำให้คนไทยจำนวนมากต้องตกงาน อย่างไรก็ตาม การที่ค่าเงินบาทแข็งค่า ก็จะมีบุคคลบางจำพวกได้ประโยชน์ คือ คนปล่อยเงินกู้ นักเล่นหุ้นรายใหญ่ ๆ ในตลาด จึงขอถาม นาย เกียรติว่า เหตุที่พวกท่านคัดค้านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้ง ๆ ที่ รู้เต็มอกว่าเป็นมาตรการหนึ่งที่จะแก้ปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทนั้น ท่านได้คำนึงถึงชะตากรรมของผู้ประกอบการส่งออกที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักอยู่ในขณะนี้หรือไม่

.........................................................................................................................




ภูฏาน ประกาศเป็นประเทศปลอดสารพิษ 100% แห่งแรกในโลก

ประเทศเล็กๆ อย่างภูฏาน ที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้คนทั้งโลกต้องหันมาสนใจ เพราะประกาศว่าการพัฒนาประเทศของเขาคำนึงถึงดัชนีชี้วัดความสุขของคนในชาติ มากกว่าดัชนีผลผลิตมวลรวมของประเทศ มาคราวนี้ ในที่ประชุม Delhi Sustainable Development Summit 2013

Pema Gyamtsho รัฐมนตรีกระทรวงป่าไม้ และเกษตร ได้ประกาศว่า ประเทศภูฏาน ตัดสินใจที่จะเพาะปลูกแบบปลอดสารพิษ เป็นเกษตรอินทรีย์ 100%

” ประเทศภูฏานมีพื้นที่เพาะปลูกเป็นดินภูเขา เมื่อเราใช้สารเคมี มันไม่ได้อยู่แค่จุดที่เราใช้มัน แต่มันยังส่งผลกระทบถึงน้ำ และต้นไม้อื่นๆ เราจึงจำเป็นต้องนึกถึงสภาพแวดล้อมโดยรวม เกษตรกรของเราก็เพาะปลูกโดยวิธีดั้งเดิมอยู่แล้ว พวกเขาเพาะปลูกแบบเกษตรอินทรีย์มาช้านานแล้ว”

“นอกจากนั้น เราก็ยังเป็นเมืองพุทธศาสนา เราเชื่อในการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน สัตว์ต่างๆก็มีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกับเรา เราอยากเห็นต้นไม้ พืชพรรณมีความสุข และแมลงก็มีความสุขด้วย”

ขอบคุณ : Greenista Society

..........................................................................................................................


ปัญหาหมูๆ ที่ไม่หมู




ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา เหล่านักจุลชีว- วิทยาได้เสนอแนวคิดในการนำยาปฏิชีวนะไปใช้ในอุตสาห-กรรมปศุสัตว์ เพื่อขุนให้สัตว์อ้วนขึ้น หรือมีปริมาณเนื้อเพิ่ม มากขึ้น ซึ่งวิธีการดังกล่าวอาจสร้างปัญหาต่อสุขภาพของ มนุษย์ในอนาคต เพราะอาจมีการกลายพันธุ์ของแบคทีเรีย ที่พบอยู่ในธรรมชาติของสัตว์และเกิดการดื้อต่อยาปฏิชีวนะ อย่างไรก็ตาม กลุ่มเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ได้ให้ความ คิดเห็นว่าการกำจัดหรือลดปริมาณการใช้ยาปฏิชีวนะจะทำ ให้อุตสาหกรรมปศุสัตว์มีผลกระทบในด้านของต้นทุนและต้องขึ้นราคาสินค้าซึ่งทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ

อย่างไรก็ตามจากผลงานวิจัยตลอด 1 ปี ที่ผ่านมาพบว่า การใช้ยาปฏิชีวนะแม้จะเป็นเพียงปริมาณน้อยในสัตว์ มีผลเป็นการเพิ่มการกลายพันธุ์ของเชื้อจุลินทรีย์ (Microbe) ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะมากขึ้น ซึ่งเมื่อตรวจสอบชนิดของเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะในสัตว์จะตรงกับเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะในคน ดังนั้น ประเทศเดนมาร์กจึงออกข้อบังคับห้ามใช้ยาปฏิชีวนะปริมาณตํ่าในสัตว์ เช่น ไก่ สุกร และฟาร์ม ปศุสัตว์อื่นๆ

โดยทั่วไป เกษตรกรในหลายประเทศนำยาปฏิชีวนะ มาใช้ในการรักษาสัตว์ให้หายจากอาการเจ็บป่วย หรือเพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น และเมื่อใช้ยาปฏิชีวนะในปริมาณน้อย จะเป็นการ เพิ่มปริมาณของเนื้อสัตว์ หรือป้องกันสัตว์จากการเจ็บป่วย

หลังจากการออกข้อบังคับดังกล่าว พบว่า หลังจากที่เจ้าของฟาร์ม ได้ปล่อยให้แม่สุกรและลูกได้ฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติเป็นระยะเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ผลปรากฎว่า แม่สุกรมีนํ้าหนัก เพิ่มขึ้นจนมีระดับปกติ และมีอัตราการให้กำเนิดลูกสุกรมากกว่าเดิมเล็กน้อย ภายใต้การควบคุมความสะอาดของคอก การเพิ่มพื้นที่คอก และการทิ้งช่วงระยะเวลาในการผสมพันธุ์ให้เพิ่มมากขึ้น ในปัจจุบันกลุ่มผู้เลี้ยงปศุสัตว์รายงานว่า มีผลผลิตมากกว่าในอดีตที่ยังมีการใช้ ยาปฏิชีวนะอยู่

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการเกษตร ยังคงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการแพร่ของเชื้อที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ ในปัจจุบัน เราพบเชื้อที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะสายพันธุ์ ใหม่ ซึ่งเชื้อกลายพันธุ์บางชนิดสามารถทำให้เกิดโรคในคนในที่สุด

ดังนั้น ตัวอย่างของการหยุดการใช้ยาปฏิชีวนะใน ปศุสัตว์ดังเช่นประเทศเดนมาร์กที่ไม่มีผลกระทบต่อการผลิตและรายได้ของผู้เลี้ยง โดยที่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค ถือเป็น แนวทางที่หลายประเทศควรปฏิบัติตาม เพื่อลดโอกาสในการเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อในอนาคต

Photo: http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=our-big-pig-problem Read more: http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=our-big-pig-problem

...............................................................................................................................


ชงโคการะเกดแก้ว ชวนชม
ตะแบกตะเบบ่ม กลีบอ้า
คูนอโศกโมกลั่นทม ชูกลิ่น
ประดู่ประดิดประดอยท้า ดอกไว้ ปรุงเมืองฯ

ชงโคดอกเต็มต้น ตะแบกล้นตะเบราย
ประดู่ดูพร่างพราย หลายถนนระคนกัน

จามจุรีนนทรีแผ่ ดุจกรแม่มากางกั้น
รื่นตาไปตามกัน ผันมองพิศผิดมองปราย

โมกแก้วโน่นแนวเกาะ กาลลัดเลาะหอมเหลือหลาย
ดอกขาวขจรขจาย คลับคล้ายสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ลมโชยเล่าลมร้อน ห่อนรู้สึกห่อนนึกถึง
รุ่มร้อนยิ่งรัดรึง ดึงวิญญาณให้จ่อมจม

เมืองเอยเมืองเทวดา เมืองนางฟ้าร้อนบรม
ย่ำบ่ายน้ำลายขม ร่มบ่มีฤดีบ่ดาล

ร้อนนักบ่พักร้อน คือสุมขอนตะกอนถ่าน
ร้อนแดดฤๅแผดนาน เฉกร้อนผลาญผ่าวร้อนคน

ไม้ใหญ่ยอนหยุดยั้ง สายไฟรั้งตามเวหน
แก้ไขในต่างคน ก่นตัดไม้ไป่ตัดไฟ

เมืองเทศเขาฝังท่อ บ่ต้องเห็นเส้นไหวไหว
พสุธาจะรับไป เพื่อพุ่มพฤกษ์ผิเบ่งบาน

ยลหญิงยลมารดา ดูนคราดูอุทยาน
เขียวชุ่มชอุ่มซ่าน จึงบอกบ้านเมืองจรุง

ร้อนนี้ดูร้อนร้าย อย่าขวัญหายจนใจฟุ้ง
นฤมิตด้วยจิตปรุง ความคิดมุ่งจักเป็นจริง

ยลฟ้าย่อมเห็นฟ้า ดั่งใจว่าทุกสรรพสิ่ง
ที่ใดให้พักพิง แอบอิงได้ดั่งใจเรา

มองเมืองให้เห็นไม้ เห็นดอกใบซึ่งงามเงา
คิมหันต์จึ่งบรรเทา มิจับเจ่ามิร้อนใจ

มองเมืองมองที่ไม้ ควรมอง
พนอจิตที่ใจตรอง สุขล้น
พิศผิดคิดประลอง ยลอีก ครั้งเฮย
งามดอกใบกิ่งต้น แน่แท้ เย็นใจ ฯ

ประภาส ชลศรานนท์
ใต้ต้นประดู่

..........................................................................................................................


สมุดบัญชีพลังงานครัวเรือน


http://www.facebook.com/media/set/?set=a.465618586853689.1073741829.176812165734334&type=1


ผมชอบครับ
ไว้จะ print มาจดบันทึกบ้าง ^_^

.........................................................................................................................

...............................................................................................................................




นามบัตรที่่ใช้ความร้อนจากร่างกายทำปฏิกิริยาจนเกิดภาพสีขาวบนนามบัต เราจึงสามารถฝากลายนิ้วมือ รอยจูบ และ ร่องรอยความประทับใจต่างๆให้ผู้รับได้อย่างไม่มีวันลืม..เป็นไอเดีย ที่เท่ห์มาก.. http://www.iurban.in.th/inspiration/thermo-sensitive-business-cards/

............................................................................................................................




เช้าวันสุดท้ายในญี่ปุ่น ขณะนั่งรถไปสนามบิน เห็นเด็ก ๆ เดินไปโรงเรียนเป็นกลุ่ม ๆ ตลอดทาง เพื่อนคนไทยซึ่งมีครอบครัวในญี่ปุ่นเล่าว่า ที่นี่มีกฎกำหนดให้นักเรียนชั้นประถมทุกคนต้องเดินไปโรงเรียนเอง มีกฎห้ามไม่ให้ผู้ปกครองขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน ไม่ว่ารวยหรือจน ก็ต้องให้ลูกเดินไปโรงเรียนเอง (ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนอยู่ไม่ไกลจากบ้าน เดิน ๒-๓ กม.ก็ถึงแล้ว ทั้งนี้เพราะเขามีกฎให้เด็กประถมเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ถ้าไปเรียนที่อื่น ก็ต้องรับผิดชอบเอง) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่คนญี่ปุ่นเดินเก่งมาก เพราะถูกฝึกให้ขยันเดินตั้งแต่เล็ก

การให้เด็กเดินไปโรงเรียนเองนี้ แก้ปัญหาจราจรติดขัดยามเช้าได้เป็นอย่างดี แต่ที่สำคัญก็คือ เป็นการส่งเสริมให้เด็ก ๆ ในละแวกเดียวกันมีความคุ้นเคยกันและช่วยเหลือกัน เพราะต้องเดินกันเป็นกลุ่ม ๆ ถ้ามาถึงหน้าบ้านใครแล้ว เขายังไม่พร้อม ก็ต้องรอ จะทิ้งกันไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ฝึกให้เด็กเป็นคนตรงต่อเวลา เพราะหากตื่นสายอาบน้ำช้า ก็ทำให้เพื่อน ๆ ต้องรอ ถ้าไม่อยากให้เพื่อนรอ ก็ต้องมารอหน้าบ้านเมื่อถึงเวลา

บางช่วงจะเห็นเด็กโตจูงมือเด็กเล็กอยู่หน้าแถว เด็กโตเหล่านี้มีหน้าที่ดูแลเด็กเป็นคน ๆ ทั้งขาไปและขากลับ เป็นการสร้างสัมพันธภาพ ส่งเสริมความมีน้ำใจและความรับผิดชอบตั้งแต่วัยเยาว์

ระหว่างทางจะมีผู้ใหญ่ยืนตามทางแยก โดยเฉพาะตรงทางม้าลาย เพื่อนบอกว่าผู้ใหญ่เหล่านั้นคือครูที่ทางโรงเรียนส่งมาเพื่อดูแลความปลอดภัยให้นักเรียน แต่บางครั้งก็เป็นผู้ปกครองที่แบ่งเวรกันมาดูแลความปลอดภัยของเด็ก ๆ

เพียงแค่การไปโรงเรียน ก็เห็นความร่วมมือและความพร้อมเพรียงของคนทุกฝ่าย ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ ไปจนถึงครู ไม่ต้องสงสัยว่ากิจกรรมเหล่านี้ซึ่งเกิดขึ้นวันแล้ววันเล่าติดต่อกันหลายปี จะมีผลในการกล่อมเกลาจิตใจคนญี่ปุ่นให้นึกถึงส่วนรวมและทำงานเป็นหมู่คณะได้มากเพียงใด

.............................................................................................................................




[ Advertising ] ป้ายโฆษณาอัศจรรย์ เด็กเท่านั้นที่เห็น! ซ่อนเบอร์แจ้งจับผู้ใหญ่ทารุณเด็ก

อ่านต่อ: www.creativemove.com/advertising/anar-foundation-only-for-children

.................................................................................................................................


มีคำถามยอดนิยมที่ผู้คนชอบถามผมว่ามีเงินน้อยทำอย่างไรถึงจะตั้งตัวได้

เงินไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างเนื้อสร้างตัว ความสำคัญอยู่ที่ว่าคุณมี Passion หรีอเปล่า ผมพยายามหาคำภาษาไทยมาทดแทน แต่จนปัญญา เลยขออธิบายตามความเข้าใจ Passion คือความรู้สึกอย่างแรงกล้าต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความรู้สึกนั้นเกิดจากความหลงใหล ความกระหาย ความกระตือรืนล้น ไม่ใช่เพียงความรู้สึก แต่ต้องการทำให้สิ่งที่คิดเกิดเป็นมรรคเป็นผลด้วย

Passion จึงเสมือนพลังวิเศษที่ผลักดันให้เราเดินลุยไฟถึงธงชัยได้ Passion จึงเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจให้คุณลุกขึ้นมาทุกครั้งที่ล้ม

ประเด็นคือคนส่วนใหญ่มองหาอาวุธผิดประเภทในการสร้างเนื้อสร้างตัว ต้องมี Passion ครับ ไม่ใช่เงิน

...............................................................................................................................




» ปัญญาจากฝูงชน / CROWDSOURCING
» เมื่อปัญญาจากผู้เชี่ยวชาญ ถูกท้าทายด้วย ปัญญาจากคนธรรมดา

กรณีศึกษาที่ 1 :

ตอนนี้หลายท่านหลังจากใช้บริการกับบริษัทชั้นนำ คงเจอเหตุการณ์นี้ใช่ไหมครับ “พี่คะ อาจจะมีคนโทรไปถามพี่ เรื่องการใช้บริการของเรา ถ้าเขาโทรมาฝากพี่ให้ 10 เต็ม 10 เลยนะคะ”

มีคนถามว่ารู้สึกยังไงกับเหตุการณ์นี้ เชื่อว่าหลายคนคงคิดคล้ายๆ กันว่า ถ้าเป็นเราเองในฐานะพนักงานให้บริการก็คงรู้สึกลำบากใจ

ถ้ามีการเอาระบบนี้ไปใช้ในมหาวิทยาลัย เหล่าคณาอาจารย์คงเศร้า เพราะต่อให้เป็นเทวดา สอนเสร็จ ก็คงต้องบอกกับลูกศิษย์บังเกิดเกล้าว่า

“นักศึกษาครับ จะมีคนโทรมาถามความพึงพอใจเรื่องการสอนนะ เป็นบริษัทที่มหาวิทยาลัยจ้างมา ช่วยให้คะแนนเต็มห้าด้วยนะ”

ระบบการให้คะแนนเพื่อวัดงานบริการ เป็นอะไรที่เป็น “นวัตกรรม” ที่บริษัทเอกชนชั้นนำหลายแห่งกำลัง “คลั่ง” ใช้งานอยู่ เพราะว่ามัน “วัดได้”

หลายๆบริษัทจ้างบริษัทที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้มาสำรวจความเห็นของลูกค้า แล้วเอาผลที่ได้มาให้คุณให้โทษพนักงาน แล้วเอามาปรับปรุงงานบริการ

แต่เราก็จะเห็นพนักงานของบริษัทส่วนใหญ่จะ “ลักไก่” ขอคะแนนลูกค้าหน้าตาเฉย ก็ไม่ทราบกันว่าจะเอาคะแนนอย่างนี้ไปวัดอะไรได้

ผมเคยถามภรรยาว่า “คุณคิดยังไง” เธอตอบว่า “ก็รู้สึกนะ ว่าไม่เข้าท่า บางครั้งถึงกับคิด ว่า “นี่ ที่พูดกับเราดีๆ บริการดีๆ นี่ หวังคะแนน เหรอ แค่นี้เองเหรอ”

::::::::::::::::


กรณีศึกษาที่ 2 :

ลูกศิษย์ผมเค้าไปช่วยชาวบ้านพัฒนาตลาดขายต้นตะโก แถวชัยภูมิ

เขาไปถามลูกค้าที่ซื้อซ้ำ (แสดงว่าเราต้องมีดี เขาถึงตามมาซื้อ) เธอถามว่า “ชอบเราตรงไหน จุดเปลี่ยนที่ทำให้เรากลับมาซื้อคืออะไร”

ได้คำตอบดังนี้ครับว่า “ชอบตรงที่บริการนี้ดีมากค่ะ”

“ทำไมล่ะคะ” ลูกศิษย์ผมถาม

ลูกค้าเลยตอบว่า...

“ ตอนนั้น ซื้อต้นตะโกจากทางร้านไป เอาไปลงปลูกไว้ที่บ้านในกรุงเทพ มันเกิดจะตายขึ้นมา เลยจะโทรกลับ ปรากฏว่า ทำนามบัตรหาย ไม่รู้จะทำยังไง พอดีทางร้านโทรกลับมาถามว่า มีปัญหาอะไรไหม ที่สุดก็เลยบอกทางร้าน ทางร้านเลยสอนวิธีฟื้นต้นตะโกให้ ตอนนี้งามเลยค่ะ ตั้งแต่นั้นเลยบอกต่อคนอื่นว่าให้มาซื้อที่นี่”

นี่เป็นที่มาของโครงการติดตามลูกค้า ไม่ได้โทรไปถามคะแนน ประเมิน แต่เป็นการโทรไปถามว่า ลูกค้าซื้อต้นตะโกไปมีปัญหาอะไรไหม

เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ลูกศิษย์ในองค์กรขนาดใหญ่ที่นิยมจ้างที่ปรึกษาแพงๆ ฟัง ได้เรื่องครับ ตอนนี้เลยใช้ “ตะโกโมเดล” หลังจากใช้บริการเสร็จ ก็โทรไปถามว่าชอบอะไร ได้ที่ต้องการครบไหม ปรากฏลูกค้าชอบ มาซื้อบริการด้านอื่นๆเพิ่มอีก สนิทกับลูกค้ามากขึ้น มีการบอกต่อมากขึ้น

แนวคิดนี้ก็อาจ “เทพ” ไม่น้อยไปกว่า แนวคิดที่คุณได้จากที่ปรึกษา ที่ค่าตัวแพงมากๆ ในกรณีศึกษาแรก

ถ้าคุณเชื่อว่า “คนธรรมดาทั่วไป คนเดินถนน บ้านนอก ก็อาจให้คำตอบดีๆกับคุณได้ ไม่แพ้ที่ปรึกษาราคาแพง ระดับโลก”

::::::::::::::::


ความเชื่ออย่างในกรณีที่สอง เชื่อว่า “คนธรรมดา คนทั่วไป บ้านๆ ก็ได้ อาจให้คำตอบดีๆ กับเราได้”

แนวคิดอย่างกรณีที่สองนี้เราเรียกว่าแนวคิด Crowdsourcing (คราวด์ช๊อสซิ่ง) หรือ ปัญญาจากฝูงชน (Wisdom of the Crowd วิสดอม อ๊อฟ เดอะ คราวด์)

เป็นแนวคิดที่เริ่มมีการกล่าวขวัญถึงมากขึ้นเรื่อยๆ แนวคิดนี้บอกเลยว่า “ปัญญาจากฝูงชน คนธรรมดา หลายๆ คน ดีกว่าปัญญาที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญเพียงคนเดียว”

Crowdsourcing เป็นสิ่งที่จุดประกายความหวังให้กับองค์กรที่ “รู้” เรื่องนี้เพราะคุณอาจได้คำตอบที่ดีกว่า เร็วกว่า ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่า

::::::::::::::::


มีบริษัทนึงครับ ชื่อ Innocentive เริ่มใช้แนวคิดนี้มาพักใหญ่

ปรกติแล้วปัญหายากๆทางวิศวกรรมนี่ บริษัทใหญ่จะมองหาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งก็บอกตรงๆ ว่าหายาก ค่าตัวแพง หรือจะไปจ้างที่บริษัทที่ปรึกษาบางครั้งมันก็ยากจริงๆ ครับ แทบเป็นไปไม่ได้

เขาเลยใช้แนวคิด Crowdsourcing ครับ ก็เป็นเว็บเลย มีปัญหาอะไรบอกเขา เดี๋ยวเขาจะไปประกาศให้ฝูงชนของเขาทราบ ก็คือใครก็ได้ครับ แล้วก็จะมีคนเสนอตัวแก้ปัญห

โดยที่ Innocentive จะไม่บอกให้ลูกค้ารู้เลยว่า ใครเป็นคนแก้ปัญหาให้เขา บ่อยครั้งที่พบว่าหลังแก้ปัญหาทางฟิสิกส์ หรือวิศวกรรมยากๆ ได้แล้ว พอเฉลยออกมา คนจ้างต้องประหลาดใจครับ เพราะแทนที่จะเป็นวิศวกรระดับปริญญาเอก กลับกลายเป็นครูสอนฟิสิกส์ชั้น ม. 4 ที่จบระดับปริญญาตรี

ดู http://www.innocentive.com/

::::::::::::::::


อีกแห่งหนึ่งเป็นบริษัทรับออกแบบที่ ชื่อ Designcrowd ใช้แนวคิดนี้ครับ ...ก็ได้ผล

ใครอยากให้ออกแบบอะไรก็ไปโพสต์แนวคิดไว้ สักพักคุณก็จะเจอใครไม่รู้จากทั่วโลกส่งแบบดีไซน์ดีๆ ให้คุณพิจารณาเลือกซื้อ

ดูที่ link นี้ ครับ

http://www.designcrowd.com/testimonials/

ว่ามีบริษัท องค์กรชั้นนำมาลองใช้บริการ ถึงกับบอกเลยว่าดีกว่าจ้างเอเจนซี่โฆษณาดังๆ งานดีกว่าเร็วกว่า แถมถูกกว่า 50%

::::::::::::::::


ด้านการเงิน...มีการนำมาใช้เรื่องการระดมทุน เราเรียกว่า Crowdfunding เช่นที่

www.crowdfunding.com

ลองคิดดูสิคุณจะทำอะไร อยากตั้งใจทำอะไรดีๆ หรือเดือดร้อน ในอดีต หน้ามืดมากๆ ก็อาจกลายเป็นหนี้นอกระบบ แต่อยากทำธุรกิจ อยากสร้างหนัง ทำงานสร้างสรรค์ คุณก็วิ่งไปหาธนาคารใกล้บ้าน คุณอาจถูกปฏิเสธ จาก “ผู้เชี่ยวชาญ” ทางการเงิน

มาเลยครับมาหาฝูงชน ที่นี่คุณอยากทำอะไร ตั้งแต่ระดมเงินทุนเพื่อการศึกษาของคุณเอง ช่วยทหารผ่านศึกษา สร้างธุรกิจใหม่ ผ่าตัดหัวใจ พัฒนาพลังงานทางเลือก มาเลย เอาความฝันของคุณมาประกาศให้ฝูงชนได้รับทราบ

เท่าที่เห็นเมื่อประกาศไปก็มักจะมีใครที่เป็นชาวบ้านๆ ธรรมดา บางทีอาจมาจากมุมใดของโลกก็ได้ ออกตังค์ให้คุณไปทำอะไรดีๆ เสมอครับ

ดูที่นี่เป็นตัวอย่างครับ เป็นแนวทางการะดมทุนในโครงการประเภทต่างๆ

http://www.gofundme.com/fundraising-ideas/

::::::::::::::::


#บทสรุป :

แนวคิดหรือความเชื่ออย่างที่สอง ในมุมมองของผม เป็นคำตอบของประเทศของเราครับ เป็นคำตอบในทุกด้านตั้งแต่การบริหาร วิศวกรรม การเงิน ความคิดสร้างสรรค์และทุกอย่าง

สังคมเราพึ่งพา “ปัญญาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกลุ่ม” มานานเกินไปแล้วครับ ลองค้นหา “ปัญญาจากฝูงชน Crowdsourcing” สิครับ ผมว่าสังคมเราจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้มาก

ที่พูดมาทั้งหมดมิได้ชวนให้คุณปฏิเสธ "ผู้เชี่ยวชาญ" ทั้งหมด ล่าสุดผมก็ต้องพึ่งพาสัตวแพทย์ให้มาฉีดวัคซีนหมาที่บ้านครับ ผมเองเพียงเสนอทางเลือกให้เท่านั้นครับ

การได้ผู้เชี่ยวชาญนั้นดีมากๆครับ หากแต่เราก็ไม่ควรจะเดินตามผู้เชี่ยวชาญแบบไม่ลืมหูลืมตา

และวันใดถ้าคุณรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันทะแม่งๆ ก็ลองคิดถึงทางเลือกนี้ดูครับ

ส่วนใครทุนไม่หนา บารมีไม่ถึงที่จะเข้าถึงทรัพยากรอะไรที่มันอยู่ในระบบแบบเดิมๆ นี่เป็นทางเลือกและความหวังของคุณเลยครับ

::::::::::::::::


Credit : ดร. ภิญโญ รัตนาพันธุ์ กูรูด้าน Appreciative Inquiry

...................................................................................................................

..........................................................................................................................



» Freeconomics เศรษฐกิจแจกฟรี (ของฟรีใครว่าไม่มีในโลก)

นักเศรษฐศาสตร์บอกว่า “ของฟรีไม่มีในโลก” และผู้บริโภคอย่างเราก็รู้ดีว่า ของฟรีที่เห็นๆ กันในท้องตลาดนั้น แท้จริงมันได้ผ่านการคิดคำนวณไว้เสร็จสรรพแล้วว่า “คุ้มค่าความฟรี”
แต่เชื่อหรือไม่ว่าในยุคนี้ “เศรษฐกิจแจกฟรี” มีความหมายว่า “ฟรีจริงๆ”
ทั้งนี้เพราะความก้าวหน้าของอินเตอร์เน็ตและสื่อดิจิตอลได้ทำให้ความฟรีนั้นเดินหน้ามาสู่ความหมายที่แท้จริงขงมัน... แล้วเราจะสร้างธุรกิจจากเศรษฐกิจแจกฟรีในศตวรรษที่ 21 นี้ได้อย่างไร?

::::::::::::::::


Episode I

“การแจกฟรี” นั้นเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 คริส แอนเดอร์สัน (Chris Anderson) ผู้เขียนหนังสือ FREE: The Future of Radical Price (และเจ้าของทฤษฎี Long Tail อันลือลั่น) เคยพูดถึงโมเดลเศรษฐกิจแจกฟรี

โดยยกกรณีศึกษาของนายคิง ยิลเลตต์ ผู้คิดค้นใบมีดโกนแบบใช้แล้วทิ้ง ไม่ต้องคอยลับคมกันบ่อยๆ (แต่ต้องใช้คู่กับมีดโกนที่ออกแบบขึ้นใหม่โดยยิลเลตต์เท่านั้น)

ในปีแรกที่ออกวางขาย (ค.ศ.1903) ยิลเลตต์ขายมีดโกนนี้ได้เพียงแค่ 58 อัน (และใบมีดอีก 168 อัน) ตลอดระยะเวลา 20 ปี เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีดโกนนี้ติดตลาด แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่สำเร็จ

จนกระทั่งในปีหนึ่งที่ยิลเล็ตต์ตัดสินใจแจกมีดโกนฟรีไปกับห่อหมากฝรั่ง ห่อชากาแฟ ห่อมาร์ชแมลโล ฯลฯ ปรากฏว่ายิ่งแจกไปเท่าไหร่ ความต้องการใบมีดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนในที่สุดนวัตกรรมมีดโกนของยิลเล็ตต์ก็ได้เข้ามาแทนที่วัฒนธรรมการใช้มีดโกนแบบดั้งเดิมได้สำเร็จ

ความฟรีแบบให้ไปก่อนเพื่อจะได้กลับมาภายหลังนี้ได้กลายมาเป็นพื้นฐานของการแจกของฟรีในทุกธุรกิจ ทำให้เกิดโมเดลฟรีๆ เช่น

- แจกซิมฟรี (แต่ขายแพคเกจโทรรายเดือน)
- ขายเครื่องเล่นเกมแบบถูกๆ (แต่ขายตัวเกมแพงกว่า)
- ให้ดาวน์โหลดเล่นเกมฟรี (แต่ขายไอเท็มพิเศษในเกม)
- ร้านอาหารแถมน้ำดื่มฟรี (แต่ขายเครื่องดื่มอื่นราคาแพง)
- ตั้งตู้ให้กดกาแฟฟรีในออฟฟิศ (เพื่อจะได้ขายกาแฟพรีเมี่ยมให้กับผู้บริหาร)
ฯลฯ

เหล่านี้ถือเป็นของฟรีรูปแบบแรก คือ ให้ฟรีอย่างหนึ่งเพื่อจูงใจไปสู่การซื้ออีกอย่างหนึ่ง อาจพูดง่ายๆ ว่าเป็นการขายแบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง (หรือภาษาธุรกิจเรียกว่า Cross Subsidy – การผลักภาระต้นทุนของสินค้าชนิดหนึ่งไปยังอีกชนิดหนึ่ง)

โดยหลักการแล้ว ของฟรีรูปแบบนี้ได้ผ่านการคำนวณต้นทุนและบวกค่าใช้จ่ายต่างๆ จนผู้ผลิตและผู้จำหน่าย “คุ้ม” ไปเรียบร้อยแล้ว (แม้จะป่าวประกาศว่าฟรีก็ตาม)

ผู้บริโภคต่างหากคือฝ่ายที่ต้องรับภาระ “ค่าที่ทำให้มันฟรี” ทั้งหมด

::::::::::::::::::


Episode II

`เศรษฐกิจแจกฟรีในศตวรรษที่ 21´


ในศตวรรษที่ 21 นี้ เศรษฐกิจแจกฟรีจะไม่ใช่แค่ลูกเล่นทางการตลาดหรือ Cross Subsidy อีกต่อไป แต่มันจะยกระดับเป็น “ตัวเศรษฐกิจ” เองเลย

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ทำให้รูปโฉมของสินค้าหลายประเภทเปลี่ยนจาก “สิ่งที่จับต้องได้” เป็น “สิ่งที่จับต้องไม่ได้” อาทิเช่น ในรูปของ “บิท” หรือ “ดิจิตอลไฟล์” ต่างๆ
ซึ่งปรากฏการณ์นี้ทำให้ต้นทุนของการผลิตสินค้าหลายประเภทลดลงจนเกือบเป็นศูนย์

ปัจจุบันบนโลกของ “เว็บ” มีการให้เปล่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น E-mail Account พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลฟรี, Search Engine ฟรีอย่าง Google, ที่พบปะเพื่อนฝูงฟรีอย่าง Facebook, วิดีโอดูฟรีอย่าง Youtube, หรือแม้กระทั่งสารานุกรมฟรีอย่าง Wikipedia

ตัวอย่างข้างต้นนี้ คงพอทำให้เรานึกออกว่า โลกไซเบอร์นั้นมีสินค้าและบริการมากมายที่ส่งถึงมือเรากันแบบฟรีๆ
ฉะนั้น เมื่อธุรกิจบนเว็บต่างตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของความฟรี ธุรกิจอื่นๆ ก็ต้องทยอยติดตามมาอยู่บนพื้นฐานเดียวกันนี้ด้วย (ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถแข่งขันได้)

อย่างไรก็ดี การทำธุรกิจกับความฟรีนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่สักแต่ว่าแจกฟรีแล้วจะประสบความสำเร็จ เพราะตัวเลือกที่มากมายมหาศาลทุกวันนี้ทำให้ผู้บริโภคเรียกร้องแต่ “ของฟรีที่ดีที่สุด”

::::::::::::::::::::


เราลองมาดูกลยุทธ์และเทคนิคการทำธุรกิจแจกฟรีที่ “โดนใจ” ในปัจจุบันนี้กัน

1. ฟรีในโมเดลธุรกิจสื่อ

เป็นการตลาดแบบรวม 3 ฝ่ายเข้าด้วยกัน นั่นก็คือ...ผู้ให้บริการของฟรี (หรือเกือบฟรี) ผู้บริโภค และสปอนเซอร์ผู้ลงโฆษณาในสื่อ (ของผู้ให้บริการ)

ยกตัวอย่างเช่น รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ และนิตยสารแจกฟรี บริการเหล่านี้จะให้ผู้บริโภคฟังฟรี ดูฟรี อ่านฟรี แต่มีการขายโฆษณาให้กับสปอนเซอร์ ซึ่งสมัยนี้การขายโฆษณาก็ไม่ใช่รายได้ทางเดียวของสื่อเสียด้วย ยังมีวิธีหาเงินจากฟรีคอนเทนท์ได้อีกมากมาย

เช่น การขายฐานข้อมูลผู้บริโภค การรับสมัครสมาชิก การจัดกิจกรรมเสริม และการขายตรง เป็นต้น

ตัวอย่างธุรกิจที่นำโมเดลฟรีรูปแบบนี้มาประยุกต์ใช้ ก็ได้แก่

- ผับ บาร์ สถานบันเทิง : ประเภทผู้หญิงเข้าฟรี ผู้ชายเสียเงิน (“ดึง” ลูกค้าผู้หญิงเข้ามาเป็นสีสัน เพื่อ “ดูด” ลูกค้าผู้ชายให้เข้ามาเฉลี่ยส่วนฟรีของสาวๆ อีกที)

- เกมส์ออนไลน์ ละครซิทคอม : แจกคอนเทนท์ให้ผู้บริโภคเสพฟรี แต่เก็บค่าโฆษณาจากบริษัทผู้ผลิต/จำหน่ายสินค้า เพื่อแลกกับการมีชื่อแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ปรากฎอยู่ในเนื้อหา

::::::::::::::::::::


2. ฟรีเมียม (Freemium)

เป็นโมเดลที่ต่อยอดมาจากการรับสมัครสมาชิกในธุรกิจสื่อ (ซึ่งได้กลายเป็นโมเดลทั่วไปของธุรกิจเว็บในวันนี้)

หลักการคือ ผู้ให้บริการจะมอบคอนเทนท์ที่หลากหลาย มีตั้งแต่ของฟรีไปจนถึงของแพง หรือที่เรียกกันว่า ของระดับ “พรีเมียม” หรือ “โปรเวอร์ชั่น” ที่มีความ “เหนือ” กว่าของฟรี

ของระดับพรีเมียมที่ว่า จะมีหลายระดับหลายราคา อาทิเช่น ระดับ Bronze, Silver, Gold, Platinum หรืออะไรที่ยิ่งกว่านั้น

พูดง่ายๆ คือ เป็นการแจกของฟรีให้ใช้ก่อน แต่หากลูกค้าติดใจและอยากได้มากขึ้นกว่าเดิม ก็จะต้องควักกระเป๋าจ่าย

การนำกลยุทธ์ฟรีเมียมมาปรับใช้ในธุรกิจ ก็มีเช่น...

- ให้ฟรีแบบจำกัดเวลา คือ ฟรีในระยะทดลองใช้ หลังจากเกินเวลาที่กำหนดก็ต้องเสียเงินเพื่อใช้งานต่อ อาทิเช่น

เกมส์ที่ให้ทดลองเล่นก่อนแค่ด่านแรกๆ ถ้าอยากสนุกต่อก็ต้องซื้อเวอร์ชั่นเต็ม, ร้านค้าออนไลน์ที่ให้ทดลองประกาศขายได้ฟรี 30 วัน, สปาหรือฟิตเนสที่แจกบัตรทดลองใช้บริการฟรี ฯลฯ

- ฟรีแบบจำกัดลักษณะการใช้งาน เช่น แจกคอนเทนท์ออนไลน์ให้อ่านฟรี แต่ขายฉบับพิมพ์เป็นรูปเล่ม (นิตยสารหรือนิยาย), แจกพื้นที่เก็บไฟล์ภาพฟรี แต่หากอยากเพิ่มพื้นที่ก็ต้องเสียเงินเพิ่ม (เว็บคลังภาพอย่าง Flickr หรือ Picasa)

::::::::::::::::::::


3. ฟรีด้วยต้นทุนที่เข้าใกล้ศูนย์

ไม่มีตัวอย่างใดจะอธิบายสินค้าที่ต้นทุนลดต่ำลงจนเข้าใกล้ศูนย์ได้ดีเท่ากับเพลงออนไลน์ โลกดิจิตอลในปัจจุบัน ทำให้ไฟล์เพลงถูกแจกจ่ายถึงกันได้ง่ายเพียงปลายนิ้วคลิก (จนค่ายเพลงและศิลปินไม่อาจคาดหวังรายได้จากการขายซีดีอีกต่อไป)

ด้วยเหตุนี้ ศิลปินส่วนใหญ่จึงหันมาแจกเพลงฟรีในโลกออนไลน์ และใช้มันเป็นเครื่องมือทางการตลาดในการขายคอนเสิร์ตหรือการพัฒนาสินค้าเมอร์แชนไดซ์ต่างๆ แทน

ในปี 2007 วง Radiohead เปิดให้ผู้ฟังดาวน์โหลดอัลบัมใหม่ของพวกเขาได้โดยการ “ตั้งราคาเอง” (แม้จะตั้งราคาเป็นศูนย์ก็สามารถดาวน์โหลดไปฟังได้)

ผลปรากฏว่า...มีเพียงหนึ่งในสามของผู้ดาวน์โหลดหนึ่งล้านคนแรกที่โหลดอัลบั้มไปฟังฟรี ส่วนค่าเฉลี่ยที่คนยอมจ่ายนั้นอยู่ที่ราว 8 ดอลล่าร์ (เพราะผู้ฟังกลุ่มนี้ไม่อยากเอาเปรียบศิลปินจนเกินไป)

สรุปว่า...ยอดดาวน์โหลดเองก็ทำกำไรมหาศาล แถม Radiohead ยังสามารถต่อยอดความดังไปสู่การทำ “พรีเมียมเวอร์ชั่น” และการทัวร์คอนเสิร์ตได้อีก

::::::::::::::::::::


กล่าวโดยสรุปว่าความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจแจกฟรีนั้นอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายข้อ อาทิเช่น...

1. ความสามารถที่จะลดต้นทุนสำคัญของสินค้าและบริการให้เข้าใกล้ศูนย์มากที่สุด เพื่อจะแจกฟรีได้แบบไม่เจ็บตัว

2. ความสามารถที่จะหารายได้คู่ขนานไปกับช่องทางการแจกฟรี เช่น แจกเพลงออนไลน์ แต่ขายซีดี “ลิมิเต็ดอิดิชั่น” ที่ออกแบบอย่างสวยงามน่าสะส

3. ความสามารถในการพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจที่เสริมเติมจากการแจกฟรี เช่น ฟรีด้วยข้อจำกัดต่างๆ

4. ความรวดเร็วในการเข้าสู่วงจรของฟรีและความกล้าเสี่ยง

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เห็นว่า...เศรษฐกิจแจกฟรีไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของราคาที่เป็นศูนย์เท่านั้น แต่มันยังเกาะไปกับกระแสของเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างเหนียวแน่น

เพราะแม้ผู้บริโภคจะถูกดึงดูดมาได้ด้วยของฟรี แต่พวกเขาก็ยังยินดีจ่ายเพิ่มให้กับความพิเศษที่เหนือกว่า เช่น บริการที่ดีกว่า ความสะดวกสบายที่มากกว่า ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์มา “จับทาง” กลุ่มเป้าหมาย และแปรเปลี่ยนความฟรีในตอนต้นให้กลายเป็นตัวเงินในตอนจบทั้งนั้น

::::::::::::::::::::


Credit : เรียบเรียงข้อมูลจาก หนังสือ MACROTRENDS ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกใหม่และการปรับตัวของไทย สำนักพิมพ์ openbooks โดย อาศิรา พนาราม / TCDCCONNECT

............................................................................................................................


ท่านผู้อ่านเคยมีอาการอย่างนี้หรือไม่

1. ไม่รู้ว่าอะไรคือเป้าหมายในชีวิ
2. ง่วงเหงาหาวนอน ขี้เกียจ ไม่อยากทําอะไร
3. มีงานต้องทํา แต่ไม่อยากทํา ในหลายเดือนที่ผ่านมาไม่ได้ทําอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
4.ไม่รู้สึกภูมิใจตัวเองมานานแล้ว
5. ไม่รู้จักตัวเองว่าตัวตนเป็นอย่างไร
6. ใช้ชีวิตแบบ Auto pilot
7. รู้สึกว่าตนเองมีศักยภาพซ่อนเร้น แต่ไม่ค้นหา เลยไม่ได้ใช้ นานวันเข้าเลยไม่รู้ว่าความสามารถพิเศษของตัวเองคืออะไร
8. ชีวิตมองหาแต่วันหยุด คิดถึงแต่วันรับเงินเดือน ชอบเย็นวันศุกร์มากกว่าเช้าวันจันทร์ เวลาคุยเรื่องงานจะเกิดอาการเซ็งขึ้นมาทันที

ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้มากกว่า 4 ข้อขึ้นไป คุณกําลังเข้าวงจรของ Stagnation in life พูดเป็นภาษาง่ายๆ คือชีวิตเข้าสู่วงจรเฉื่อยชา ถ้าคุณไม่แก้ไข สุดท้ายจะกลายเป็นโมฆบุรุษ ภาษาพระแปลว่าเกิดมาแล้วใช้ชีวิตแบบเปล่าประโยชน์

คนเราเกิดมาทั้งทีต้องสร้างคุณค่าให้สมกับที่เกิดมาบนโลกนี้ เป็นคุณค่าให้กับตัวเองและคุณค่ากับส่วนรวม วิธีที่จะหลุดพ้นวงจรเฉื่อยชา

1. มีความรู้ตัว รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ
2. อย่าตําหนิตัวเอง
3. ตั้งสติ ตั้งเป้าหมายว่าต้องหาทางออกจากวงจรเฉื่อยชา สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ชีวิต
4. มีความมุ่่งมั่นที่จะต้องต่อสู้กับตัวเอง
5. หาสาเหตุว่าอะไรเป็นต้นตอของวงจรนี้ เป็นเพราะทํางานซ้ําซาก ไม่มีอะไรท้าทายชีวิต หรือเป็นเพราะบรรยากาศเดิมๆ ที่ขาดแรงกระตุ้น
6. เริ่มสร้างความฝัน หาแรงบันดาลใจ ซึึ่งมาได้จากหลายแหล่ง เช่นหนังสือหรือฟังการบรรยายจากนักพูด
7. เปลี่ยนบรรยากาศของชีวิต ไปเที่ยวที่ใหม่ๆ ชีวิตที่เหมือนๆ กันทุกวันเป็นระยะเวลานาน จะทําให้เกิดสภาวะเฉื่อยชา แรงบันดาลใจของชีวิตเปรียบเสมือนน้ํามัน Octane สูง ที่เติมเข้าไปในชีวิต ทําให้เปลี่ยนแปลงชีวิตได้
8. ตั้งเป้าหมายชีวิต

การจะหลุดจากวงจรเฉื่อยชา ไม่ใช่การหักดิบ เพราะทํายาก ต้องค่อยเป็นค่อยไป หรือที่ภาษาเทคนิคเรียกว่า One little step at a time ต้ังเป้าหมายระยะสั้น เมื่อทําได้ผล แล้วค่อยหาเป้าหมายต่อไป

........................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น