วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

13/05/2556




หมั่นเสริมสร้างปัญญา อย่าแสวงหาสิ่งงมงาย

เกิดเป็นคนทั้งที ควรรู้จักหาปัญญาใส่ตัว อย่ามัววิ่งหาสิ่งงมงายอยู่เลย ปัญญานั่นแหละจะช่วยตนได้ สิ่งงมงายที่ไหนช่วยไม่ได้หรอก

หลวงพ่อสั่งสอนไว้ว่า เราไปวัด..คนไปวัดกันบ่อยๆ แต่ว่าไม่ค่อยจะไปเพื่อการศึกษา แต่ไปทำเรื่องอื่น ไปด้วยกิจกรรมเรื่องไสยศาสตร์มาก แล้ววัดต่างๆก็เหมือนกัน ส่งเสริมกันแต่ไสยศาสตร์ ส่งเสริมความโง่ของประชาชน ไม่ส่งเสริมความฉลาดไม่พยายามพูดจาแนะนำให้คนมีปัญญา ให้คนมีแสงสว่างส่องใจเพื่อจะได้ไม่เป็นทุกข์ แต่ว่าทำอะไรในทางไสยศาสตร์กันเสียมากเช่นว่าให้พระดูดวงชะตาราศี รดน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ หรือทำพิธีรีตองอะไรต่างๆ

แม้เป็นคนที่มีการศึกษา มีปัญญาตามโลกนิยม แต่ก็เป็นปัญญาประเภทต่ำๆ ไม่ใช่เป็นปัญญาตามหลักพุทธศาสนา ซึ่งเป็นปัญญาชั้นสูง เป็นปัญญาที่ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง ปัญญาอย่างนี้มีกันน้อย แล้วก็มักจะไปทำอะไรอื่นคนชั้นผู้ใหญ่เช่นผู้บริหารชาติบ้านเมือง ก็ยังอยู่ในสภาพอย่างนั้นไปหาพระก็ไปเพื่อขอวัตถุ ไม่ขอธรรมะ...ไม่สนใจธรรมะ

การที่คนสนใจแสวงหาวัตถุนี้ ไม่ช่วยให้พระศาสนาเจริญไม่ช่วยให้พระเจริญในทางการศึกษาธรรมะ แต่หันไปศึกษาเรื่องไสยศาสตร์ เรียนวิชาหมอดู เรียนวิชาปลุกเสก ลงเลขลงยันต์แล้วก็ดังเหมือนกัน มีชื่อเสียงในหมู่คนโง่ ดังในหมู่ปัญญาชนที่ปนกับความโง่มากอยู่

การกระทำอย่างนี้ไม่ได้ช่วยให้ศาสนาเจริญก้าวหน้าอย่างไรแต่ว่าเขาก็หาเงินได้ เขาได้เงินจากคนปัญญาอ่อนไม่ทำให้คนดีขึ้น ไม่ทำให้คนฉลาดขึ้นแม้แต่น้อย อยู่อย่างใดก็อยู่อย่างนั้น ยังหลงอยู่ยังงมงายอยู่อย่างนั้น

หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ : ปฎิวัติความงมงาย เลิกเชื่อไร้เหตุผล พึ่งตนและพึ่งธรรม หน้า ๑๔๐-๑๔๑

...................................................................................................................

.........................................................................................................................




แบตฯจิ๋ว ชาร์จด้วยแรงสั่นสะเทือน

บริษัทไมโครเจนของสหรัฐ ประกาศเตรียมวางจำหน่าย "โบลต์" แบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่สามารถชาร์จประจุไฟฟ้าได้จากแรงสั่นสะเทือน โดยหวังให้เป็นทางเลือกใหม่ของผู้บริโภคในโลกที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าพกพา ซึ่งแบตเตอรี่กำลังกลายเป็นข้อจำกัดมากกว่าข้อได้เปรียบของอุปกรณ์ไฟฟ้าในปัจจุบันที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว

โบลต์ ใช้หลักการของสั่นสะเทือนทำให้ครีบที่อยู่ภายในขยับขึ้นลงส่งแรงผ่านไปยังแผ่นแปลงพลังงานที่จะเปลี่ยนพลังงานกลให้เป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บไว้ในแบตเตอรี่ โดยแรงสั่นสะเทือนดังกล่าวจะต้องมีความถี่ตั้งแต่ 120 เฮิร์ตซ์ขึ้นไป (120 ครั้งต่อวินาที) ซึ่งผู้ใช้สามารถนำกล่องโบลต์ไปติดไวกับเครื่องใช้ไฟฟ้

อาทิ เช่น พัดลม ไมโครเวฟ เครื่องดูดฝุ่น เป็นต้น โดยเมื่อโบลต์ชาร์จประจุไฟจนเต็มแล้ว ไฟแอลอีดีที่ด้านหน้าจะกะพริบ โดยผู้ใช้สามารถนำโบลต์ไปเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ เพื่อชาร์จประจุไฟได้ อย่างไรก็ดี โบลต์ ยังไม่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้มากพอจะนำไปชาร์จสมาร์ตโฟนได้ แต่เพียงพอสำหรับอุปกรณ์เซ็นเซอร์ขนาดเล็กแทน เช่น เครื่องวัดลมยางพกพา หรือนาฬิกาตั้งโต๊ะทั่วไป เป็นต้น โดยไมโครเจน เปิดเผยว่า โบลต์ จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปีนี้

ข่าววิทยาการ/ข่าวสดออนไลน์

.............................................................................................................................

..............................................................................................................................




"God does not play dice" -- Albert Einstein
"God does play dice" -- Stephen Hawking

..........................................................................................................................




ต้นไม้ 1 ต้น จะช่วยอะไรได้บ้าง ?

Credit : Info Graphic

......................................................................................................................




» วิธีรับมือกับ ...ป ล า เ น่ า... ในองค์กร

"ปลาเน่าต้นทุนต่ำ"...สำนวนนี้เราได้ยินติดหูกันมาช้านาน แต่จะเป็นจริงหรือไม่...ในชีวิตการทำงานในปัจจุบัน ดร. สตีเฟ่น ร็อบบิ้นส์ ผู้เขียนหนังสือ เคล็ด (ไม่) ลับ กับการบริหาร ฅ. คน ยืนยันว่าจริงครับ!

ในเคล็ด (ไม่) ลับ ข้อที่ 35 จากทั้งหมด 53 ข้อ อ้างถึงผลการศึกษาวิจัยที่ยืนยันว่า หากสมาชิกคนหนึ่งคนใดในทีมจงใจทำงานน้อยกว่าปกติ ชอบพร่ำบ่นโวยวาย ออกอาการ ‘องุ่นเปรี้ยว’ คือ ขาดความสุขในการทำงานและเกะกะระรานผู้อื่นไปทั่ว จะทำให้เกิดการบั่นทอนศักยภาพ ตลอดจนขวัญกำลังใจของทีมงานอย่างไม่ต้องสงสัย

เรียกว่า เป็นมะเร็งร้ายที่น่ากลัว และสามารถลุกลามไปยังส่วนต่างๆ ขององค์กรอย่างไม่หยุดยั้ง

::::::::::::::::


โดยทั่วไป มนุษย์เจ้าปัญหามักจะเป็นคนส่วนน้อยในองค์กร แต่มักจะเรียกร้องความสนใจมากเป็นพิเศษ

ส่งผลให้เกิดสภาพความขัดแย้งในทีม สูญเสียการสื่อสารที่ดีมีไมตรีจิตและมิตรภาพ จนเกิดความรู้สึกที่ย่ำแย่ยุ่งเหยิงไปตามๆ กัน โดยเฉพาะหากเป็นทีมงานที่มีขนาดเล็ก ก็จะยิ่งส่งผลรุนแรงมากขึ้น

การรับมือกับปลาเน่า คือ หัวหน้างานควรป้องกันไม่ให้ปลาเน่าทำสมาชิกคนอื่นแปดเปื้อนเสียหาย เนื่องจากเรื่องราวแย่ๆ มักจะแพร่กระจายได้รวดเร็วมากว่าเรื่องดีๆ หลายร้อยหลายพันเท่า เพราะ ‘เม้าท์’ ได้มันส์และมีรสชาติกว่ากันเยอะ

หัวหน้างานจึงต้องระบุปัญหาที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม รวมถึงมีมาตรการเชิงรุกมาดำเนินการอย่างเฉียบขาด หากพบสมาชิกคนใดปล่อยพลังงานด้านลบออกมา

::::::::::::::::


หากพบว่าพนักงานใหม่เป็นปลาเน่า องค์กรควรจัดการกับคนเหล่านี้เสียตั้งแต่ในช่วงทดลองงาน อย่าให้ผ่านพ้นไป

แต่สิ่งท้าทายยิ่งกว่า คือ การรับมือกับพวก ‘ปลาดี’ ที่กำลังส่งกลิ่นโฉ่เนื่องจากเริ่มติดโรคปลาเน่า กลับเป็นปัญหาหนักอกกว่า

วิธีการรับมือ คือ รีบประเมินว่าปลาเน่าเหล่านี้อยู่ในวิสัยที่จะกลับมาอยู่กับร่องกับรอย ประพฤติตัวเป็นคนดี ขยันขันแข็งในการทำงานได้หรือไม่ และมีสิ่งใดเป็นเหตุจูงใจให้เปลี่ยนไป

จึงเป็นหน้าที่สำคัญของผู้นำในการกำจัดพนักงานที่มีทัศนคติในการทำงานย่ำแย่ นิสัยไม่ดี ชอบสร้างความแตกแยก และไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างทันท่วงที

เพราะคนเหล่านี้จะอยู่เบื้องหลังเหตุร้ายต่างๆ และล่อลวงผู้บริหารด้วยการซักทอดความผิดแก่ผู้อื่นอย่างแนบเนียน รวมถึงความสามารถในการพิสูจน์ข้อดีจุดเด่นของตนเองให้คนทั่วไปหลงเชื่อได้

::::::::::::::::


โชคร้ายที่หลายองค์กรทำได้แค่การย้ายปลาเน่าไปอยู่แผนกอื่น โดยเฉพาะผู้บริหารอาวุโส องค์กรแทบไม่แตะต้องให้กระทบกระเทือน เป็นวัฒนธรรมการส่งปลาเน่าไปอยู่ข้องอื่น

ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะปลาเน่าจะพยายามทำให้ปลาทุกตัวในข้องสกปรกตามไปด้วย ถือเป็นปลาที่มีต้นทุนต่ำ พร้อมทำทุกอย่างแม้กระทั่งเอาตัวเองเข้าแลก เพื่อบั่นทอนขวัญกำลังใจ และดิสเครดิตให้ผู้อื่นมัวหมองไปด้วย

ผมประหลาดใจในข้อสรุปของสตีเฟ่น ร็อบบิ้นส์ที่บอกว่า การวางเฉยและหวังว่าปลาเน่าจะกลับตัวกลับใจนั้นเป็นเรื่องที่สำเร็จได้ยากในความเป็นจริง

มีวิธีเดียวเท่านั้น คือ ต้องกำจัดให้สิ้นซาก เพราะต้นทุนของการปล่อยปลาเน่าทิ้งไว้ช่างสูงเหลือเกิน!

::::::::::::::::

Credit : คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย | คอลัมน์ CEO Challenge

..........................................................................................................................


การอยู่รอดของนายกฯปู ขึ้นกับเสื้อแดงอย่างเดียวเท่านั้น กับทฤษฎี Selectorate Theory (อ่าน 2331 ครั้ง)
ตุลาคม 05, 2012
บทความโดย..ลูกชาวนาไทย



พอดีผมศึกษา ทฤษฎีทางการเมืองที่เรียกว่า Selectorate Theory นะครับ

ทฤษฎี นี้เขาตั้ง "ข้อสงสัย" เป็นคำถาม "เชิงวิจัยหรือคำถามเชิงวิชาการว่า" ทำไมผู้นำทางการเมืองที่เหมือนเป็นคนดี มีอุดมการณ์ ถึงอยู่ในตำแหน่งไม่ได้นาน แต่ผู้นำทางการเมืองที่ดูเหมือน "เลว" ทุจริต โหดร้าย จึงอยู่ในตำแหน่งได้ยาวนานในที่สุดเขาก็สรุปเป็น Selectorate Theory อธิบายคำถามข้างต้น

ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ผู้นำทางการเมืองที่จะอยู่รอด หรือ Survival ทางการเมืองได้ นั้น "จะต้องรักษาตำแหน่งของตนให้ได้เป็นอันดับแรก การรักษาตำแหน่งไม่ได้ ก็หมดสิ้นทุกอย่าง ต่อให้มีความตั้งใจดี ก็ไม่สามารถทำตามความตั้งใจไว้ได้
การรักษาตำแหน่งไว้ได้ ขึ้นกับตัวแปร ดังนี้

กลุ่ม Selectorate ซึ่งก็คือ ผู้ที่มีอำนาจในการเลือกผู้นำหรือสนับสนุนผู้นำให้ขึ้นสู่ตำแหน่งหรืออยู่ใน ตำแหน่งได้ หากคนกลุ่มนี้เลิกสนับสนุนผู้นำ ผู้นำก็จะหลุดจากตำแหน่งในที่สุด โดยอำนาจในการเลือกผู้นำหรือสนับสนุนผู้นำนั้นอาจเป็นอำนาจแฝงหรืออำนาจใน การเลือกผู้นำโดยตรงก็ได้ แต่หมายถึงการดำรงอยู่ของผู้นำ (ตามทฤษฎีนี้เรียก Incumbent) ขึ้นกับคนกลุ่มนี้จริงๆ ตัวอย่างของ Selectorate เช่น ใน ในอเมริกาคือผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด ในเกาหลีเหนือคือ กองทัพทั้งหมด (จริงๆ คือนายพลในกองทัพ) ในจีนคือ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ดังนั้น Selectorate จึงขึ้นกับระบบการเมืองของประเทศนั้นๆ จำนวนมากหรือน้อยขึ้นกับระบบการเมืองของประเทศนั้น



Winning Coalition หรือจำนวนผู้สนับสนุนที่จะทำให้ผู้นำ "ชนะคู่แข่ง" ทางการเมือง สำหรับประเทศไทยคือ คน 15.7 ล้านเสียง ในพม่าคือ นายพลทั้งหลายที่มีมากพอที่จะทำให้ผู้นำอยู่ในตำแหน่งได้ WIC เป็น Subset ของ Selectorate จำนวนขึ้นกับอิทธิพลที่จะทำให้ผู้นำ (Incumbent) อยู่ในตำแหน่งได้

ตามทฤษฎีนี้ หน้าที่ของผู้นำคือ ต้องจัดหา Private Goods ให้กับ Wining Coalition ของตน
หาก ไม่ทำ WIC จะไม่มี Royalty และหันไปสนับสนุนคู่แข่งและฝายตรงข้าม และทำให้ Incumbent หรือผู้นำ หลุดจากตำแหน่ง ปิ๋วหรือกระเด็นออกไป Private Goods อาจเป็นผลประโยชน์ต่างๆทางด้านเศรษฐกิจ ตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งทางราชการ หรือ อุดมการณ์ทางการเมืองต่างๆ

รัฐบาลนายกฯปู ต้องวิเคราะห์ว่า "จริงๆ แล้ว WIC ของตนคือใคร" ยุคก่อนๆ อาจเป็น สส.ในพรรค แต่ยุคนี้ น่าจะเป็นประชาการ 15.7 ล้าน และกลุ่มใดที่มีอิทธิพลต่อ 15.7 ล้านนี้ จริงๆ คือ พวกเสื้อแดง และพวกเสื้อแดงก็มีหลายกลุ่มมีแกนนำ มีความต้องการ ก็ต้องหาให้เจอ ไม่งั้นก็ไปไม่รอดในทางการเมือง ความล้มเหลวของผู้นำทางการเมืองคือ ความล้มเหลวในการจัดหา Private Goods ให้กับ WIC ของตน ทำให้ถูกกำจัดออกจากตำแหน่งในที่สุด

ทั้งนี้ ยิ่ง Winning Coalition ยิ่งมีขนาดเล็ก (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็มีแค่พวกเจ้าต่างกรมต่างๆ ที่มีสิทธิ์แย่งตำแหน่ง) การคอรัปชั่นยิ่งมีสูง และไม่ต้องแคร์ประชาชนด้วย เพราะประชาชน ไม่มีส่วนในการทำให้ผู้นำอยู่รอดในตำแหน่งได้ การทำให้ WIC สนับสนุน ก็ต้องรีดเอาผลประโยชน์มาปรนเปรอแบ่งกันในกลุ่ม WIC

แต่ ในสังคมประชาธิปไตย WIC มีขนาดใหญ่มาก การจัดหา Private Goods จากการคอรับชั่น ย่อมไม่เพียงพอที่จะแบ่งให้ WIC ได้ ดังนั้น นโยบายสาธารณะ ที่จะทำให้ Welfare ของ WIC ดีขึ้นย่อมสำคัญกว่าการคอรัปชั่น เราจึงเห็นประเทศตะวันตกคอรัปชั่นนั้นต่ำมาก การอยู่รอดของผู้นำในสังคมประชาธิปไตย คือนโยบาย และการทำงานหนักเพื่อจัดหา Private Goods หรือ Welfare ต่างๆ ให้กับคนที่เลือกเขา

สำหรับ ประเทศไทยก่อนปี 2540 คนเลือก สส.ผ่านระบบอุปถัมภ์ ดังนั้น สส.จึงมีอิสระ ในการเลือกนายกฯ หรือ รมต. การคอรัปชั่นจึงมีสูง เพราะจำนวน WC นั้นมีน้อย แต่หลังปี 2544 ยุคทักษิณเป็นต้นมา แนวโน้มการเลือกตั้ง ประชาชนนิยมเลือกพรรคมากกว่าตัวบุคคล อิทธิพลของ สส.ก็หายไป WC จึงขยายไปเป็น ประชากรที่ทำให้ชนะเลือกตั้ง การคอรัปชั่น จะกลายเป็นผลเสียต่อผู้นำมากกว่

การทำงานหนัก นโยบายที่ดี จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญของนายกฯปู ในการอยู่รอดในตำแหน่ง



ปัจจุบัน พรรคเพื่อไทยหลังจากถูกยุบมาสองครั้ง ทำให้โครงสร้างทางการเมืองของพรรคเปลี่ยนไป สส.ของพรรค ซึ่งเคยเป็นจุดศูนย์กลางในการระดมคะแนนเสียงเลือกตั้ง เปลี่ยนไป เป็น สส.ของพรรคเป็นเพียงแค่ “ผู้แทนแบบหุ่น” ของพรรคให้ประชาชนเลือกเท่านั้นประชาชนไม่สนใจชื่อของ สส.แต่เลือกจากชื่อเสียงของพรรค หรือชื่อเสียงของนายกรัฐมนตรี/ผู้นำพรรค พรรคเพื่อไทยจึงไม่มีกลุ่มหรือ Fraction ทางการเมืองอีกต่อไป ซึ่งระบบพรรคที่ไม่มีอำนาจต่อรองเป็นกลุ่มแบบนี้ "การวิ่งเต้น" เข้าหาผู้ตัดสินใจนั้นสำคัญ เพราะไม่อย่างนั้นผู้ตัดสินใจหรือผู้มีอิทธิพลย่อมมองไม่เห็น แต่ผู้นำที่ตัดสินใจก็มีขีดจำกัดของตน เพราะเขาจะอยู่รอดต้องสามารถจัดหา Private Goods มาให้ WIC ของตน สำหรับนายกฯปู คือนโยบายต่างๆ ที่เอาใจคน 15.7 ล้าน ที่เลือก ซึ่งคน 15.7 ล้านนี้ ก็มีโครงสร้าง ตัวแทนค่อนข้างชัดเจนว่า "พวกเสื้อแดง" มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
หากนายกฯปูเอาคนในระบบอุปถัมภ์มามาก ก็จะสร้างผลงานไม่ได้ สมัยหน้าก็ปิ๋ว

สำหรับทักษิณหากเอาแต่คนประจบประแจงแต่ไม่ใช้แกนนำของ WIC ที่แท้จริง
ทักษิณก็ไม่ได้กลับบ้าน ก็ต้อง Balance ให้ดี
จำนวน WIC ที่น้อย จะทำให้เกิดระบบ Kleptocracy หรือการทุจริตมโหฬาร เป็นต้น รูปแบบรัฐต่างๆ ก็มีผลด้วย



แต่ สรุปให้เห็นง่ายๆ กับประเทศไทยนะครับ แต่ก่อน เราเป็นรัฐทหาร ต่อมามีการเลือกตั้งก็เป็นระบบอุปถัมภ์อีก ทำให้ Incumbent โดยธรรมชาติแล้วเขาย่อมไม่สนใจต่อประชาชน แต่สนใจคนที่ทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งได้เท่านั้น

และที่ผ่านมา 60 ปี ประชาชนเรายังไป "นับถือ" Incumbent ก่อนหน้านั้น (112) อย่างมากด้วย ทำให้ ผู้นำทางการเมือง หรือนายกรัฐมนตรี ก็ต้องไปเอาใจคนกลุ่มนั้น เพราะพวกเขาคือ WIC ที่แท้จริง

แต่ 6 ปีมานี่ WIC เปลี่ยนไปเป็น "ประชาชนที่ออกเสียงเลือกตั้ง" ดังนั้น โดยธรรมชาติ ไม่มีใครไปสนใจคนอื่นนอกจากคนที่จะทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งได้หรอกครับ

พูด ตรงๆ คือวันนี้ นายกฯไม่ต้องแคร์หรือสนใจพวกอำมาตย์ มากมายนัก เพียงแต่ในทางปฏิบัติ? "อาจใช้เล่ห์กล" เอาอกเอาใจบ้าง ก็ไม่เสียให้อะไร แต่เมื่อต้องต้องตัดสินใจ เจ้าหรืออำมาตย์ก็ไม่มีผลเท่าใดนัก

เพราะจะอยู่รอดหรือไม่ในทางการเมืองขึ้นกับ WIC อย่างเดียว

................................................................................................................................



Kraren Current เป็นพาสเวิสที่เจาะได้ยากที่สุดใน 3 โหลกกันเลยทีเดียว - -!!!


...............................................................................................................................




ไปถ่ายรูปคู่กับกันดัมขวัญใจคนรุ่นผม
......
สมัยนี้ผู้ใหญ่มักโจมตีการ์ตูนว่าจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมรุนแรง
ทั้งๆที่พวกเขาก็เติบโตมากั
หัวขโมยอย่างอะลาดิน
นักซิ่งที่ขับรถเร็วเกินกำหนดอย่างแบทแมน
คนวิตถารที่โชว์กางเกงในอย่างซูเปอร์แมน
กลาสีสูบจัดอย่างป๊อปอาย
หญิงสาวที่กลับบ้านหลังเที่ยงคืนอย่างซินเดอเรล่า
.........
การ์ตูนจะทำให้เราเสียคนจริงๆหรือ

..........................................................................................................................

Don't feed the troll !!!

โทรลล์

โทรลล์ (อังกฤษ: troll) อยู่ในตำนานสแกนดิเนเวียมีรูร่างคล้ายคนแคระแต่มีขนาดใหญ่กว่าสูงประมาณ 20 ฟุตพวกมันอาศัยอยู่ในถ้ำ
มีทั้งดุร้ายและใจดี พวกนี้มีผิวหยาบ เท้าแบนและกลิ่นตัวรุนแรงมาก

โทรลล์แบบต่างๆ ตามจินตนาการที่วาดออกมา




โทรลล์ถ้ำจาก ภาพยนตร์ไตรภาคลอร์ดออฟเดอะริงส์โทรลล์ หนึ่งในหมู่สิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ประหลาดกึ่งมนุษย์ พวกมันไม่ค่อยฉลาดเท่าใดนัก
แต่มีอยู่ทั่วไปตามเนินต่างๆ ที่ตีนเทือกเขามิสตี้ เมื่อเผ่าเอลฟ์ป้องกันไม่ให้เผ่าโทรลล์แพร่กระจายมาตามเขาทางใต้
พวกมันจึงใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งเอทเทนมัวร์ และโทรลล์เฟนส์ ซึ่งถูกเรียกชื่อนี้เนื่องจากมีเผ่าโทรล์จำนวนนับหมื่นนับแสนที่เรียกสถาน ที่นั้นว่าบ้าน
เหล่ากอบลินจะรุกรานพื้นที่นี้อยู่บ่อยๆ เพื่อจับโทรลล์ถ้ำมาเป็นทาส สิ่งมีชีวิตที่โชคร้ายเหล่านี้มักถูกใช้เป็นเหมือนทหารม้าหรืออาวุธบุกเมือง
เนื่องจากกล้ามเนื้อของพวกมัน สามารถปราบศัตรูได้เกือบทุกคนที่เชื่องช้าหรือไม่ฉลาดพอ ที่จะหลบมันให้อยู่ในระยะปลอดภัย
แม้แต่คณะพันธมิตรแห่งแหวนยังต้องพบกับอันตรายที่ยิ่งใหญ่เมื่ออยู่ในสถานที่ปิด กับโทรลล์ถ้ำตัวเดียวในเหมืองแห่งมอเรีย
โทรลล์ถ้ำนั้นมีจำนวนมากพอที่จะส่งออกไปเป็นกลุ่มเพื่อปะทะกับศัตรู พวกมันจะมีปัญหากับหอกและลูกธนูเป็นพิเศษ
เนื่องจากไม่ฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงอุปสรรคเหล่านี้ขณะที่พยายามเข้าประชิดศัตรู นอกจากนี้โทรลล์ถ้ำ ยังอ่อนแอต่อแสงอาทิตย์จ้า
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้สามารถพบได้ทั่วมิดเดิลเอิร์ธ และเป็นที่รู้กันว่าทั้งเซารอน และเผ่ากอบลินจะเกณฑ์พวกมันเข้ามาในกองทัพทันทีที่พบ



โทรลล์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว สูงได้ถึงสิบสองฟุต และหนักได้กว่าหนึ่งตัน โทรลล์โดดเด่นในเรื่องพละกำลังที่มากพอๆกับความโง่เขลาของมัน
ส่วนใหญ่ มีนิสัยโหดร้ายและไม่สามารถคาดเดาพฤติกรรมได้ โทรลล์มีถิ่นกำเนิดในสแกนดิเนเวีย แต่ทุกวันนี้อาจพบได้ในอังกฤษ ไอร์แลนด์ และบริเวณอื่นๆในยุโรปตอนเหนือ
โดยทั่วไปโทรลล์สื่อสารกันด้วยเสียงคำรามที่ดูเหมือนเป็นภาษาอย่างหยาบๆแต่บางตัวก็
อาจจะเข้าใจและพูดภาษามนุษย์ได้บ้างสายพันธุ์ที่ฉลาดหน่อยได้รับการฝึกฝนให้ทำหน้าที
ยามรักษาการณ์



-โทรลล์มีอยู่สามชนิด คือ โทรลล์ภูเขา โทรลล์ป่า และโทรลล์แม่น้ำ


-โทรลล์ภูเขาเป็น พันธุ์ที่ตัวใหญ่ที่สุดและดุร้ายที่สุด หัวล้านผิวสีเทาซีด
-โทรลล์ป่าผิวสีเขียวซีด และบางสายพันธุ์ก็มีผมสีเขียวหรือสีน้ำตาลที่บางและยุ่งเหยิง
-โทรลล์แม่น้ำมีเขาสั้นๆและอาจมีขนดก ผิวสีม่วง มักจะซ่อนตัวอยู่ใต้สะพาน
-โทรลล์กินเนื้อดิบๆและไม่ค่อยจู้จี้เรื่องเหยื่อมากนัก เหยื่อของมันก็มีตั้งแต่สัตว์ป่าไป จนถึงมนุษย์

มารู้จัก Troll แห่งโลก Internet กันเถอะ


Troll?
เป็นชื่อที่ใช้เรียกผู้ใช้อินเตอร์เน็ตชั้นต่ำระดับเลวในกลุ่มสังคมต่างๆ แห่งโลก Internet โดยเฉพาะ Newsgroup และ BBS
ซึ่งพวกมันจะชอบสร้างความกดดันในบอร์ดด้วยวิธีการต่า งๆ อาทิเช่น


- โพสต์กระทู้หรือข้อความในลักษณะที่เป็นการยั่วให้คนอื่นโมโหหรือเกิดการทะเลาะกันอย่
างรุนแรงในหัวข้อหนึ่งๆ
- ชอบตั้งประเด็นสร้างข้อโต้แย้งและพยายามโน้มน้าวใจผู้อื่นหรือแม้กระทั่งทำให้คนอื่น
เสียความรู้สึกในประเด็นนั้นๆ
- ปล่อยข่าวลือต่างๆ ในทางที่ไม่ดีกับคนหรือกลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เน็ตกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
- ชอบอวดภูมิความรู้ข่มคนอื่นเพื่อให้ชนะการโต้เถียงนั้นๆ (ซึ่งส่วนใหญ่จะมั่วและอ้างโน่นอ้างนี่แบบหัวชนฝามากกว่า)
- เป็นตัวต้นเหตุของสงครามความกดดันในรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า Flame War โดยเฉพาะการโจมตีตัวบุคคลทั้งทางตรงและทางอ้อม


มันเกิดมาเพราะอะไร?

มีอยู่หลายสาเหตุเหมือนกันที่ทำให้คนธรรมดาๆ กลายพันธุ์เป็น Troll ได้เช่น

- อยากเด่นอยากดังโดยใช้วิธีลัดสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง (ซึ่งร้อยทั้งร้อยก็ชื่อเสียนั่นแหละ)
- เป็นพวกเก็บกดมีปัญหาด้านครอบครัว
- โรคจิต และสนุกสนานกับการล้อเล่น อีกทั้งยังชอบทำลายความคิดความรู้สึกของผู้อื่นเป็นอาจิณ

จะรู้ได้ยังไงว่าคนที่เราสงสัยอยู่เป็น Troll?

นอกจากคุณสมบัติของ Troll ข้างต้นแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณสงสัยว่าเขาหรือใครก็ตามเป็น Troll หรือไม่ ก็ให้ใช้คำพูดที่สุภาพโต้ตอบไปซะ
ในบางครั้งเขาอาจจะแค่อารมณ์เสียเฉยๆ ในเรื่องบางเรื่องทีไม่เป็นไปดั่งใจเขา (อาจจะไม่ใช่ Troll จริงๆ) ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะสงบลงในเวลาไม่นานนัก
แต่ถ้าเกิดคนคนนั้นยังอยู่ในลักษณะเกรี้ยวกราดและพอใ จที่จะแสดงอารมณ์แบบนั้นอยู่แล้วล่ะก็ขอให้พึงระลึกไ ว้เลยว่ามันต้องเป็น Troll แน่ๆ

จะรับมือกับพวก Troll ได้อย่างไร?

Do not feed the Troll !!



คุณอาจจะคิดว่าพวก Troll ส่วนใหญ่อาจจะสามารถเยียวยาได้ด้วยเหตุผล แต่มันไม่ได้ผลกับ Troll ที่ชอบใช้แต่อารมณ์หรือรักสนุกเสียเท่าไหร่
มันไม่สนใจหรอกว่าคนอื่นเขาจะรู้สึกยังไง คุณไม่สามารถทำให้มันสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวมันกระทำได้ เจรจาต่อรองกับมันก็ไม่ได้
อย่าว่าแต่กฏเลย มันไม่สนใจหรอก และส่วนใหญ่ก็จะทำตัวเป็นพวกต่อต้านสังคมด้วย ซึ่ง Troll ที่แท้จริงจะไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดใดๆ ของคุณเลย

ถ้าคุณให้เหตุผลมัน มันชนะ

ถ้าคุณเถียงมัน มันชนะ

ถ้าคุณระเบิดอารมณ์ใส่มัน มันชนะ


ทางที่ดีที่สุดที่จะกำจัดมันคือตัดหางปล่อยวัดมันซะ ไม่ต้องสนใจว่ามันจะพ่นน้ำลายมาอย่างไร
เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะเสวนากับพวกที่มีระดับการรับ รู้อยู่แค่บัวใต้น้ำ... เปล่าประโยชน์ๆๆๆๆ~! (ทำเสียงเหมือนดีโอในเรื่องโจโจ้ล่าข้ามศตวรรษเพื่อให้ได้อารมณ์)


น่าเสียดายที่บางคนใจอ่อนไปหน่อย ในบางครั้งก็เลยไปติดหลุมพรางที่มันวางอยู่ (ไปทำตามที่บอกข้างบนให้มันชนะ) ...ขอให้พึงระวังไว้ให้ดี



สรุป
พวก Troll ถือเป็นกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสงสารมาก... เหมือนกับเด็กเกเรที่ไม่รู้จักโต... เมื่อเจอมันก็จงปล่อยให้มันอยู่ไปของมันอย่างงั้นแหละ
การโต้เถียงมันก็เหมือนกับเป็นการโยนอาหารให้กับมัน ทำให้มันมีชีวิตอยู่อย่างโหดร้ายในโลกอินเตอร์เน็ตต่อไป
เพราะฉะนั้น... ปล่อยมันไปซะ... ถือซะว่าทำบุญให้กับพวกมันก็แล้วกัน (ถ้ามันมาก่อกวนก็ถีบมันซะไม่ต้องไปคุยกับมันให้เปลืองวาจา



................................................................................................................................




การปล้นธนาคารที่ ฮาและมีสาระ
โจรปล้นธนาคารที่กวงซู โจรตะโกนคำแรกเมื่อชักปืนออกมาว่า

"ทุกคนอย่าขยับ เงินเป็นของรัฐ แต่ชีวิตเป็นของคุณ"

ทุกคนนอนอย่างสงบบนพื้น ไม่มีใครเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องเงินของรัฐ

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "เทคนิคการเปลี่ยนแนวคิด" บิดเบือนนิดเดียวความคิดเราก็เปลี่ยนไปไกลแล้ว
-------------------------------------------------

ผู้หญิงคนนึงนอนอยู่บนโต๊ะและกำลังจะกรี๊ด ทันใดนั้นโจรตะโกนใส่ผู้หญิงว่า "เรามีวัฒนธรรม ผมมาปล้นแบ๊งค์ ไม่ได้มาข่มขืนคุณ!!"

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "การเป็นมืออาชีพ" ตั้งมั่นในเป้าหมายอย่างเดียวไม่ว่อกแว่ก
-------------------------------------------------

เมื่อโจรกลับถึงฐานลับ โจรวัยรุ่นที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท MBA บอกกับรุ่นพี่โจรว่า "รุ่นพี่ เรามานับเงินกันว่าได้มาเท่าไหร่" แต่รุ่นพี่โจรที่จบเพียงชั้นประถมกล่าวว่า "แกนี่มันโง่มากเลย เงินตั้งเยอะตั้งแนะ จะนับยังไง คืนนี้ทีวีจะบอกเองแหล่ะว่าเราได้มาเท่าไหร่!!"

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ประสบการณ์" ซึ่งในปัจจุบันประสบการณ์มีค่ามากกว่าใบปริญญามากมายนั
-------------------------------------------------

เมื่อโจรกลับไปแล้ว ผู้จัดการธนาคารสั่งให้รองผู้จัดการโทรหาตำรวจที่เบอร์191 แต่ผู้จัดการธนาคารกลับค้านว่า "เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นๆ โจรเอาเงินไปเท่าไหร่ เรามานับกันก่อน แล้วบอกตำรวจว่าโจรเอาไปมากกว่านั้นอีก 5 ล้าน"

เราเรียกสิ่งนี้่ว่า "ว่ายตามน้ำ" หรือการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส
-------------------------------------------------

ผู้จัดการกล่าวว่า "นั่นสิ จริงๆแล้วถ้ามีโจรมาปล้นธนาคารทุกเดือนก็ดีสินะ"

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "การฆ่าเวลาเล่นๆ" ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าความสุขของเราอีกแล้ว
-------------------------------------------------

วันถัดมา ทีวีทุกช่องออกข่าวกันว่ามีโจรปล้นธนาคาร 100 ล้านบาท แต่ว่าโจรที่ปล้นไปนับแล้วนับอีก ไม่ว่าจะนับกี่รอบ ก็นับได้แค่ 20 ล้านบาทเท่านั้น โจรโกรธมากแล้วพูดว่า "เราเสี่ยงตายและปล้นธนาคารออกมาได้แค่ 20 ล้านบาท แต่เจ้าผู้จัดการธนาคารแค่มันหัวไวนิดเดียว มันทำเงินได้ถึง 80 ล้านบาทเลย การศึกษามีดีอย่างนี้นี่เอง"

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ความรู้มีค่ามากกว่าทองคำ"
-------------------------------------------------

ผู้จัดการธนาคารยิ้มร่าอย่างแรง เพราะว่าอยู่ดีๆเขาก็มีเงินเพิ่มขึ้นถึง 80 ล้านบาท โดยที่เป็นความผิดของโจรปล้นธนาคาร

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "โคตรโกง" เซียนเหนือเซียน แต่ไม่ใช่ในสิ่งดี

-------------------------------------------------

โตไปไม่โกงกันนะครับ แปลโดย แอดมิน Dektalent.com

...........................................................................................................................


ต้องเป็นช่วงใกล้สอบด้วยนะ ^_^




Kraren Current ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันนะละครับ ยิ่งวิชาไหนต้องทำแลปด้วยละก็ 5555555555555+


............................................................................................................................

.............................................................................................................................


ความเห็นโต้แย้งจากคุณ : Siriwat Whin Vitoonkijvanich

หม่อมกรอีกละ ผู้เชี่ยวชาญนั่นเอง พูดมาได้ มีหลุมน้ำมัน 5.6 พันหลุมแต่เปิดแล้ว 2.5 พันหลุม อย่างว่า คนไม่เคยทำงานในวงการพลังงานจริงๆ ก็เลยไม่รู้เรื่องอ่าครับ

ต้องบอกว่า เคยมี 5.6 พันหลุม แต่เหลือให้ผลิตได้ 2.5 พันหลุมต่างหาก แล้วจำนวนหลุมไม่ได้มีความสัมพันธ์ต่ออัตราการผลิต อัตราการผลิตเฉลี่ยต่อหลุมในไทยง่อยมากๆ เทียบไม่ได้เลยกับประเทศอย่างซาอุ ที่มีจำนวนหลุมน้ำมันพอๆกัน แต่อัตราการผลิตน้ำมันดิบต่างกัน 100 เท่า

และแผนที่ที่เป็นแอ่งตะกอนนั้น เค้าเรียกว่า Basin ไม่ใช่ Reservoir หรือแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม ชั้นหินที่สามารถเก็บปิโตรเลียมได้จริงที่ต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 4 อย่าง ผมคงไม่พูดถึงในที่นี้ จะเป็นกระเปาะๆในบริเวณที่เป็น Basin ไม่ใช่ที่แรเงาทั้งหมดนั่น คือไม่รู้จริง ก็จับแพะชนแกะไปเรื่อยอ่าครับ

เหมือนอันดามันนั่นไง Basin ใหญ่เบ้อเริ่ม ผลเป็นไง เจาะไป 19 หลุม เจ๊งทั้ง 19 หลุมครับ เพราะไม่เจอ Reservoir หรือเจอน้อยมากๆจนไม่คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์

แล้วที่มาอ้าง Natural Resources Charter นั่น ผมก็มองไม่เห็นว่า ไม่โปร่งใสยังไง จะขอสัมปทานได้ ต้องผ่านทั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาคำขอ คณะกรรมการปิโตรเลียม (ที่ได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้ง) และคณะรัฐมนตรี นะครับ

แล้วที่เค้ามองที่ปริมาณงานมากกว่าเงินประมูลที่จะให้ Signature bonus เยอะๆ เพราะประเทศไทยต้องการปิโตรเลียม ถ้าใครขอสำรวจแต่จะเจาะหลุมสำรวจให้แค่ 1 หลุม และให้ Signature Bonus เยอะๆ กับ จะเจาะหลุมสำรวจให้ 20 หลุม แต่ให้ Signature Bonus น้อยๆ ควรจะให้ใครมากกว่ากันครับ คิดเยอะๆครับ บางที Value of Information มันมากกว่าเงินที่จ่ายให้ตอนประมูลครั้งแรกนะครับ และอีกอย่างพื้นที่ที่ขอสัมปทานแปลงนั้นยังไม่ได้ถูกสำรวจเลย แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าพื้นที่นั้นมีมากมีน้อยแค่ไหนครับ แล้วจะควรจะประเมินเงินประมูลเท่าไรกันแน่ มันไม่เหมือนประมูลซื้อขายของนะครับ

http://www.cabinet.soc.go.th/soc/Program3-3.jsp?com_code1=%BE%B9&com_code2=3&com_set=4&com_title&org_serl

..............................................................................................................................


โบราณมีคำกล่าวว่า
“จงเฝ้าระวังความคิดของท่าน มันจะกลายเป็นคำพูด
ระวังคำพูดของท่าน มันจะกลายเป็นการกระทำ
ระวังการกระทำของท่าน มันจะกลายเป็นนิสัย
ระวังนิสัยของท่าน มันจะกลายเป็นตัวตน
ระวังตัวตนของท่าน มันจะกลายเป็นชะตาชีวิตของท่าน”

คิดบวกชีวิตก็มักเป็นบวก คิดลบชีวิตก็มักเป็นลบ

You are what you think!

ใช้ความคิดให้เป็น เราก็กำหนดชะตาชีวิตของเราเองได

วินทร์ เลียววาริณ

.............................................................................................................................




มันแปลกดีนะ

....................................................................................................................




พลิกชีวิตคนพิการด้วยรถเข็น DIY จากของใกล้ตัว

สำหรับประเทศด้อยพัฒนา ความพิการนอกจากจะนำมาซึ่งความลำบากในการดำรงชีวิตแล้ว การเข้าถึงอุปกรณ์ที่ช่วยเสริมคุณภาพชีวิตของเขาก็ยากขึ้นเป็นทวีคุณ สาเหตุหลักก็สืบเนื่องมาจาก

ราคาของอุปกรณ์เหล่านี้ เช่น รถเข็น ขาเทียม ฯลฯ มักมีราคาสูงมากเกินกว่าที่เขาจะสามารถซื้อหาได้ง่าย และนี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สองนักออกแบบชาวสเปน Josep Mora และ Clara Romani ร่วมกันออกแบบรถเข็นสำหรับคนพิการ โดยใช้วัสดุง่ายๆ ราคาถูกที่หาได้ในท้องถิ่นให้กับชาวรวันดา หนึ่งในประเทศที่ยากจนสุดๆ

............................................................................................................................



Mati Tajaroensuk สงสารลูกเจี๊ยบ แต่พอกิน ลืมสงสารนี่ซิครับ


...........................................................................................................................


ช่วงนี้มีเพื่อนผมต้องไปงานวิจัยโครงการป้องกันน้ำท่วมเยอะ ผมเลยขอบ่นเรื่องนี้นิดนึง

คือนโยบายโครงการป้องกันน้ำท่วมเนี่ย ผมว่าเป็นนโยบายที่ไม่เข้าท่าเอามากๆ แต่โทษรัฐบาลไม่ได้ อันนี้ต้องโทษประชาชน คือกรณีน้ำท่วมแบบปีที่ผ่านมา ถ้าคุณคิดดีๆ คือโอกาสที่น้ำจะเยอะขนาดนั้น มันมีกี่ % กัน คือถ้าพูดกันตามตรง ปีนั้นซวยเหี้ยๆ เองครับ มันถึงได้ท่วมขนาดนั้น

ทีนี้ถามว่าเราควรป้องกันมั้ย ใช่ เราควรป้องกัน แต่การป้องกันทุกอย่างมันต้องเหมาะสมกับความเสี่ยง เหมือนที่เราคงไม่สร้างบ้านในเมืองไทยที่ป้องกันแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ได้กันใช่มั้ยครับ (ถ้าสร้างแบบนั้น ก็ 10 ล้านบวกต่อหลังครับ) ซึ่งการป้องกันน้ำท่วมก็เหมือนกัน แทนที่จะจัดงบลงไปตูมทีเดียวเป็นหลายพันหลายหมื่นล้าน ทั้งๆ ที่ความเสี่ยงในปีนี้ไม่สูงเท่าไหร่ คุณก็ค่อยๆ สร้างค่อยๆ พัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วมไปทีละสเตป ให้มันเหมาะสม อย่างถ้าปีนี้ความเสี่ยงน้ำท่วมน้อย คุณก็ลงทุนไปทีละนิด จะได้มีเงินเหลือในปีงบประมาณไปพัฒนาทางอื่นได้เยอะขึ้น

แต่สิ่งที่ทำตอนนี้คือปีที่แล้วน้ำท่วม ปีนี้เลยไม่ทำเหี้ยไรเลยอะไรเลย เอางบประมาณมาลงกับการป้องกันน้ำท่วมแม่งหมด ทั้งๆ ที่ความเสี่ยงความรีบร้อนที่จะต้องทำในปีนี้มันไม่มีเลย เราไม่จำเป็นต้องทุ่มอัด และเร่งรีบปิดงานป้องกันน้ำท่วมขนาดนั้น ลงงบประมาณทีเดียวหมดขนาดนี้ เหตุผลเดียวที่ทำแบบนี้ คือความหวาดกลัวของคนนั่นแหละครับ ผมถึงได้บอกว่าโทษรัฐบาลไม่ได้เลย เพราะคนทั่วไปก็ชอบแนวคิด "วัวหายล้อมคอก" กันทั้งนั้น

อันนี้บ่นเล่นๆ ครับว่าโครงการมันไม่สมเหตุสมผล แต่ในเมื่อคนส่วนมากชอบความไม่สมเหตุสมผลแบบนี้ ต้องทำแบบนี้ถึงจะสบายใจ อุ่นใจ ผมก็ เอาวะ ว่าไงว่าตามกันก็ได้วะ คิดซะว่าซื้อความสบายใจให้ประเทศละกันวะ (แต่มันไม่สมเหตุสมผลเลย จริงๆ นะ)

..........................................................................................................................


Bill Gates: Steve Jobs was better at design than I was


http://news.cnet.com/8301-17852_3-57584129-71/bill-gates-steve-jobs-was-better-at-design-than-i-was/?subj=cnet&tag=title
..........................................................................................................................

ศักยภาพปิโตรเลียมในภาคอีสาน





 กลุ่มทวงคืนพลังงาน ได้ตัดแปะ บิดเบือน กล่าวอ้าง คำสัมภาษณ์ของ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ให้ดูเหมือนว่า แผ่นดินอีสาน เป็นภูมิภาคที่มีทรัพย์สินอันมีค่ามหาศาลฝังอยู่ใต้ดิน ชั้นความหนา 1-2 กิโลเมตร คาดว่ามีแหล่งปิโตรเลียมกินพื้นที่กว่า 1 แสนตารางกิโลเมตร ในขณะที่คนอีสานส่วนใหญ่ยังเป็นคนที่ยากจนที่สุดในประเทศไทย โดยอ้างถึงภาพนี้ครับ  

     อันที่จริงภาพดังกล่าวนี้เป็นเพียงแปลงที่นำมาเปิดสัมปทานรอบที่ 20 ไม่ได้เป็นบริเวณที่แสดงว่ามีปิโตรเลียมอยู่ทั้งหมด ซึ่งผลการออกสัมปทาน ผลการสำรวจและการคืนพื้นที่กลับมาให้รัฐได้เคยกล่าวแล้วในบทความก่อน ในครั้งนี้ผมขอแชร์ข้อมูลด้านศักยภาพปิโตรเลียมทางภาคอีสาน ประวัติการสำรวจ ปริมาณการผลิตและปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่มีอยู่ในภูมิภาคนี้ 
    การสำรวจหาปิโตรเลียมในภาคอีสาน เริ่มต้นในปี 2514 สัมปทานรอบที่ 1 บริษัทยูเนียนออลย์ เจาะหลุมสำรวจหลุมแรกที่ภาคอีสาน บริเวณ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ชื่อหลุม กุฉินารายณ์-1 ไม่พบปิโตรเลียม
    ในช่วงปี 2522-2533 สัมปทานรอบที่ 6 7 และ 8
         บริษัทเอสโซ่ โคราช เจาะหลุมสำรวจ 7 หลุม พบก๊าซธรรมชาติจำนวน 4 หลุม มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์เพียง 2 หลุม ซึ่งอยู่ในแปลง E5(รอบที่ 6) คือ หลุมน้ำพอง-1A (2524) และ หลุมน้ำพอง-2 (2526) ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นแหล่งผลิตก๊าซน้ำพอง ในปี 2533 ส่วนอีก 2 หลุมที่พบและไม่สามารถพัฒนาได้คือ หลุมชนบท-1 และ หลุมดงมูล-1
         บริษัทเอสโซ่ อุดร เจาะหลุมสำรวจ 3 หลุม พบก๊าซธรรมชาติ 1 หลุม ในแปลง EU1(รอบที่ 8) คือ หลุมภูฮ่อม-1 (2526) ซึ่งต่อมาได้พัฒนารวมกับหลุมในแปลง E5 เป็นแหล่งผลิตก๊าซสินภูฮ่อม ในปี 2549  
         บริษัทฟิลลิบ เจาะหลุมสำรวจ 1 หลุม ในแปลง P2 คือ หลุมโนนสัง-1 ไม่พบปิโตรเลียม

    ในช่วงปี 2533-2543 สัมปทานรอบที่ 13 และ 15
         มีหลายบริษัทที่เข้ามาสำรวจ เช่น บริษัทยูโนแคล,ไทยเชลล์,เท็กซาโค่,โทเทล โคราช และ อมาราดา เฮสส์ เป็นต้น ได้เข้ามาทำการเจาะสำรวจ รวมกัน 10 หลุม พบก๊าซธรรมชาติเพียง 2 หลุม คือ หลุมดาวเรือง-1 และหลุมมุกดาหาร-1 แต่ไม่สามารถพัฒนาได้ และพบเพียงร่องรอย อีก 2 หลุม คือหลุมห้วยมุก-1 และหลุมภูเวียง-1


     ในช่วงปี 2543-2555 สัมปทานรอบที่ 18 19 และ 20
         ในปี 2545 บริษัท อมาราดา เฮสส์ ได้เจาะหลุมสำรวจเพิ่มเติมในพื้นที่สงวนในแปลง E5 โดยเจาะหลุมภูฮ่อม-3st  พบก๊าซธรรมชาติ และต่อมาได้เจาะหลุมประเมินผลอีกหลายหลุม และพัฒนาร่วมกับหลุมที่เจาะพบในแปลง EU1 จนพัฒนาเป็นแหล่งผลิตก๊าซสินภูฮ่อมได้ในปี 2549
         นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายบริษัทให้ความสนใจเข้ามาสำรวจขุดเจาะ เช่น บริษัท อพิโก โคราช ,ทาเท็ก ,ซาลาเมนเดอร์ และรวมถึงบริษัท ปตท.สผ. โดยเจาะหลุมสำรวจรวมกัน 6 หลุม พบก๊าซธรรมชาติ 3 หลุม แต่ไม่สามารถพัฒนาได้ คือหลุม TEW-E ,TEW-EST และ หลุมรัตนะซึ่งเจาะในปี 2554 โดยบริษัท ปตท.สผ.ฯ ใช้เงินลงทุนเจาะสำรวจไปกว่า 44 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,300 ล้านบาท) ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลเพื่อกลับมาเจาะใหม่อีกครั้ง        
         ในปี 2555 บริษัท อพิโก ได้กลับมาเจาะหลุมประเมินผลในแปลง L27/43 คือ หลุมดงมูล-3st พบก๊าซธรรมชาติในเชิงพาณิชย์ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพัฒนาแหล่ง เพื่อผลิตก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ในภาคอีสาน เป็นแหล่งที่ 3 ต่อจาก แหล่งก๊าซน้ำพอง และ สินภูฮ่อม
      สรุปภาพรวมการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมในภาคอีสานและความสำเร็จในการพบปิโตรเลียม 
      ตัวอย่างในการใช้ภาพ เช่น ในปี 2533 มีการเจาะหลุมสำรวจ 2 หลุม เจาะหลุมประเมินผล 2 หลุม และเจาะหลุมพัฒนา 1 หลุม รวมเป็น 5 หลุม ผลการเจาะพบก๊าซ 2 หลุม แต่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์คือผลิตได้ 1 หลุม คือ หลุมน้ำพอง-6 
      ผลการขุดเจาะหลุมในภาคอีสานรวมกันทั้งหมด 49 หลุม ไม่พบน้ำมัน พบก๊าซธรรมชาติ 24 หลุม แต่ในจำนวนนี้เป็นหลุมที่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์เพียง 14 หลุม (แหล่งน้ำพอง 8 หลุม แหล่งสินภูฮ่อม 5 หลุม และแหล่งดงมูล 1 หลุม) พัฒนาเป็นแหล่งผลิตก๊าซได้ 2 แหล่ง และอยู่ในระหว่างการพัฒนาอีก 1 แหล่ง ปริมาณสำรองก๊าซที่พบรวมกันประมาณ 1 ล้านล้าน ลบ.ฟุต คิดเป็นสัดส่วนได้ประมาณร้อยละ 3 ของปิโตรเลียมที่พบในประเทศไทย

      อัตราการผลิตก๊าซ และ ปริมาณการผลิตสะสม 
       การผลิตก๊าซในภาคอีสาน เฉลี่ยในปี 2555 ผลิตได้ประมาณ 108 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 3.7 ของปริมาณที่ผลิตได้ภายในประเทศ (2,930) หรือ คิดเป็นร้อยละ 2.3 ของความต้องการใช้ก๊าซในประเทศไทย (4,800) ก๊าซที่ผลิตได้ส่วนใหญ่นำไปใช้เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และที่เหลือใช้ทำก๊าซสำหรับรถยนต์(NGV) นอกจากผลิตก๊าซแล้ว แหล่งสินภูฮ่อมยังสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวได้อีกประมาณ 450 บาร์เรลต่อวันอีกด้วย
       จนถึงสิ้นปี 2555 ทั้งสองแหล่งผลิตก๊าซขึ้นมาใช้ประโยชน์รวมกันได้แล้วประมาณ 590 พันล้าน ลบ.ฟุต ยังคงเหลือปริมาณสำรองก๊าซที่พิสูจน์แล้วอีกประมาณ 400 พันล้าน ลบ.ฟุต

       การลงทุนในภาคอีสานแยกตามกิจกรรมได้ดังนี้  
       การลงทุนสำรวจในภาคอีสานมีมูลค่าประมาณ 17,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนได้ประมาณร้อยละ 10 ของการลงทุนสำรวจทั่วประเทศ(185,500) โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมในทุกกิจกรรมประมาณ 35,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 2 ของการลงทุนทั้งหมด(1,626,900)
        มูลค่าก๊าซและก๊าซธรรมชาติเหลวรวมกันประมาณ 81,250 ล้านบาท รัฐมีรายได้จากค่าภาคหลวง 10,156 ล้านบาท ในจำนวนนี้ร้อยละ 40 ส่งเข้ากระทรวงการคลัง จัดสรรให้ อบต./เทศบาล ในพื้นที่สัมปทาน ร้อยละ 20 จัดสรรให้ อบต./เทศบาลอื่นๆ ร้อยละ 20 และจัดสรรให้ อบจ. ทั่วประเทศ ร้อยละ 20 และเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียมอีกประมาณ 20,000 ล้านบาท (คำนวณตามสูตรจาก 2 โครงการ)
        จากสัมปทาน 20 รอบ รวมพื้นที่ทั้งหมดที่ออกสัมปทานไปประมาณ 190,000 ตารางกิโลเมตร ผู้รับสัมปทานสำรวจพบและพัฒนาเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติได้ 3 แหล่ง บนพื้นที่ที่ได้รับอนุมัติให้เป็นพื้นที่ผลิตเพียง 300 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 0.16 ของพื้นที่ที่ออกสัมปทานไปทั้งหมด จึงเป็นข้อมูลที่ยืนยันได้ว่า ภาคอีสาน ไม่ได้มีปิโตรเลียมครอบคลุมพื้นที่ 1 แสนตารางกิโลเมตร ตามที่ได้มีการบิดเบือน และจากข้อมูลไม่เคยมีการขุดพบแหล่งน้ำมันในภูมิภาคนี้
         จากสถิติความต้องการใช้ก๊าซในประเทศไทยที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี ทำให้มีความจำเป็นต้องเร่งสำรวจหาก๊าซในภาคอีสานต่อไป เพราะเป็นความหวังเดียวที่จะมาทดแทนก๊าซจากอ่าวไทยได้ แม้ว่าค่าใช้จ่ายด้านการสำรวจขุดเจาะจะมีมูลค่าสูงมาก เมื่อเทียบกับภาคกลางและในอ่าวไทย อีกทั้งตลาดก๊าซในภูมิภาคนี้ยังมีความไม่แน่นอน (ขึ้นกับปริมาณที่พบ) เพราะหากใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าก็จะแข่งกับการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้(ซื้อไฟฟ้าจากลาวถูกกว่าใช้ก๊าซอีสานผลิตไฟฟ้า) และหากใช้ทำก๊าซในรถยนต์ก็ยังมีความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ดังนั้น แทนที่จะต่อต้านคัดค้าน ควรหันมาให้การสนับสนุนการสำรวจหาปิโตรเลียมในภาคอีสานเพื่ออนาคตของชาติจะดีกว่า....    

ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะครับ..
อ่านแล้วชอบใจ ไม่ต้องกด Like นะครับ ขอให้กด Share แทน ขอบคุณครับ
บทความก่อนหน้า ความสำเร็จในการขุดเจาะปิโตรเลียมในประเทศไทย กดตามลิงค์ ข้างล่างนี้ครับ


........................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น