..........................................................................................................
ความจริงที่ต้องเผชิญ
ครูผู้หญิงกำลังขับรถจากบ้า นไปโรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภ อสุคิริน จังหวัดนราธิวาส ท่ามกลางการคุ้มกันของทหารใ นพื้นที่ ภายใต้สถานการณ์ความรุนแรงท ี่มักพุ่งเป้าไปยังบุคลากรท างการศึกษา
ภาพถ่าย วินัย ดิษฐจร
ติดตามชมสารคดีพิเศษไฟใต้ ได้ในฉบับเดือนพฤษภาคม 2556
เรื่องโดย ชัยรัตน์ จิโรจน์มนตรี นักสื่อสารอิสระ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเครือ ข่ายช่างภาพแดนใต้ เคยทำงานกับศูนย์ข่าวอิศราใ นช่วงแรกๆของสถานการณ์ไฟใต้ ปัจจุบันทำงานสื่อสารสาธารณ ะ ประเด็นชายขอบของคนเล็กคนน้ อยในพื้นที่ต่างๆ
ครูผู้หญิงกำลังขับรถจากบ้า
ภาพถ่าย วินัย ดิษฐจร
ติดตามชมสารคดีพิเศษไฟใต้ ได้ในฉบับเดือนพฤษภาคม 2556
เรื่องโดย ชัยรัตน์ จิโรจน์มนตรี นักสื่อสารอิสระ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเครือ
.............................................................................................................
» เวลางานต้อง “สุดตัว” เวลาส่วนตัวก็ “สุดใจ”
`การทุ่มเวลาให้กับงาน จนลืมความสำคัญกับตัวเอง ไม่ใช่ชีวิตที่ถูกต้อง เพราะเวลาที่เราเจ็บป่วย ก็จะมีแต่คนที่รักเราเท่านั ้นคอยดูแล´
ผมเป็นนักสะสมครับ แต่ไม่ได้เป็นของมีค่าอะไร เฉลยเลยว่าเป็น “Mail” ที่ได้ forward กันต่อๆ มา ซึ่งยอมรับว่าวันนี้มีไม่ต่ ำกว่าหลักห้าร้อยแล้ว และแต่ละเรื่องก็ดีๆ เก็บไว้ใน Folder ส่วนตัว
ว่างเป็นเมื่อไหร่ ก็หยิบมาอ่าน หลายๆ อันสอนคติการใช้ชีวิต ให้มองมุมใหม่ บางอันเตือนเราซ้ำแล้วซ้ำเล ่า ราวกับเป็นเด็กที่อ่านแล้ว ไม่รู้จักจำ ไม่เอาไปใช้สักที
ล่าสุด ผมสบโอกาสกลับไปอ่านบทสัมภา ษณ์ของ “ดร.อภิวัฒน์” หรือชื่อใหม่ “ดร.วรฑา” ที่ลงในคมชัดลึกฉบับเดือนกั นยายน ปี 48 อีกครั้ง อ่านจบปุ๊บ ก็ถึงกับตาสว่าง อดเอามาเล่าต่อไม่ได้ เป็นคติเตือนใจมากๆ
เลยกราบขออนุญาตครอบครัว “วัฒนะชยังกูล” มาด้วยความเคารพ โดยการยกเอาบางประโยคมานะคร ับ
“การทุ่มเวลาให้กับงาน จนลืมความสำคัญกับตัวเอง ไม่ใช่ชีวิตที่ถูกต้อง เพราะเวลาที่เราเจ็บป่วย ก็จะมีแต่คนที่รักเราเท่านั ้นคอยดูแล หากเหตุผลของการทำงานหนักคื อเพื่อเลี้ยงดูลูกเมีย ในที่สุดแล้ว ผลที่เกิดขึ้นก็จะมีแต่ลูกเ มียเท่านั้นที่ได้รับความทุ กข์นี้”
◌◌◌◌◌◌◌◌
คำสัมภาษณ์ข้างบน ทำให้ผมนึกถึงอีกประโยคที่ม ีคนเสียดสีไว้อย่างเจ็บปวด “ต่อให้เราทำงานหนักแค่ไหน ถ้าตายในหน้าที่ สุดท้ายบริษัทก็ให้ได้แค่พว งหรีด และเงินใส่ซองทำบุญ”
ใจหนึ่งผมไม่เห็นด้วย เพราะไม่คิดว่าเราต้องมองโล กในแง่ลบขนาดนี้ และบริษัทก็ไม่ได้ใจร้ายเสม อไป แต่อีกใจหนึ่ง เมื่อมองโลกตามความเป็นจริง ก็เริ่มเข้าใจ
คนที่พูดประโยคนี้คนแรก คงไม่มีอะไรไปกว่า ต้องการเตือนสติให้มนุษย์เง ินเดือนทั้งหลายเข้าใจสัจธร รมของโลก และสร้างสมดุลชีวิตให้มากที ่สุด
เพราะชีวิตไม่ได้มีเพียงด้า นเดียว การใช้ชีวิตเพื่องานอย่างสุ ดโต่ง จนหลงลืมสิ่งรอบตัวอื่นๆ สุดท้ายอาจไม่เหลือชีวิตให้ ใช้ก็ได้
ผมเองตอนเด็กก็เคยเชื่อผิดๆ ว่าบริษัทขาดคนอย่างเราไม่ไ ด้ ขนาดมีวันพักร้อนก็ไม่ค่อยใ ช้ เจ็บป่วยยังไม่อยากลา จนเมื่อโตขึ้น จึงได้รู้ว่าเป็นการสำคัญตั วผิดเอามากๆ
และบริษัทเอง ก็ไม่ยินดีถ้าชีวิตนี้เราจะ สะกดแต่คำว่า “งาน” อย่างเดียว
◌◌◌◌◌◌◌◌
เรื่องเดียวกันนี้ ผมเคยนั่งคุยกับเพื่อนบนโต๊ ะอาหาร หลายคนถึงกับเล่าทั้งน้ำตาใ ห้เป็นอุทาหรณ์ ตัวเองทุ่มเทกับงานสุดๆ บ้านช่องไม่กลับ จนลืมพ่อ ลืมบทบาทหน้าที่ของลูกที่ติ ดตัวมาตั้งแต่เกิด
วันที่ท่านล้มป่วย ต้องรักษาตัวและจากไปอย่างไ ม่มีวันกลับ ถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมา เดินเกมผิดพลาดมาตลอด ไม่สามารถย้อนนาฬิกาชีวิตกล ับไปแก้อะไรได้แล้ว สิ่งที่เหลือก็เป็นเพียงควา มทรงจำไว้เตือนใจ ไม่ให้ย้ำรอยประวัติศาสตร์เ ดิมๆ
แต่อย่าเข้าใจผิดว่า ผมกำลังบอกให้เอาเปรียบองค์ กร เพราะผมไม่ได้มีใจเยี่ยงนั้ น การทำงานก็ต้องเต็มที่ ทำด้วยใจรัก และสุดกำลังความสามารถ โดยคิดเสมือนว่าเป็นธุรกิจข องตัวเอง
แต่อีกนั่นแหละ ชีวิตจริงไม่ได้มีแค่งานเท่ านั้น สมการของงานเท่ากับเงิน แต่ก็เป็นเพียงเพื่อการหาเส บียงไว้เลี้ยงตัว ลำพังงานกับเงิน ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
บริบทของชีวิตยังมีพ่อ มีแม่ มีลูก มีเพื่อน มีคนรัก ที่สำคัญมี “ตัวเอง” ที่ทั้งหมดทั้งมวลต้องอาศัย “ใจ” ในการดูแลไม่แพ้กับ “งาน”
◌◌◌◌◌◌◌◌
ลูกน้องผมคนหนึ่ง กำลังมีลูกวัยน่ารัก พูดไว้น่าคิด...
"พอกลับบ้านทีไร ลูกหลับแล้วทุกที เวลาที่มีให้เขาหายไปทุกวัน ๆ เอาอะไรมาชดเชยก็ไม่ได้ ไม่เหมือนกับงาน ต่อให้เรากลับเร็ว พรุ่งนี้มาก็ต้องเจออยู่ดี มันไม่หนีไปไหนหรอก"
ผมเห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์… ถึงเราทอดทิ้งงานแค่ไหน กลไกขององค์กร การควบคุมจากนายจ้าง การประเมินผล ก็ผลักดันให้เรากลับมาสนใจอ ยู่วันยังค่ำ
แต่ครอบครัวไม่ใช่ ถ้าล้มเหลว แตกแยก ขาดการเอาใจใส่ บางครั้งบางทีก็เอาคืนมาลำบ าก หรือกลับมาแล้ว ความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิม ไม่ต่างกับแก้วที่ร้าว หรือกระจกที่เริ่มมีรอย
คิดจะซ่อมน่ะหรือ? ยังไง ความสวยก็กลับมาไม่ถึงครึ่ง ของๆ เดิมที่เคยมีหรอก
หรือเพราะลึกๆ เราคิดว่าพ่อ แม่ คนในครอบครัว คือของตายที่ไม่มีวันทิ้งเร า
ลองกลับไปทบทวนดีๆ ถ้าใครคิดแบบนี้จริงๆ ผมว่าน่าน้อยใจแทนพวกเขานะค รับ
◌◌◌◌◌◌◌◌
สำหรับคนที่เป็นเจ้าคนนายคน อยากย้ำว่าการให้ Reward กับพนักงาน บางครั้งอาจไม่สำคัญเท่ากับ การให้ “ใจ” ที่คนรับรู้สึกและสัมผัสได้
ตกเย็น ผมอยากเห็นภาพที่เจ้านายตบไ หล่ลูกน้อง พร้อมกับย้ำให้กลับบ้านกลับ ช่อง ไปดูแลคนที่รัก หรือไปใช้ชีวิตส่วนตัวอย่าง อื่น ไม่ใช่จมอยู่กับงานแต่อย่าง เดียว
ที่สำคัญเมื่อกลับบ้าน ก็ต้องถึงบ้านแบบจริงๆ ไม่ต้องเอางานหรือความเครีย ดผูกติดหลังไปด้วย ความสุขที่บ้าน คือการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อ มตา ทำกิจกรรมร่วมกัน
ไม่ใช่กลับมา แต่ก็เลือกที่จะนั่งหน้าเคร ียดอยู่บน laptop ทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ให้ลูกๆ หรือคนในครอบครัวนั่งมองตาป ริบๆ
◌◌◌◌◌◌◌◌
ผมสนุกและคิดต่อว่า หลักสูตร Training ขององค์กรทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ เน้นไปทางความรู้ ทักษะที่มุ่งหวังให้พนักงาน เอากลับมาทุ่มเทพัฒนาบริษัท แต่ละเลยคอร์สที่สอนการใช้ช ีวิต ความรัก ความสุขต่อปัจจัยแวดล้อมอื่ นๆ
ทั้งที่เวลา 24 ชั่วโมงต่อวัน งาน represent เพียงแค่หนึ่งในสามเท่านั้น !
การได้สอนให้พนักงานใช้ชีวิ ตให้เป็น ในมุมกลับจะเป็นผลดีต่อองค์ กรด้วยซ้ำ งานวิจัยก็เคยมีให้เห็นแล้ว คนที่มีปัญหาส่วนตัว หรือปัญหาครอบครัว จะลงเองด้วยความเครียด และทำงานไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ชีวิตไม่ใช่ละคร คนเขียนบท ผู้กำกับ คนเล่นก็คือตัวเอง โดยแวดล้อมและบริบท มีตัวแสดงหลากหลาย งาน ก็คือชีวิต ครอบครัวก็คือชีวิต ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ การสร้างสมดุลให้เกิดจึงเป็ นเรื่องสำคัญ และท้าทายมนุษย์เงินเดือนมา กๆ
คติง่ายๆ ทิ้งท้ายไว้ครับ เวลางานต้อง “สุดตัว” เวลาส่วนตัวก็ “สุดใจ” ไปเลยครับ
◌◌◌◌◌◌◌◌
Credit : ชัยพล กฤตยาวาณิชย์
`การทุ่มเวลาให้กับงาน จนลืมความสำคัญกับตัวเอง ไม่ใช่ชีวิตที่ถูกต้อง เพราะเวลาที่เราเจ็บป่วย ก็จะมีแต่คนที่รักเราเท่านั
ผมเป็นนักสะสมครับ แต่ไม่ได้เป็นของมีค่าอะไร เฉลยเลยว่าเป็น “Mail” ที่ได้ forward กันต่อๆ มา ซึ่งยอมรับว่าวันนี้มีไม่ต่
ว่างเป็นเมื่อไหร่ ก็หยิบมาอ่าน หลายๆ อันสอนคติการใช้ชีวิต ให้มองมุมใหม่ บางอันเตือนเราซ้ำแล้วซ้ำเล
ล่าสุด ผมสบโอกาสกลับไปอ่านบทสัมภา
เลยกราบขออนุญาตครอบครัว “วัฒนะชยังกูล” มาด้วยความเคารพ โดยการยกเอาบางประโยคมานะคร
“การทุ่มเวลาให้กับงาน จนลืมความสำคัญกับตัวเอง ไม่ใช่ชีวิตที่ถูกต้อง เพราะเวลาที่เราเจ็บป่วย ก็จะมีแต่คนที่รักเราเท่านั
◌◌◌◌◌◌◌◌
คำสัมภาษณ์ข้างบน ทำให้ผมนึกถึงอีกประโยคที่ม
ใจหนึ่งผมไม่เห็นด้วย เพราะไม่คิดว่าเราต้องมองโล
คนที่พูดประโยคนี้คนแรก คงไม่มีอะไรไปกว่า ต้องการเตือนสติให้มนุษย์เง
เพราะชีวิตไม่ได้มีเพียงด้า
ผมเองตอนเด็กก็เคยเชื่อผิดๆ
และบริษัทเอง ก็ไม่ยินดีถ้าชีวิตนี้เราจะ
◌◌◌◌◌◌◌◌
เรื่องเดียวกันนี้ ผมเคยนั่งคุยกับเพื่อนบนโต๊
วันที่ท่านล้มป่วย ต้องรักษาตัวและจากไปอย่างไ
แต่อย่าเข้าใจผิดว่า ผมกำลังบอกให้เอาเปรียบองค์
แต่อีกนั่นแหละ ชีวิตจริงไม่ได้มีแค่งานเท่
บริบทของชีวิตยังมีพ่อ มีแม่ มีลูก มีเพื่อน มีคนรัก ที่สำคัญมี “ตัวเอง” ที่ทั้งหมดทั้งมวลต้องอาศัย
◌◌◌◌◌◌◌◌
ลูกน้องผมคนหนึ่ง กำลังมีลูกวัยน่ารัก พูดไว้น่าคิด...
"พอกลับบ้านทีไร ลูกหลับแล้วทุกที เวลาที่มีให้เขาหายไปทุกวัน
ผมเห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์…
แต่ครอบครัวไม่ใช่ ถ้าล้มเหลว แตกแยก ขาดการเอาใจใส่ บางครั้งบางทีก็เอาคืนมาลำบ
คิดจะซ่อมน่ะหรือ? ยังไง ความสวยก็กลับมาไม่ถึงครึ่ง
หรือเพราะลึกๆ เราคิดว่าพ่อ แม่ คนในครอบครัว คือของตายที่ไม่มีวันทิ้งเร
ลองกลับไปทบทวนดีๆ ถ้าใครคิดแบบนี้จริงๆ ผมว่าน่าน้อยใจแทนพวกเขานะค
◌◌◌◌◌◌◌◌
สำหรับคนที่เป็นเจ้าคนนายคน
ตกเย็น ผมอยากเห็นภาพที่เจ้านายตบไ
ที่สำคัญเมื่อกลับบ้าน ก็ต้องถึงบ้านแบบจริงๆ ไม่ต้องเอางานหรือความเครีย
ไม่ใช่กลับมา แต่ก็เลือกที่จะนั่งหน้าเคร
◌◌◌◌◌◌◌◌
ผมสนุกและคิดต่อว่า หลักสูตร Training ขององค์กรทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ เน้นไปทางความรู้ ทักษะที่มุ่งหวังให้พนักงาน
ทั้งที่เวลา 24 ชั่วโมงต่อวัน งาน represent เพียงแค่หนึ่งในสามเท่านั้น
การได้สอนให้พนักงานใช้ชีวิ
ชีวิตไม่ใช่ละคร คนเขียนบท ผู้กำกับ คนเล่นก็คือตัวเอง โดยแวดล้อมและบริบท มีตัวแสดงหลากหลาย งาน ก็คือชีวิต ครอบครัวก็คือชีวิต ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
คติง่ายๆ ทิ้งท้ายไว้ครับ เวลางานต้อง “สุดตัว” เวลาส่วนตัวก็ “สุดใจ” ไปเลยครับ
◌◌◌◌◌◌◌◌
Credit : ชัยพล กฤตยาวาณิชย์
......................................................................................................
...............................................................................................................
ฉบับเดือนพฤษภาคม 2556
วินัย ดิษฐจร เป็นช่างภาพอิสระผู้ถ่ายทอด
“ให้ตายขณะทำสิ่งที่รักและม
คำคมจากช่างภาพหัวใจแกร่งท่
.....................................................................................................
"โซลาร์เซลล์" แบบใหม่
เซลล์แสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ หรือเซลล์ โฟโตโวลตาอิก (Photovoltaic cell) เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำซึ่ งทำหน้าที่แปลงพลังงานแสงหร ือโฟตอนเป็นพลังงานไฟฟ้า
ซึ่งที่ผ่านมา โซลาร์เซลล์ เป็นหนึ่งในรูปแบบของการผลิ ตพลังงานสะอาดที่นิยมใช้กัน อย่างแพร่หลายทั่วโลก ถึงแม้จะมีราคาค่อนข้างสูงก ็ตาม
และโซลาร์เซลล์สมัยใหม่นั้น สามารถที่จะเพ่งไปที่การเก็ บพลัง งานให้ได้จำนวนมากๆ อย่างเดียวได้ แต่นั่นก็จะนำมาซึ่งความไม่ ปลอดภัย และอาจกลายเป็นการสร้างความ เสียหายให้กับตัวมันเอง
ล่าสุด บริษัทไอบีเอ็ม จึงผุดโครงการพัฒนาแผงโซลาร ์เซลล์ตัวใหม่ ที่จะสามารถแก้ปัญหาความเสี ยหายจากการเก็บพลังงานมากๆ ดังที่เป็นอยู่ได้ ถือว่าเป็นก้าวในการพัฒนาเท คโนโลยีพลังงานจากแสงอาทิตย ์ครั้งใหญ่อีกก้าวหนึ่งเลยท ีเดียว
โดยเทคโนโลยีที่ว่านี้ จะไปช่วยลดอุณหภูมิความร้อน ของชิพโฟโตโวลตาอิก ที่ทำหน้าที่คอยเก็บ พลังงานตรงกลางแผงโซลาร์เซล ล์ โดยอาศัยเทคนิคการให้ความเย ็นแบบใหม่ที่เรียกว่า "microchannel water cooling" ซึ่งจะทำให้ชิพแต่ละตัวบนแผ งโซลาร์เซลล์นั้น สามารถที่จะเก็บพลังงานได้น านกว่าเดิม 2,000 เท่า
สำหรับแผงโซลาร์เซลล์ตัวต้น แบบ สามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าได้ 25 กิโลวัตต์ และน้ำร้อนที่ได้จากกระบวนก ารยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ในลักษณะอื่นได้อีกมากมาย
สุดท้ายคือทางไอบีเอ็มระบุด ้วยว่า ราคาของมันจะถูกกว่าโซลาร์เ ซลล์แบบเก่าๆ ซึ่งจะช่วยทำให้มันแพร่หลาย ในวงกว้างทั่วโลกนั่นเอง
คอลัมน์ หมุนก่อนโลก/ข่าวสดออนไลน์
ปอลนาโช่ khaosod.sci@gmail.com
เซลล์แสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ หรือเซลล์ โฟโตโวลตาอิก (Photovoltaic cell) เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำซึ่
ซึ่งที่ผ่านมา โซลาร์เซลล์ เป็นหนึ่งในรูปแบบของการผลิ
และโซลาร์เซลล์สมัยใหม่นั้น
ล่าสุด บริษัทไอบีเอ็ม จึงผุดโครงการพัฒนาแผงโซลาร
โดยเทคโนโลยีที่ว่านี้ จะไปช่วยลดอุณหภูมิความร้อน
สำหรับแผงโซลาร์เซลล์ตัวต้น
สุดท้ายคือทางไอบีเอ็มระบุด
คอลัมน์ หมุนก่อนโลก/ข่าวสดออนไลน์
ปอลนาโช่ khaosod.sci@gmail.com
..................................................................................................
........................................................................................................
..........................................................................................................
ขอร่วมไว้อาลัย ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
ในวันที่ท่านถึงแก่อสัญกรรม (2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526)
ท่านเป็นรัฐบุรุษอาวุโสที่ผมชื่นชมและเคารพมาก
ท่านเป็นผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย
ท่านเป็นผู้ก่อตั้งและผู้ประศาสน์การเพียงคนเดียวของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ท่านเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารชาติไทย (ปัจจุบัน คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย)
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นผู้แพ้สงคราม
ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ 8 และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะ "รัฐบุรุษอาวุโส"
ในปี พ.ศ. 2542 ที่ประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 30 ขององค์การยูเนสโก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้มีมติประกาศให้ ปรีดี พนมยงค์ เป็น "บุคคลสำคัญของโลก" และได้ร่วมเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาลของเขา ระหว่าง พ.ศ. 2543 - พ.ศ. 2544
ในโอกาสนี้และบรรยากาศการเมืองในเวลานี้
ผมขอนำบทความของท่านมาไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
................................................................................
จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน ๑๔ ตุลาคม
โดย...ปรีดี พนมยงค์
ด้วยคณะกรรมการจัดงานสังสรรค์ชาวธรรมศาสตร์ในสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ประจำปี ๒๕๑๖ ปรารถนาได้บทความหรือคำขวัญของข้าพเจ้าไปลงพิมพ์ในหนังสือที่ระลึกซึ่งจะจัดทำขึ้น ข้าพเจ้ายินดีสนองศรัทธาโดยให้คำขวัญว่า
“จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน ๑๔ ตุลาคม”
ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงบทความเป็นอรรถาธิบายพอสังเขปประกอบคำขวัญนั้น ดังต่อไปนี้
๑. วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นวันสำคัญวันหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ของชาติไทย คือเป็นวันชัยชนะก้าวแรกของเยาวชนหญิงชายไทย ภายใต้การนำของนิสิตนักศึกษานักเรียนแห่งสถานศึกษามากหลาย ซึ่งได้รับการสนับสนุนและร่วมมือจากราษฎรไทยทุกชนชาติ และทุกชนชั้นวรรณะที่รักชาติจำนวนหลายล้านคน ผนึกกันเป็นขบวนการเรียกร้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยสมบูรณ์ให้แก่ปวงชนชาวไทย ฝ่ายครองอำนาจรัฐสั่งทหารและตำรวจเฉพาะส่วนที่ยอมเป็นเครื่องมือของพวกเขา ใช้อาวุธทันสมัยเข้าปราบปรามขบวนการนั้น ซึ่งมีแต่มือเปล่าหรือบางคนมีเพียงแต่ไม้พลองเพื่อป้องกันตัว แต่ขบวนการนั้นมิได้หวาดหวั่น โดยยืนหยัดมั่นคงยอมพลีชีพกับสละความสุขความสำราญส่วนตัว เพื่อชาติและมวลราษฎร ซึ่งเป็นที่เคารพรักยอดยิ่งที่สุด วีรชนเป็นจำนวนมากต้องถูกฆ่าตายและได้รับบาดเจ็บและสาบสูญไป ส่วนผู้ที่ยังคงมีชีวิตอยู่โดยมิได้รับบาดเจ็บทางกาย ก็ได้รับความเหน็ดเหนื่อยทางกายและทางสมองอย่างหนัก ผลแห่งความเสียสละแห่งวีรชนทั้งหลายในการต่อสู้โดยชอบธรรมได้บรรลุชัยชนะก้าวแรก คือรัฐบาลซึ่งมีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีและจอมพลประภาส จารุเสถียร เป็นรองนายกรัฐมนตรีต้องลาออกพร้อมทั้งตำแหน่งผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ครั้นแล้วได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้แถลงยืนยันจะจัดการให้มีรัฐธรรมนูญประชาธิไตยและมีการเลือกตั้งภายใน ๖ เดือน
ข้าพเจ้าขอร่วมมือกับมวลราษฎรไทยที่รักชาติแสดงความสักการะและสุดดีวีรชนทั้งปวงนั้น พระพุทธองค์ทรงเทศนาสั่งสอนไว้มีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า สาธุชนพึงบำเพ็ญตนด้วยกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการะคุณ ชาวไทยที่เป็นคริสต์ศาสนิกชนและอิสลามิกชน ก็บำเพ็ญตนปฏิบัติตามทำนองคลองธรรมเช่นเดียวกับของพระศาสดา ดังนั้นจึงเป็นการสมควรแล้วที่เราชาวไทยที่รักชาติจำนวนมากมายแสดงกตัญญูรู้อุปการคุณของวีรชนโดยทางกาย วาจา ใน และการบำเพ็ญกุศลทักษิณานุประทาน ตลอดทั้งร่วมมือกันในการสร้างอนุสาวรีย์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่วีรชนทั้งหลายนั้น
พระพุทธองค์ตรัสไว้อีกว่ากตัญญูจะต้องควบคู่ไปกับกตเวที ฉะนั้นการพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน ๑๔ ตุลาคม ให้มั่นคงไว้และพัฒนายิ่งขึ้นนั้น จึงเป็นกตเวทีสำคัญยิ่งที่สาธุชนผู้รักชาติพึงปฏิบัติ
๒. สาธุชนที่รักชาติโดยยกชาติเหนือประโยชน์ส่วนตัวก็ย่อมใช้ทรรศนะจากจุดยืนหยัดในมวลราษฎรวินิจฉัยเจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน ๑๔ ตุลาคม ได้ เพราะวีรชนทั้งหลายนั้นมิใช่มีแต่บุคคลที่มีเหล่ากำเนิดหรือมีฐานะแห่งชนชั้นวรรณะหนึ่งใดโดยเฉพาะ หากวีรชนเหล่านั้นมีเหล่ากำเนิดและมีฐานะทางเศรษฐกิจและทางการเมืองชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งคนจน กรรมกร ลูกจ้าง ชาวนา ข้าราชการชั้นผู้น้อย และนายทุนรักชาติที่ยกชาติเหนือประโยชน์ส่วนตัวและทุกชนชาติไทย (National monorities) ที่มีสัญชาติไทย ดังนั้น เจตนารมณ์ของวีรชนทั้งหลายนี้ต้องการรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยสมบูรณ์ทั้งในทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางทรรศนะอันเป็นคติธรรมใช้เป็นหลักนำในการปฏิบัติเพื่อความไพบูลย์ของทุกชนชั้นวรรณะและทุกชนชาติที่รักชาติ
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ตั้งแต่ยุคปฐมกาลเป็นต้นมา แสดงให้เห็นตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในหลายบทความ และหลายปาฐกถาแล้วว่า เศรษฐกิจเป็นรากฐานสำคัญแห่งมนุษยสังคม ส่วนระบบการเมืองเป็นแต่เพียงโครงร่างเบื้องบนที่จะต้องสมานกับความต้องการทางเศรษฐกิจของมวลมนุษย์ในสังคม ถ้าหากรัฐธรรมนูญอันเป็นแม่บทแห่งกฎหมายสอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจนั้น วิกฤตการณ์ทางสังคมก็ไม่เกิดขึ้นและประเทศชาติก็ดำเนินก้าวหน้าไปตามวิถีทางวิวัฒน์ (Evolution) อย่างสันติ ถ้าหากรัฐธรรมนูญไม่สอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจของสังคม วิกฤตการณ์ก็ต้องเกิดขึ้นตามกฎธรรมชาติแห่งข้อขัดแย้งระหว่างสองสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์กัน ถ้าสาธุชนที่รักชาติพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วก็จะเห็นได้ว่ามูลเหตุที่วีรชนได้พลีชีพและสละความสุขสำราญส่วนตัวเรียกร้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้นก็สืบมาจากมวลราษฎรไทยได้รับความอัตคัดขัดสนอย่างแสนสาหัส แต่ระบบการเมืองที่ไม่มีรัฐธรรมนูญหรือมีเพียงแต่ชื่อว่ารัฐธรรมนูญนั้น ขัดแย้งกับความต้องการทางเศรษฐกิจของมวลราษฎร วีรชนจึงได้พลีชีพและสละความสำราญส่วนตนเพื่อปรารถนาให้ชาติไทยมีระบบการเมืองโดยระบอบรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยสมบูรณ์ ที่สมานกับความต้องการทางเศรษฐกิจของมวลราษฎรและเพื่อให้ทุกชนชาติร่วมกันเป็นเอกภพแห่งประเทศไทย
สาธุชนที่รักชาติย่อมมีความสลดใจที่เห็นว่า กลิ่นคาวโลหิตของวีรชนยังไม่ทันหมดไปก็มีบุคคลแห่งบางพรรคพยายามช่วงชิงชัยชนะก้าวแรกของวีรชนไป เพื่อประโยชน์ของพรรคพวกเขาโดยเฉพาะ อาทิ การถือเอารัฐธรรมนูญที่พวกเขาทำขึ้นเป็นแบบฉบับในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แทนวิธีการร่างที่จะตั้งต้นจากเจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชนทุกชนชั้นวรรณะและทุกชนชาติที่มีสัญชาติไทยเป็นแม่บท สภาพการณ์เช่นนี้ย่อมอำนวยให้ฝ่ายที่ต้องการพิทักษ์เจตนารมณ์นั้นของวีรชนต้องหาทางต่อสู้ขนาดเบาหรือขนาดรุนแรง สุดแท้แต่วิธีการของแต่ละองค์การที่เป็นฝ่ายนำของแต่ละชนชั้นวรรณะ และแต่ละชนชาติ ฝ่ายที่ใช้วิธีรุนแรงอยู่แล้วก็จะสามารถระดมมวลราษฎรโดยอ้างสภาพการณ์เช่นว่านั้นเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าวิธีร่างรัฐธรรมนูญแบบนั้นนำไปสู่ประโยชน์ของอภิสิทธิ์ชนเท่านั้น ซึ่งมวลราษฎรไม่อาจอาศัยระบบรัฐธรรมนูญที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยสมบูรณ์แก้ความทุกข์ยากของมวลราษฎรถ้วนหน้าได้ ฉะนั้นเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง ข้าพเจ้าจึงขอร้องให้รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ละเว้นวิธีร่างที่ตั้งอคติเอารัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของอภิสิทธิ์ชนเป็นแบบฉบับนั้นแล้วตั้งทรรศนะตามเจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน ๑๔ ตุลาคม
*หมายเหตุ* คัดลอกเฉพาะตอนที่ ๑ และตอนที่ ๒ จากบทความ “จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน ๑๔ ตุลาคม” จากหนังสือ “แนวความคิดประชาธิปไตยสมบูรณ์ของปรีดี พนมยงค์” จัดพิมพ์โดยมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ และโครงการ ๖๐ ปี ประชาธิปไตย
บรรณาธิการ วาณี พนมยงค์ สายประดิษฐ์ บรรณาธิการฝ่ายวิชาการ วิษณุ วรัญญู พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๓๕
...........................................................................
ข้อมูลจาก สถาบันปรีดี พนมยงค์ และ วิกิพีเดีย
จักรพงษ์ จำรูญ พ่อสร้างชาติ ด้วยสมอง และสองแขน
พ่อสร้างแคว้น ธรรมศาสตร์ ประกาศศรี
พ่อของข้าฯ นามระบือ ชื่อปรีดี
แต่คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ
พ่อสร้างแคว้น ธรรมศาสตร์ ประกาศศรี
พ่อของข้าฯ นามระบือ ชื่อปรีดี
แต่คนดี เมืองไทย ไม่ต้องการ
..............................................................................................................
....................................................................................................................
.........................................................................................................
.................................................................................................................
เมื่อความจริงเริ่มปรากฎ "แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา 2551 เป็นแถลงการณ์ที่ค้ำประกันส
..............................................................................................................
คนไทยหรือเปล่าาาาาาา
............................................................................................................
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อในวันหน
..............................................................................................................
.............................................................................................................
'แนวเทือกเขาหินทราย ทอดตัวตามแนวทิศตะวันตก-ตะว ันออก มีลักษณะเป็นสันเขาตัดเรียบ เหยียดยาวสุดลูกหูลูกตา ภาษาท้องถิ่นที่ผู้คนอยู่อา ศัยแถบนั้นเรียกตลอดแนวว่า พนมดงเร็ก ซึ่งเป็นภาษาเขมร แปลว่า ภูเขาไม้คาน ต่อมา ทางราชการเรียกตามภาษาไทยด้ วยความไม่เข้าใจว่า พนมดงรัก
ภูมิศาสตร์ของพนมดงเร็กคือก ารยกตัวของแผ่นดินกลายเป็นเ ขตแดนตามธรรมชาติ และกลายเป็นสันปันนั้นลงสู่ พื้นที่สองฝั่งเขา ได้แก่ทางทิศเหนือคือแผ่นดิ น เขมรสูง หรือภาคอีสานตอนล่างของไทย ที่เรียกว่าเขมรสูงเพราะแผ่ นดินที่ยกตัวขึ้นเป็นที่ราบ สูงมีลำน้ำมูลเป็นหลัก ส่วนทางทิศใต้ คือ เขมรต่ำ เป็นพื้นที่ราบลุ่มไปจรดทะเ ลสาบในประเทศกัมพูชา
แนวเขาพนมดงเร็กไม่ได้มีแต่ ภูเขาสูงตลอดทั้งหมด แต่ภูมิประเทศจะสลับไปด้วยท ี่สูงต่ำ บางแห่งเป็นช่องเขาขาดหรือส ันเตี้ยๆพอเห็นได้ว่ามีการเ ปลี่ยนแปลงทางภูมิประเทศจาก ที่ราบเป็นภูเขาก็ต่อเมื่ออ ยู่บริเวณปลายสุดของแนวผาชั นแล้ว
ภูมิประเทศเช่นนี้เอง มีบทบาทต่อมนุษย์ที่อยู่อาศ ัยในแถบนี้มาแล้วไม่น้อยกว่ าพันปี เพราะได้พบหลักฐานของชุมชนโ บราณซึ่งมีศาสนสถานเป็นปราส าทต่างๆในวัฒนธรรมเขมรกระจุ กตัวกันอยู่ตามแนวช่องเขาที ่เป็นจุดผ่านทางภูมิประเทศส ำคัญของผู้คนในสองพื้นที่ คือเขมรสูงและเขมรต่ำ
เหตุที่ผู้คนต้องเดินทางติด ต่อกันก็เพราะว่าทรัพยากรใน พื้นที่ทั้งสองมีไม่เหมือนก ัน จึงเกิดการแลกเปลี่ยนค้าขาย ขึ้น
ดินแดนอีสานใต้ลุ่มน้ำมูล อุดมสมบูรณ์ไปด้วยเกลือ(สิน เธาว์) โลหะ (เหล็ก)
ในขณะที่ที่ราบลุ่มทะเลสาบเ ขมร เต็มไปด้วยปลาและข้าวซึ่งปล ูกกันได้มากกว่าปีละหน
บริเวณที่เป็นช่องเขาซึ่งมี จำนวนมากกมายระหว่างเทือกพน มดงเร็กจึงกลายเป็นจุดนัดพบ และแลกเปลี่ยนสินค้าจากแดนไ กลของสองพื้นที่ นอกเหนือจากนี้ก็เป็นจุดยุท ธศาสตร์ในการทำสงครามเมื่อเ กิดความขัดแย้งมาแต่สมัยโบร าณ
ช่องเขาที่รู้จักกันดีของพน มดงเร็ก ได้แก่ ช่องตะโก ช่องสระแจง ช่องโอบก ช่องตาเมือน ช่องจอม ช่องพริก ฯลฯ แล้วยังมีช่องทางรองที่ผู้ค นพื้นถิ่นใช้สัญจรอยู่ทุกเม ื่อเชื่อวัน เช่น ช่องบันไดหักตรงปราสาทพระวิ หาร
จะเห็นได้ว่าลักษณะทางภูมิศ าสตร์ของพนมดงเร็กที่เป็นแน วเทือกเขาแสดงเขตแดนทางธรรม ชาตินั้นมีบทบาทต่อผู้คนมาแ ต่อดีต คือเป็นจุดหมายตาการเปลี่ยน แปลงภูมิประเทศซึ่งบังคับให ้ต้องข้ามผ่านโดยใช้ช่องเขา ในการแลกเปลี่ยนทรัพยากรของ จากดินแดนต่างๆ และกิจกรรมดังกล่าวยังคงมีช ีวิตชีวาอยู่จนถึงปัจจุบันท ี่ด่านชายแดนทุกๆแห่งบนแนวพ นมดงเร็ก'
ภูมิศาสตร์ของพนมดงเร็กคือก
แนวเขาพนมดงเร็กไม่ได้มีแต่
ภูมิประเทศเช่นนี้เอง มีบทบาทต่อมนุษย์ที่อยู่อาศ
เหตุที่ผู้คนต้องเดินทางติด
ดินแดนอีสานใต้ลุ่มน้ำมูล อุดมสมบูรณ์ไปด้วยเกลือ(สิน
ในขณะที่ที่ราบลุ่มทะเลสาบเ
บริเวณที่เป็นช่องเขาซึ่งมี
ช่องเขาที่รู้จักกันดีของพน
จะเห็นได้ว่าลักษณะทางภูมิศ
........................................................................................................
กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติรายงา นปริมาณการผลิตปิโตรเ่ลียมใ นประเทศไทยตรงตามความเป็นจร ิงหรือไม่?
มีสมาชิกท่านหนึ่งตั้งข้อสั งเกตมาว่า ทำไมกรมเชื้อเพลิงฯไม่รายงา นตัวเลขการผลิตปิโตรเลียมขอ งแหล่งบัวบานซึ่งอยู่ในแอ่ง (Basin)สงขลา แสดงว่ากรมปกปิดบิดเบือนข้อ มูลใช่หรือไม่?
แอดมินจึงไปค้นมา ตอบได้เต็มปากว่า "ไม่ใช่ครับ"
แหล่งบัวบานเป็นแหล่งปิโตรเ ลียมที่อยู่ในพื้นที่หลักขอ งแหล่งสงขลา มีผู้ได้รับสัมปทานคือบ.ซีอ ีซี อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นบ.ลูกของ Coastal Energy ซึ่งเป็นบ.พลังงานข้ามชาติ ในเว็บของบริษัท http:// www.coastalenergy.com/ operations/ offshore-thailand.html ได้ระบุไว้ชัดเจนว่ามีแหล่ง ผลิตสำคัญในทะเลไทยคือแหล่ง สงขลาและบัวบาน พอไปอ่านรายงานประจำปีของบร ิษัท http:// www.coastalenergy.com/ fileadmin/user_upload/pdf/ financial_stmt/ 2012_Annual_Report_01.pdf พบว่ารายงานตัวเลขการผลิตใน ปี 2012 ทั้งปีอยู่ที่ 19,738 BOE/ D (บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวั น) นี่คือตัวเลขของแหล่งสงขลาแ ละบัวบานรวมกัน (ดูในหน้า 6)
จากนั้นก็ต้องไปดูตัวเลขจาก เว็บของกรมเชื้อเพลิงฯ ในส่วนปริมาณการผลิตปี 55 ของแหล่งสงขลา http://www.dmf.go.th/ index.php?act=service&sec=p rodReport&year=2012 แต่เนื่องจากกรมฯยังไม่ได้ส รุปรายงานของปี 55 ออกมา เราจึงต้องเปิดข้อมูลทีละเด ือนแล้วนำมาบวกเพื่อหารเฉลี ่ยเอาเอง ซึ่งตัวเลขนี้แอดมินคิดออกม าได้ 19,752 BOE/ D (ถ้ากลัวแอดมินจะคิดผิดก็ไปช่วยก ันคำนวนนะครับ)
ลองย้อนกลับไปเทียบตัวเลขกั นนะครับ รายงานของบริษัทอยู่ที่ 19,738 ตัวเลขของกรมอยู่ที่ 19,752 ข้อมูลนี้บอกเราสองเรื่องคร ับ
1.กรมฯไม่ได้ปิดบังตัวเลขกา รผลิตของแหล่งบัวบาน แต่เค้าเอาตัวเลขรวมใส่ไว้ใ นแหล่งสงขลาแล้วต่างหาก
2.ที่นักทวงคืนเคยด่ากรมฯไว ้ว่าตัวเลขเชื่อถือไม่ได้นั ้น กรณีศึกษานี้บอกเราในขั้นต้ นแล้วว่าไม่จริงครับ ถ้าตามสมมติฐานของพวกทวงคืน กรมต้องบอกตัวเลขน้อยๆเพื่อ ให้ดูว่าไทยเราผลิตได้น้อย ส่วนตามหลักการลงทุน บริษัทน้ำมันก็ต้องบอกตัวเล ขสูงๆ จะได้น่าเชื่อถือ แต่มาเทียบตัวเลขแล้ว มันแทบจะเท่ากันเลยครับ ของกรมสูงกว่านิดหน่อยอีกตะ หาก เป็นการย้ำกันว่าข้อมูลของก รมนั้นถูกต้อง
ถ้าท่านสงสัย ก็สามารถใช้วิธีเดียวกันนี้ ในการสอบทานได้ครับ โดยเอาตัวเลขของกรมไปเทียบก ับตัวเลขของบริษัทต่างๆ แต่ต้องทำความเข้าใจว่าบ.Co astal นี้เค้ารับสัมปทานไม่มาก จึงเอาตัวเลขมาเทียบกันได้่ ง่าย จึงต้องระวังตรงนี้ครับ เพราะบางบริษัทมีรับสัมปทาน หลายแหล่ง มีการร่วมทุนกับบริษัทอื่นใ นแหล่งเดียวกันก็มี ทำให้ข้อมูลนั้นไม่อาจจำแนก ได้ชัดเจนว่ามาจากแหล่งไหนก ันบ้าง
สมาชิกคนหนึ่งก็เคยท้วงมาว่ าข้อมูลของกรมกับตัวเลขของเ ชฟร่อนนั้นไม่ตรงกัน ซึ่งที่ไม่ตรงก็เพราะว่าสมา ชิกท่านนั้นคิดตัวเลขของเชฟ รอนเฉพาะแหล่งหลักๆ แต่ไม่ได้นับรวมแหล่งย่อยๆซ ึ่งมีการรับสัมปทานร่วมหรือ ทับซ้อนกับบริษัทอื่น ตัวเลขเลยไม่ตรงกัน ซึ่งเป็นผลจากการคำนวนที่ไม ่ถูกต้องนั่นเอง หาใช่เพราะการบิดเบือนของกร มฯแต่อย่างใดไม่
ข้อมูลสัมปทานปิโตรเลียมโดย ละเอียด อ่านได้จากรายงานประจำปีของ กรมครับ http://www.dmf.go.th/ index.php?act=service&sec=a nnualReport
มีสมาชิกท่านหนึ่งตั้งข้อสั
แอดมินจึงไปค้นมา ตอบได้เต็มปากว่า "ไม่ใช่ครับ"
แหล่งบัวบานเป็นแหล่งปิโตรเ
จากนั้นก็ต้องไปดูตัวเลขจาก
ลองย้อนกลับไปเทียบตัวเลขกั
1.กรมฯไม่ได้ปิดบังตัวเลขกา
2.ที่นักทวงคืนเคยด่ากรมฯไว
ถ้าท่านสงสัย ก็สามารถใช้วิธีเดียวกันนี้
สมาชิกคนหนึ่งก็เคยท้วงมาว่
ข้อมูลสัมปทานปิโตรเลียมโดย
...........................................................................................................
ถ้าสื่อมวลชน .....
...................................................................................................................
..................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น