วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

16/05/2556


จดหมายถึงน้องเฌอ

โดย Rood Thanarak


สวัสดีครับน้องเฌอ


แม้เราจะไม่เคยพบหน้าพูดคุยกันสักครั้ง แต่จากจุดเชื่อมโยงที่ร้านอาหารเล็กๆแห่งนั้น พี่เชื่อว่าเราน่าจะเคยเดินสวนกันบ้าง

พี่เพิ่งอ่านข้อเขียน “แด่สุรเฌอ” จบลง (http://www.facebook.com/note.php?note_id=405561038672) อ่านแล้วอดไม่ได้ที่จะเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงน้องบ้าง เพราะอยากบอกอะไรบางอย่างให้น้องได้รู้ไว้

ก่อนอื่น พี่ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของน้องด้วยใจจริงนะครับ

พี่ทราบข่าวเรื่องนี้เมื่อเที่ยงวันที่ 15 พ.ค. - เพื่อนของพี่คนหนึ่งถ่ายภาพอันลือลั่นภาพนั้นในตอนเช้า เขาส่งให้พี่และสังคมได้เห็น “ความจริง” ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากภาพนั้นแพร่ออกไป เพื่อนคนนั้นจึงได้รู้ว่าชายในภาพคือน้องเฌอ ซึ่งก็เป็นคนกันเองกับผู้ถ่ายภาพ

เหตุการณ์นี้ทำเอาใครที่รู้ข่าวอดช็อกและเศร้าไม่ได้

แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น พี่เองก็พึ่งจะมารู้จากข้อเขียนข้างบนนี้ว่า ณ วินาทีนั้น น้องยังไม่ได้จากพวกเราไป แต่ต้องนอนอยู่เช่นนั้นกว่าชั่วโมง



พี่เสียใจด้วยจริงๆ



………………




สิ่งที่พี่อยากเล่าให้น้องฟัง มันเกี่ยวพันกับครอบครัวของพี่เล็กน้อย

เราเป็นครอบครัวเล็กๆ อยู่กันสี่คนพ่อ แม่ ลูกชาย และลูกสาว – โดยส่วนตัวพี่จัดว่าเราเป็น “ครอบครัวการเมือง” เพราะตั้งแต่พี่จำความได้ พ่อกับแม่ก็นั่งหน้าทีวีดู “เตมีย์ใบ้” ให้สัมภาษณ์สื่อแล้ว

บ้านเราจัดเป็นพวก “เหลืองบ้าง-แดง บ้าง” ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์แต่ละครั้ง แต่ละประเด็น ว่ากันไปตามหลักการและเหตุผล แต่ที่แน่ๆ บ้านเราทุกคนมองการเมืองไทยอย่าง “ตาสว่าง” และ “มุมกว้าง” กว่าที่เห็นในทีวี

กับเรื่องราวครั้งนี้ พ่อและแม่ของพี่ค่อนข้างอคติกับคนเสื้อแดง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจในเมื่อท่านทั้งสองไม่รู้จักสื่อทางเลือก ไม่รู้จักเฟซบุ๊ก ไม่รู้จักทวิตเตอร์ ไม่รู้จักยูทูป – สื่อเดียวที่ท่านมีโอกาสเสพคือโทรทัศน์ฟรีทีวีทั้งหลาย

พ่อมองว่าเหตุการณ์ปะทะรอบนี้มีความเกี่ยวโยงกับคราว 10 เม.ย. ค่อนข้างมาก พ่อมองว่าเหตุการณ์คราวก่อนที่มีทหารระดับสูงเสียชีวิตไปทำให้ค่อนข้าง แน่ชัดว่าฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้มามือเปล่า และทำให้พ่อมองการปะทะรอบนี้เหมือนเป็นการ “ต่อสู้กันสองฝ่าย” ระหว่างกองกำลังติดอาวุธ

สารภาพตามตรง แรกเริ่มพี่ก็มีความเห็นไม่ต่างกับพ่อเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม แต่ตั้งแต่กลางวันของวันที่ 14 พ.ค.ล่วงเลยไปจนถึงกลางคืน พี่เฝ้านั่งติดตามข่าวสารจาก “สื่อทางเลือก” ทั้งหลายจึงได้พบว่านี่มันไม่ใช่การ “ต่อสู้” ของคนถือปืนสองฝ่ายเสียแล้ว แต่มันได้กลายเป็นสภาวะ “ล้อมปราบ” ของทหารรัฐบาลไทย กับผู้ชุมนุมมือเปล่า

สิ่งที่ยืนยันความคิดพี่คือ ในเวลานั้น ตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 16 คน แทบทุกคนถูกยิงศีรษะ ไม่มีใครติดอาวุธ และไม่มีความสูญเสียกับฝ่ายทหารเลยสักนิด

คืนนั้น พี่เข้านอนโดยมีน้ำซึมอยู่รอบดวงตา



…………………………



หลังจากนอนน้ำตาซึมให้กับการ “ล้อมปราบ เรียงแถวฆ่า” ที่เกิดขึ้นทั้งคืน

เช้าวันที่ 15 พ.ค. พี่ตื่นขึ้นมาพบหน้าครอบครัว พวกเรายังคงดูข่าวอย่างปกติหน้าทีวี และมีมุมมองเหมือนเคยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือการ “ปะทะกันสองฝ่าย”

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น พี่จึงได้พบภาพของเฌอในอินเตอร์เนตที่ส่งมาจากตัวผู้ถ่ายภาพโดยตรง

สิ่งแรกที่พี่ทำคือยกโน้ตบุ๊กทั้งเครื่องเดินลงมาชั้นล่างขณะที่ครอบครัวกำลังนั่งกินข้าวดูข่าวกันอยู่

พี่เรียกพ่อ แม่ น้องสาว มานั่งรวมกัน พร้อมกับเปิดภาพอันน่าเศร้าของน้องให้ทุกคนดูกันจากจอของโน้ตบุ๊ก

พี่พูดว่า
“พ่อดูสิ !! โลกมันไปไหนกันแล้ว แต่รัฐบาลแม่งก็ยังปิดสื่อเหมือนเมื่อสามสิบปีก่อน สื่อที่พึ่งพาได้วันนี้คือสื่อทางเลือก ไม่ใช่ไอ้ทีวีช่อง 11 หรือ TPBS เนี่ย

พ่อดูรูปนี้แล้วเห็นมั๊ย เห็นชัดๆว่านี่มันไม่ใช่การสู้กันระหว่างปืนกับปืน เห็นมั๊ย ไหนวะผู้ก่อการร้าย ไหนอ่ะกองกำลังติดอาวุธ

คนตายนี่มันคนธรรมดากันทั้งนั้นนะ นี่เพื่อนถ่ายส่งมาให้เองเลย มันคือของจริง เรื่องจริง มันคือการ “ล้อมปราบ เรียงแถวฆ่า” โดยทหาร สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จนถึงตอนนี้ มันไม่ต่างอะไรกับ 14 ตุลา ที่พ่อก็เคยผ่านมา เห็นมั๊ย?”


พ่อเหลือบดูภาพของเฌอแล้วเงียบไปเกือบครึ่งนาที - สีหน้าพ่อเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

“อือ ...”


พ่อพูดเพียงแค่นี้ ทำสีหน้าเหมือนได้เจอสิ่งคุ้นเคย

พ่อไม่พูดอะไรอีก

แม่ไม่พูดอะไรอีก

น้องสาวไม่พูดอะไรอีก

พี่เอง ก็ไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มอีก

จากวินาทีนั้นที่ทุกคนได้เห็นภาพของเฌอ ครอบครัวเราก็เข้าใจแล้วว่าจริงๆมันเกิดอะไรขึ้นบนถนนข้างนอกนั่น

จนถึงวันนี้ พ่อดูทีวีด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยฟังก็เลิกฟัง จากที่เคยด่าก็ไม่ด่า จากที่เคยเห็นด้วย หลายครั้งกลับด่า

เราเลิกด่าแล้วว่าเสื้อแดงมีปืนหรือไม่ หรือทำไมต้องเผายาง เพราะเมื่อเราเปลี่ยนมุมมองต่อเหตุการณ์ เราก็เข้าใจมันมากขึ้นทันที เป็นพี่ อย่าว่าแต่ปืนเลย โดนทหารล้อมปราบมีอะไรในมือพี่ก็ใช้ทั้งนั้นแหละ

ใช่ครับ – ภาพอันน่าสลดของเฌอ ทำให้ครอบครัวเรา “ตื่น” ขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ




……………………




เพราะเราไม่รู้จักกัน พี่เลยไม่รู้ว่าโตขึ้นเฌอตั้งใจจะเป็นอะไร 

เป็นนักข่าวเป็นนักหนังสือพิมพ์ เป็นตากล้อง เป็นฝ่ายศิลป์ หรือเป็นนักเขียน

น่าเสียดายที่เฌอไม่มีโอกาสจะเติบโตไปมากกว่านี้ ไปตามฝันของตนเองได้ไกลกว่านี้ แต่บอกตามตรง ในฐานะคนที่อยู่บนโลกนี้มานานกว่าเฌอ พี่อยากบอกว่าเฌอจงดีใจเถิดที่ได้จากโลกนี้ไปก่อนพวกเรา จากโลกอันโหดร้าย จากโลกอันป่าเถื่อน จากโลกอันไร้แก่นสารใบนี้ไปเสียได้

พูดตามตรง ยิ่งอยู่ไปนานๆ พี่กลับอยากอยูในโลกห่วยๆใบนี้น้อยลงเรื่อยๆ

พี่อยากบอกเฌอว่า - แม้เฌอจะจากไปแล้ว แต่การจากไปของเฌอได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอันสำคัญในครอบครัวเล็กๆของพี่ และพี่ก็เชื่อด้วยว่ามันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับคนอีกมาก ไม่เฉพาะแต่ครอบครัวพี่เท่านั้น

แม้ช่วงเวลา 17 ปีที่เฌออยู่บนโลกนี้ จะดูสั้นมากเมื่อเทียบกับใครหลายคน แต่โลกห่วยๆใบนี้ก็ยังมีอีกหลายคนที่ใช้ชีวิตนานกว่าเฌอหลายเท่า อยู่ไปเนิ่นนาน โดยไม่อาจสร้างสิ่งดีๆให้เกิดต่อมนุษย์ด้วยกันได้ ดังเช่นการจากไปของเฌอ

เฌอได้ทำให้พี่เห็นว่า การจากไปของหนุ่มอายุ 17 ปีนั้นสามารถสร้างสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นได้ มากกว่าชีวิตของชายแก่หลายคน

เฌอได้จากไปอย่างยิ่งใหญ่แล้วครับ จากไปอย่างดีพร้อม เหมาะสมกับการที่ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งพึงทำได้



หลับให้สบายนะครับ
แล้วเจอกันใหม่ที่ฝั่งโน้น


รุจ ธนรักษ์



ปล. พี่ชั่งใจอยู่นาน ว่าจะนำรูปอันน่าหดหู่ของเฌอมาแปะไว้อีกครั้งดีหรือไม่ ท้ายสุดแล้วพี่ตัดสินใจเอามาแปะไว้อีกครั้งนะครับ เผื่อใครผ่านมาเห็นจดหมายฉบับนี้ จะได้เห็นสิ่งสุดท้ายที่เฌอได้ทิ้งไว้เตือนสติกับพวกเราถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พี่ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ


...............................................................................................................



การจากไปของเฌอ - 3 ปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก

แล้ววันนี้ก็มาถึงอีกครั้ง วันครบรอบการจากไปของ “เฌอ” เหยื่อกระสุนที่เสียชีวิตบริเวณซอยรางน้ำ โดยมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินไทยเพียง 17 ปี

ผมเคยเขียน “จดหมายถึงน้องเฌอ” เป็นโน้ตสั้นๆไปแล้วไม่กี่วันหลังเกิดเหตุการณ์ https://www.facebook.com/notes/rood-thanarak/จดหมายถึงน้องเฌอ/119651818069131 และมันก็แพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็วในเวลานั้นเพราะมันเป็นประเด็นที่คนกำลังสนใจ สุดท้ายก็มีเสียงสะท้อนกลับมามากมายทั้งในเชิงสร้างสรรค์และบัดซบ

ผมเคยตั้งใจว่าจะไม่เขียนถึงเรื่องน้องเฌออีก คิดว่าไม่มีเหตุอันใดให้ผมต้องรื้อฟื้นเรื่องนี้ ไม่อยากรื้อฟื้นหรือพูดถึง แต่ไม่รู้ทำไมปีนี้เปลี่ยนใจ อยากเล่าบางประเด็นให้คนอื่นๆได้รับรู้มากขึ้นกว่าคำพรรณาที่โศกเศร้าในโน้ตชิ้นนั้น

ผมกับ เฌอ ไม่รู้จักกัน ผมอาจเคยเดินสวนกับเขา แต่เราไม่เคยพูดคุยกัน และผมก็ไม่รู้จักพ่อ แม่ พี่น้อง หรือญาติครอบครัวของเฌอสักค

เฌอคือลูกของเพื่อน ของเพื่อน และของเพื่อน ผมคนหนึ่ง พวกเขาสนิทสนมกันในแวดวงของเขาซึ่งไม่ใช่แวดวงที่่ผมคุ้นเคย เพื่อนผมนิยามว่า เฌอ อยู่ในแวดวงคนทำหนังสือ คนทำสื่อ และกลุ่มคนเคลื่อนไหวประเด็นทางสังคม

เย็นวันหนึ่งผมถามกับเพื่อนว่า “ไปไหนมา” เพราะเห็นรูปเขาบนเฟซบุ๊ค เพื่อนบอกว่าไปจัดกิจกรรมรำลึกผู้สูญเสียในช่วงวันที่ 10 เมษาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และนั่นน่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นรูปเฌอทำกิจกรรมแบบผ่านๆตา ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ก็แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เกิดการ “ล้อมปราบ” ภายใต้วาทกรรมกระชับพื้นที่ เพื่อนคนหนึ่งที่อาศัยอยู่แถวซอยรางน้ำเล่าให้ฟังว่าได้ยินเสียงกระสุนดังทั้งคืน พร้อมกับมีรายงานข่าวแสดงป้าย “เขตกระสุนจริง” บริเวณถนนราชปรารภ ผมได้แต่บอกเพื่อนคนนั้นว่า เอ็งหลบอยู่ในบ้านดีๆ ขอให้ปลอดภัย

เช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อนคนนั้นถ่ายภาพคนนอนตายข้างถนนได้จากหน้าคอนโดเขาพอดี เขาเอารูปเผยแพร่ผ่าน Facebook ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นภาพก็แพร่ออกไปยังสื่อต่างประเทศ ถ้าผมจำไม่ผิด มันน่าจะไปถึง CNN เลยด้วยซ้ำ และยังมีเรื่องราวอีกมากมายเกิดขึ้นต่อจากนั้น จากภาพเพียงภาพเดียว

หลายคนที่เห็นภาพกล่าวหาว่าเป็นภาพแต่ง ภาพปลอม ทั้งที่เพื่อนผมถือ Raw File ต้นฉบับอยู่กับมือ

เรื่องที่น่าเศร้ากว่านั้นคือเมื่อภาพถ่ายแพร่หลายออกไป เพื่อนผมผู้ถ่ายภาพจึงได้รู้ว่าคนที่เสียชีวิตในภาพนั้นคือ ....น้องเฌอ

ลองนึกสถานการณ์ดูว่าพอคนแชร์ภาพออกไปเยอะๆ ก็มีใครสักคนโทรมาพูดว่า “เฮ่ย นี่มันเฌอหรือเปล่า”

เพื่อนฝูงทุกคนที่รู้ข่าวนี้ ณ วันนั้น ตกใจ ช็อค เศร้า สลด และหดหู่

โลกมันจะกลมอย่างโหดร้ายอะไรขนาดนั้น

เพื่อนเล่าให้ฟังว่าเฌอเคยไปร่วมขบวนพันธมิตร และ ณ วันที่เสียชีวิต เขาก็ยังไม่รู้จักการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงสักเท่าไหร่เลย เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พยายามจะเข้าไปแยกราชประสงค์เพื่อไปดูให้เห็นกับตาว่าอะไรเป็นอะไร และที่แน่ๆเฌอไม่ใช่ “ผู้ชุมนุมเสื้อแดง” ไม่ใช่ “ชายชุดดำ” ไม่มีปืนในมือ และไม่ใช่ “ผู้ก่อการร้าย”

ในวันเวลานั้น เรารู้เพียงแค่ว่าเฌอนอนเสียชีวิตอยู่เพราะโดนยิง เรามารู้ภายหลังว่าที่โดนยิงนั้นไม่ได้เสียชีวิตทันทีแบบในหนัง แต่กลับต้องนอนแน่นิ่งเช่นนั้นอยู่เป็นชั่วโมงเพราะไม่มีใครสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้

ในวันนั้น ทหารไทยยิงทุกอย่างที่เคลื่อนไหว ไม่ว่าคุณคือใคร คุณจะได้รับกระสุนอย่างเท่าเทียมกันหมด

สุดท้าย อีกไม่กี่วันจากนั้น งานศพของ เฌอ จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมไปงานศพของ “คนแปลกหน้า” ไปทั้งที่ไม่รู้จักใครเลยทั้งงาน ไม่รู้จักผู้เสียชีวิต ไม่รู้จักครอบครัวเขา ไม่รู้จักใครทั้งสิ้น แต่ก็ไปกราบศพ แล้วก็ยังจำได้ถึงวันนี้ว่าได้พูดอะไรเอาไว้หน้าศพ

ผมบอกว่า “........”

..........
........
.....
....
...
..
.

โดยปกติแล้ว เป็นไปได้ยากมากๆที่คนที่มีทางเดินชีวิตแบบผมจะได้รู้จักกับคนอย่างเฌอ เรียนมัธยมที่โรงเรียน A ต่อมหาวิทยาลัย B เรียนปริญญาโทที่ C ทำงานในแวดวง E,F,G เป็นไปได้น้อยมากๆที่จะได้รู้จักกับคนในแวดวงแบบที่เฌออยู่

ผมเพียงแค่โชคดีที่มีเพื่อนหลายกลุ่ม ทำให้ได้รู้จักคนหลายแบบ และนั่นคือประเด็นที่อยากเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับเฌอ

เรื่องราวน่าเศร้าของเฌอ ทำให้ ณ นาทีนั้น ผมสัมผัสมันได้ด้วยตัวเองจริงๆว่า “คนตาย” ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงานข่า

คำว่า “คนตาย” กลายเป็นคน เป็นมนุษย์ มีเลือด มีเนื้อ มีพ่อ มีแม่ มีเพื่อน มีพี่ เหมือนเพื่อนฝูงของผมที่นอนอยู่บ้านไม่ต้องไปทำงาน เพราะทุกบริษัทประกาศวันหยุดให้รัฐดำเนินการล้อมฆ่าผู้ชุมนุมได้สะดวก

การที่เรามีคนรู้จัก มีเพื่อน มีน้อง มีลูก “ตาย” สักคน มันเป็นเรื่องน่าเศร้ากว่าการเห็นคนตายในรายงานข่าวมากนัก และนั่นทำให้เราสัมผัสได้จริงๆว่าการล้อมฆ่าที่กำลังเกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องแน่ๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตา

ไม่มีใครควรตายเพราะการเมือ
ไม่มีใครควรตายโดยอำนาจรัฐ
ไม่มีใครควรตายโดยไม่มีโอกาสแก้ต่างตนเองในกระบวนการยุติธรรม

และที่สำคัญ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นผู้ชุมนุม ไม่เคยไปชุมนุม ไม่ใช่ชายชุดดำ ไม่มีปืน ไม่มีระเบิดในมือ ..... เขาไม่ควรตาย ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะเขาจะต้องตาย

และที่สำคัญไปกว่านั้นอีกก็คือ จนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครเลยที่ต้องรับผิดชอบในความตายของเขา

Unfortunately some people died


รุจ ธนรักษ์
15.5.56


ภาพประกอบจาก: https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151448571031699&set=a.376656526698.158748.108882546698&type=1&theater
.........................................................................................................................................

หลังจากอ่านบทความจบ ผมชอบคอมเมนต์แรกมาก
และคิดว่า บทความและคอมเมนต์ต่างๆจะนำเสนอข้อมูลที่มีประโยชน์
อาจจะเป็น series ย่อมๆขึ้นมา ^_^



» ระวังไว้ !? หากองค์กรไหนยังใช้ `การคิดแบบเดิม´

ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน ปรมาจารย์ด้านความคิดสร้างสรรค์ แนะนำว่า `การคิดแบบเดิม´ (Traditional Thinking) ซึ่งได้แก่...
● การคิดแบบโต้แย้งวิจารณ์ (Critical Thinking)
● การคิดแบบตรรก (Logical Thinking)
 การคิดแบบตัดสินประเมิน (Judgment Thinking)
โดยใช้การถกเถียงกัน(Argument) เป็นเครื่องมือตัดสินที่มุ่งหาว่าใครผิด ใครถูก จนเป็นการคิดแบบ “ฉันถูก เธอผิด” (I am right, you are wrong)

นั้นไม่เพียงพอที่จะช่วยให้การบริหารงานไปได้อย่างราบรื่น รุดหน้า และสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ...เท่าที่ควร

::::::::::::::::


ตัวอย่าง `การคิดแบบเดิม´ ที่พบได้บ่อยๆ ...

ในการประชุมแห่งหนึ่ง ผู้ร่วมประชุมต้องการหาวิธีใหม่ๆ หรือความคิดใหม่ๆ (New Ideas) เพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่

เมื่อมีสมาชิกเสนอวิธีแก้ปัญหาแบบใหม่วิธีหนึ่งในที่ประชุม ความคิดนั้นมีส่วนที่เป็นประโยชน์อยู่ประมาณ 95% และมีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องอยู่บ้างประมาณ 5%

แต่เป็นจุดอ่อนและปัญหา 5% นี้เอง ที่คนมักจะหยิบยกขึ้นมาถก และว่า "ยังไม่ดีพอ ยังไม่สมบูรณ์แบบ"

ช่วงของการยกจุดอ่อนขึ้นมาแย้งผู้เสนอนั้น ผู้คนในที่ประชุมคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที และดูจะเห็นตรงกันและเข้าใจสิ่งที่คนยกมาแย้งได้ง่ายมา

เมื่อมีใครคนหนึ่งแย้งขึ้นมาก็จะมีคนอภิปรายสนับสนุนข้อแย้งนั้นได้ยืดยาวอย่างมีรสชาติ พร้อมยกกรณีตัวอย่างมาอธิบายประกอบให้เห็นอย่างเข้มแข็งและเป็นปึกแผ่นว่าความคิดนี้ดีแต่ใช้ไม่ได้หรอก

เมื่อมีคนเห็นจุดอ่อนมากมาย ความคิดใหม่ที่คนเสนอขึ้นมานั้นก็ตกไป

พอมีคนเสนอความคิดอื่นขึ้นมาอีก ก็มีคนยก 5% ขึ้นมาแย้งอีกตามครรลองเดิมประชุมกันสองสามชั่วโมงยังหาข้อสรุปไม่ได้

ในแต่ละวัน เวลาส่วนหนึ่งในการทำงานของหลายๆ คนโดยเฉพาะผู้บริหารและหัวหน้างาน จึงใช้ไปกับการประชุม เพราะบางเรื่องประชุมไม่เสร็จในครั้งเดียวเพราะยังคิดหาข้อสรุปไม่ได้ งานของตนเองก็รออยู่ที่โต๊ะ

จนผู้คนบางส่วนรู้สึกว่าตนทำงานไม่ทันเพราะงานเยอะมาก ซึ่งในกรณีที่พูดถึงกันนี้อาจเป็นไปได้ว่า งานก็เยอะ แต่เวลาในการทำงานมีน้อย เพราะประชุมนาน

::::::::::::::::


`การคิดแบบเดิม´ ซึ่งทำให้คนคิดและพูดจุด 5% กันเป็นส่วนใหญ่นั้น ทำให้เกิด `สิ่งที่น่าเสียดาย´ ในบริษัทและองค์กรต่างๆ เช่น...


1. ทำให้คนไม่กล้าคิด

เพราะเห็นว่าความคิดของตนอาจไม่สมบูรณ์แบบมากพอ เพราะคิดอย่างไรก็มีจุดบกพร่อง จุดอ่อน


2. ทำให้คนที่คิดได้ไม่กล้าพูดเสนอความคิดของตนแก่ที่ประชุม

เพราะรู้ว่าจะมีคนหาเจอ 5% และนำมาแย้งความคิดของตนแน่นอน ถ้าเป็นเช่นนั้นแม้ตนเสนอไปก็ย่อมไม่ผ่านการพิจารณาอยู่ดี เพราะฉะนั้นพูดไปก็ไม่คุ้ม เหมือนอยู่ดีๆ ก็ขึ้นเวทีไปให้คนอื่นชก ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ามีคนส่วนหนึ่งพร้อมชกอยู่แล้ว

::::::::::::::::


3. ทำให้คนบางส่วนมีแนวโน้มที่จะเลือกเป็นคนคอยโต้แย้งมากกว่าจะเลือกเป็นคนคิดใหม่

เพราะระหว่างการเป็นคนเสนอความคิด แล้วถูกคนอื่นโต้แย้ง คัดค้าน กับการเป็นคนไม่เสนอความคิดแต่คอยโต้แย้งความคิดของคนอื่นนั้น คนส่วนใหญ่เลือกที่จะคอยแย้งมากกว่า

ซึ่งอาจเป็นเพราะ...การคิดให้ได้ความคิดใหม่นั้นทำได้ยากกว่า และต้องรับศึกจากคนโต้แย้งมากกว่า

ในทางตรงข้าม การคอยโต้แย้งความคิดของคนอื่นนั้นดูจะทำได้สบายๆ ไม่ต้องออกแรงคิดอะไรสักเท่าไรก็พบจุดที่จะแย้งใครก็ได

และเหตุหนึ่งที่การโต้แย้งหรือโจมตีความคิดของคนอื่นดูดึงดูดใจคนบางคนมากกว่า เพราะผู้โต้แย้งดูจะเป็นฝ่ายรุกไล่คนอื่น ทำให้รู้สึกเหนือกว่า เพียงแต่คอยแย้งให้อีกฝ่ายจนมุมให้ได้เท่านั้น ขณะที่คนเสนอความคิดต้องคอยตั้งรับแรงปะทะจากคนหลายคน



4. ทำให้เกิดทัศนคติที่คลาดเคลื่อนแก่ผู้ที่เข้ามาทำงานใหม่ๆว่าการเป็นคนโต้แย้งและหาข้อบกพร่องของความคิดคนอื่นได้ดูเหมือนเป็นคนเฉียบคม และแน่กว่าคนที่คิดความคิดใหม่ๆ ได้เสียอีก

เด็กรุ่นใหม่อาจเห็นว่าท่าทีของรุ่นพี่ที่กำลังพูดคัดค้านและโต้แย้งคนอื่นนั้น ดูมาดมั่นและมีพลัง ส่วนคนที่ถูกแย้งนั้นส่วนใหญ่เรียบๆ ไม่หวือหวา ร้อนแรงเข้มข้นเหมือนคนที่กำลังโต้แย้ง

คนรุ่นหลังที่มีทัศนคติเช่นนี้ก็จะเลียนแบบและสืบทอดการเป็นนักโต้แย้ง และไม่คิดอะไรใหม่ๆ ต่อไป เพราะตนคิดว่าจะช่วยที่ประชุมตรวจสอบความคิดของคนอื่น ซึ่งตนถือว่าเป็นบทบาทที่สำคัญมาก

::::::::::::::::


5. ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันกาลตามที่ควร

เพราะความคิดทั้งหลายไม่ผ่านด่าน 5% คนมักเคยชินกับการวิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสีย พอมีข้อเสียก็ทิ้งความคิดนั้น แล้วหวังว่าจะได้ความคิดใหม่ที่ดีมากๆ

คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการแก้ปัญหาจึงไม่ลงมือแก้ปัญหาเสียทีเพราะยังหาวิธีแก้ไม่ได้ อยากแก้ไขให้ได้เร็วๆ แต่ในใจก็คิดว่าใครก็อยากแก้ แต่ที่ประชุมยังคิดไม่ออก



6. ทำให้กำลังใจของคนที่หมั่นเพียรคิดหาทางช่วยแก้ปัญหาถูกบั่นทอน

เพราะเสนอความคิดใหม่ทีไร จะมีคนนำ 5% ขึ้นมาทักท้วงทุกที และมักถูกย้อนถามว่าแล้วจะจัดการอย่างไรกับ 5% ที่จะเกิดขึ้น

และไม่ว่าคนเสนอความคิดจะหาทางแก้ให้สักเท่าไร คนโต้แย้งก็จะสามารถหา 5% ของวิธีแก้ได้อีกอยู่ดี คนที่เสนอหนึ่งครั้งแล้วมักจะเข็ดและไม่เสนออีก ยกเว้นคนที่มุ่งมั่นที่จะช่วยจริงๆ และ พร้อมอดทนเพื่อฝึกตนให้เข้มแข็งมั่นคง หนักแน่นปานภูผาหิน

::::::::::::::::


7. ทำให้การประชุมเหือดแห้ง ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา

ผู้คนบางส่วนเหนื่อยใจ ซึม และเพิกเฉย การประชุมอาจไม่มีประสิทธิภาพ สมกับความรู้และตำแหน่งของคนที่ร่วมประชุม แต่ทุกวันที่ผ่านไป ผู้คนยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในวังวนของการประชุมรูปแบบเดิมนี้ เพราะอาจไม่เห็นทางอื่นให้เลือก และอาจไม่เห็นทางออกจากวังวนนี้ก็เป็นได้



8. ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ในองค์กรไม่ค่อยมีโอกาสเกิด และงอกงามจนเป็นนวัตกรรมของบริษัทและองค์กร

ทั้งๆ ที่คนในบริษัทมีความสามารถคิดได้ ถ้าบรรยากาศในบริษัทอำนวยต่อความคิดสร้างสรรค์ของบุคลากร บุคลากรจะช่วยผู้บริหารคิดได้ แทนที่จะรอให้ผู้บริหารคิดให้ทุกเรื่อง

::::::::::::::::


นี่คือตัวอย่างบางส่วนของผลในด้านการทำงานที่เกิดจากการคิดแบบเดิม

การคิดแบบใหม่จะมาเสริมพลังเพื่อปิดช่องโหว่ของการคิดแบบเดิม และเพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ ในการคิดเพื่อช่วยให้ชีวิตการทำงานร่วมกันดียิ่งขึ้นโดยทั่วกัน

::::::::::::::::


Credit : BizWeek Business School ฉบับ 22 Sep 2006 โดย อ.รัศมี ธันยธร ผู้อำนวยการศูนย์ความคิดสร้างสรรค์
..............................................................................................................................


................................................................................................................................



‘จุดแข็ง จุดอ่อน’

ผู้คนสามารถเห็นยุทธวิธีที่ข้าฯใช้ทำศึก
แต่ไม่มีใครสามารถเห็นกลยุทธ์ที่ใช้ ขณะที่ชัยชนะก่อตัวขึ้น

จงอย่าใช้ยุทธวิธีเดิมๆ ที่เคยนำชัยมาให้
แต่จงปล่อยให้การรบถูกกำหนดด้วยความหลากหลายที่ไม่สิ้นสุด ของปัจจัยเหตุการณ์

การรบเป็นดั่งน้ำที่ไหลตามแนวธรรมชาติจากที่สูงลงสู่เบื้องต่ำ

เฉกเช่นสงคราม จงหลีกเลี่ยงสิ่งที่แข็งแกร่ง
และเข้าโจมตีสิ่งที่อ่อนแอ

น้ำสร้างแนวของมันตามสภาพของพื้นดินที่มันไหล
นักรบสร้างกลยุทธ์ตามสภาพของศัตรูที่เขาเผชิญหน้า

เปรียบเสมือนน้ำอันไร้ซึ่งรูปร่างที่ตายตัว
ในการรบ ก็ไม่มีอะไรที่แน่นอน

ผู้ซึ่งปรับเปลี่ยนยุทธวิธีได้สัมพันธ์กับข้าศึก จนเป็นผู้มีชัย
ก็คืออัศวินจากสรวงสวรรค์

ธาตุทั้งห้า น้ำ ไฟ ไม้ โลหะ ดิน
ไม่ได้เป็นปัจจัยที่มีเท่าเทียมกัน

ฤดูทั้งสี่ เปิดโอกาสการบุกให้แต่ละฝ่ายสลับกัน

วัน มียาวและก็มีสั้น
พระจันทร์ มีช่วงข้างขึ้นและก็ข้างแรม

ซุนวู
.......................................................................................................................


มีมิจฉาชีพที่หากินกับความใจบุญแฝงตัวอยู่ทั่วไปเหมือนดั่งเพจเรียกไลค์นะครับ ;_;
......................................................................................................................



จงสร้างการลงทุนที่เรียบง่าย ...

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ "ให้เช่า" โดยเฉพาะประเภทที่ไม่ต้องบริหารจัดการมาก อาทิ บ้านเช่า หรือคอนโดมิเนียมนั้น จะว่าไปแล้ว วิธีการประเมินการลงทุนนั้นไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยครับ

หลักคิดง่ายๆ ก็คือ ทำยังไงก็ได้ "ให้รายรับต่อเดือนมากกว่ารายจ่าย" เพราะหัวใจของการให้เช่านั้น เราต้องการได้กระแสเงินสดที่เป็นบวกจากสิ่งที่เราลงทุน

ล่าสุดมีอีเมล์มาสอบถามผมว่า ... คอนโดย่านพระรามเก้า ราคา 900,000 เก็บค่าเช่าได้ 7,000 บาท (มีผู้เช่าอยู่แล้ว) ค่าส่วนกลางเดือนละ 900 ค่าน้ำและค่าไฟ ผู้เช่าเป็นผู้จ่ายเอง กู้ 100% ส่งธนาคารเดือนละ 5,000 บาท น่าลงทุนหรือไม่

ถ้าคิดกับแบบอาเจ็กอาแปะ เดือนนึงเงินเข้ากระเป๋า 7,000 บาท จ่ายออก 5,900 บาท (ผ่อนแบงค์ 5,000 + ค่าส่วนกลาง 900) เหลือสุทธิ 1,100 บาท

ก็ต้องถามว่า มีเงินเข้ากระเป๋า เดือนละ 1,100 (ปีนึง 13,200) แถมมีคนส่งคอนโดให้ด้วย ... ดีมั๊ยละครับ

อย่างไรก็ดี แนวคิดดังกล่าวเป็นเพียงแนวคิดการประเมินเบื้องต้นเท่านั้น เพราะหากต้องการลงทุนจริงๆ นอกจากเงินที่เข้ากระเป๋าแล้ว เราอาจยังต้องพิจารณาถึง อัตราผลตอบแทนว่าคุ้มค่าหรือไม่ (กรณีนี้ได้ของฟรีเลยนะ) การจัดไฟแนนซ์ควรเป็นสัดส่วนเท่าใด (จะดาวน์บ้างมั๊ย หรือกู้เพิ่ม) แผนการรับมือกับห้องว่างเป็นอย่างไร คู่แข่งบริเวณโดยรอบมีมากน้อยแค่ไหน การทำสัญญาผูกมัดอย่างไร แผนการออกเป็นอย่างไร และอื่นๆ

ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ต้องคิดและพิจารณากันต่อ ...

แต่ที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้น ก็เพื่อให้คุณผู้อ่านเห็นวิธีคิดและโอกาสในการลงทุน ซึ่งบางครั้งไม่จำเป็นต้องยุ่งยากและซับซ้อนเลย ก็สามารถสร้างผลกำไรให้กับเราได้

KEEP IT SIMPLE SWEETHEART!

สร้างการลงทุนให้ง่าย แต่อย่ามักง่ายกันนะครับ
....................................................................................................................



ที่นาของเราเอง ก็ควรกำหนดเป้าหมายและสร้างเงื่อนไข ความสำเร็จของตัวเอง
-"รู้เขา" ว่าคิดอย่างไร ทำอย่างไร เหตุและผลในแต่ละพื้นที่เป็นอย่างไร
-"รู้เรา" รู้จักดิน น้ำ อากาศ ธรรมชาติ แรงงาน เวลา ที่มีในการทำกิจกรรม ในพื้นที่
ความสำเร็จ มันไม่สามารถ copy -paste เหมือนข้อความ ในfacebook
ต้องรู้จัก ต่อยอด ปรับใช้ ให้เหมาะสม
-ไม่มีข้ออ้าง ว่าทำไม่ได้ ไม่มีข้ออ้าง ว่าอยู่นอกเขตชลประทาน ไม่มีข้ออ้างโน่นนี่นั่น
ถ้าคิดว่าจะทำ คือทำ ทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ความสำเร็จไม่ได้เป็นของคนอื่น แน่นอน
..........................................................................................................................



China's factory owners are struggling to survive by shifting operations to neighboring countries amid higher wages and persistent labor shortages at home. http://on.wsj.com/101e8Xi
.................................................................................................................................



แปลงกล่อง...เป็นชั้นวางหนังสือ
..............................................................................................................................

ทั้งแม่วงก์ ทั้งแก่งเสือเต้น
ไม่ว่าจะรัฐบาลไหน ก็จะสร้างมันให้ได้

ลองหาทางออกอย่างอื่นในการแก้ปัญหาก่อนดีมั๊ย?
เหลือผืนป่าไว้ให้บ้างเถอะครับ! 


"นักการเมืองบอกเราว่า ป่าแม่วงก์บริเวณที่จะสร้างเขื่อนเป็นป่าเสื่อมโทรม
เราบอกนักการเมืองว่า สิ่งที่เสื่อมโทรมที่สุด คือใจของคนที่คิดจะทำลายป่าผืนนี้ "

จาก ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ กลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายและสิ่งแวดล้อม
..........................................................................................................................



อลูมิเนียมเป็นโลหะที่มีสีขาวคล้าย เงินน้ำหนักเบา และมีคุณสมบัติที่อ่อนตัวซึ่งสามารถ ทำเป็นรูปร่างต่างๆได้ ในการผลิตอะลูมิเนียมจึงมักผสมทองแดงและสังกะสีเพื่อเพิ่มความแกร่งให้กับเนื้ออะลูมิเนียม เนื่องจากอะลูมิเนียมเป็นภาชนะที่สามารถ ซึมซับความเย็นได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อะลูมิเนียมเป็นที่นิยมในการนำมาผลิตกระป๋องบรรจุเครื่องดื่ม และวัสดุอีกหลายชนิด เช่น น้ำอัดลม เบียร์ โซดา กระดาษ ตะกั่ว ถาดใส่อาหาร ภาชนะในครัว ฯลฯ
ปัจจุบัน อลูมิเนียมถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุดและมีข้อดีคือ สามารถนำไปรีไซเคิลได้ กระป๋องอลูมิเนียมทุกใบสามารถส่งคืนกลับโรงงานเพื่อนำไปผลิตเป็นกระป๋องใหม่ได้โดยไม่มีขีดจำกัดจำนวนครั้งของการผลิต เมื่อกระป๋องอลูมิเนียมถูกส่งเข้าโรงงานแล้วจะถูกบดให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วหลอมให้เป็นแท่งแข็งจากนั้นอะลูมิเนียมแท่งจะถูกนำไปรีดให้เป็นแผ่นแบนบางเพื่อส่งต่อไปยังโรงงานผลิตกระป๋องเพื่อผลิตเป็นกระป๋องอลูมิเนียมใหม่
การรีไซเคิลกระป๋องอลูมิเนียม จะทำให้ประหยัดพลังงานความร้อนได้ถึง 20 เท่าและช่วยลดมลพิษทางอากาศได้ถึงร้อยละ 95 ของการผลิตกระป๋องใหม่โดยใช้อลูมิเนียมจากธรรมชาติ

www.kayathai.com
...................................................................................................................................

ดีเอสไอแนะ ศธ.เพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วย 344 รายเข้าข่ายทุจริตชัด

"ธาริต"ส่งหนังสือถึงสพฐ.สั่งให้เพิกถอนการบรรจุ 344 คน ทุจริตสอบครูผู้ช่วย แนะให้รีบเข้าพบพนักงานสอบสวนด่วน ด้าน “พงศ์เทพ” หารือ ก.ค.ศ. หาข้อสรุปโทษทางวินัย 17 พ.ค.นี้ 
นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนคดีทุจริตสอบครูผู้ช่วย ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่า วันนี้ (15 พ.ค.) นายอำพร ทวรรณกุล ผอ.โรงเรียนเสมาอุปถัมภ์ จ.นครราชสีมา และนายสุเชาว์ ยะถีโล ครูผู้ช่วยโรงเรียนกงรถราษฎร์สามัคคี จ.นครราชสีมา เข้ารับทราบข้อกล่าวหา สำหรับนายอำพรได้แจ้งข้อหากระทำผิดตามมาตรา 188 กรณีเอาเอกสารข้อสอบไปจำหน่ายและเผยแพร่ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ สพฐ. ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท โดยนายอำพรยังให้การปฏิเสธและได้ให้ถ้อยคำเพิ่มเติมบางส่วน ทั้งนี้แม้จะแจ้งข้อกล่าวหาแล้วแต่เนื่องจากนายอำพรเป็นข้าราชการพนักงานสอบสวนจึงให้ปล่อยตัว ซึ่งหลังจากนี้จะรวบรวมสำนวนส่งฟ้องอัยการต่อไป

อย่างไรก็ตามดีเอสไอยืนยันว่าขณะนี้มีพยานหลักฐานชัดเจนว่านายอำพรมีส่วนเกี่ยวข้องในการนำข้อสอบออกมาขาย โดยพบว่ามีรายชื่อผู้สอบได้คะแนนสูงในพื้นที่จ.นครราชสีมา จำนวนมากถึง 48 ราย ในจำนวนนี้ 7-8 ราย ให้การยืนยันว่าซื้อข้อสอบมาจากนายอำพร ดังนั้น ดีเอสไอจะเรียกผู้เข้าสอบทั้ง 48 คนที่ได้คะแนนสูงในพื้นที่นครราชสีมาเข้าให้ปากคำ 
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ดีเอสไอมีหนังสือถึงคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) และคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.)เขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 119 เขต เพื่อให้พิจารณาดำเนินการยกเลิกการบรรจุบุคคล จำนวน 344 ราย โดยเห็นว่าบุคคลดังกล่าวกระทำการเข้าข่ายทุจริตในการสอบ โดยทำข้อสอบผิดในข้อเดียวกัน และมีคะแนนสอบที่สูงผิดปกติ ทั้งนี้ดีเอสไอจะได้เร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อมีความเห็นทางคดี 
นอกจากนี้ จะได้มีหนังสือเรียกผู้ที่เข้าสอบ จำนวน 344 ราย มาให้การต่อไป หากให้การเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนจะกันไว้เป็นพยาน เช่น ซื้อเฉลยคำตอบจากใคร จ่ายเงินเท่าไร พาไปชี้ที่เกิดเหตุและเชื่อมโยงถึงตัวผู้บงการได้ แนะนำให้รีบเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงออกถึงการร่วมมือกับเจ้าพนักงาน หากล่าช้าดีเอสไอไม่จำเป็นต้องกันตัวไว้เป็นพยาน และจะถูกดำเนินคดีถึงที่สุด นอกจากนี้ขอแนะนำให้รีบลาออกก่อนถูกเพิกถอนการบรรจุ เพื่อไม่ให้ถูกดำเนินการทางวินัย ทั้งนี้ในสัปดาห์หน้าดีเอสไอจะขออนุมัติออกหมายจับบุคคลที่อยู่ในขบวนการทุจริตสอบครูผู้ช่วยด้วย

ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ในวันที่ 17 พ.ค.นี้ เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาว่าจะมีมติหรือคำแนะนำอย่างไรไปยัง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ทั้งนี้ ในเรื่องของโทษทางกฎหมายนั้นดีเอสไอมีหน้าที่ในการสอบสวนและดำเนินการตามกฎหมายซึ่งเป็นคดีอาญา ส่วนหน้าที่ของ ศธ.จะต้องดูว่าหากมีความผิดจริงจะมีโทษทางวินัยสถานใด ซึ่งจากข้อมูลการสอบสวนของดีเอสไอที่ผ่านรวมข้อมูลจากส่วนต่าง ๆ ค่อนข้างชัดเจนว่ามีกระบวนการทุจริตจริง 

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 พฤษภาคม 2556
................................................................................................................................

หากเธอจะไปดวงจันทร์ เธอมีกระบวนการทางความคิดได้สองประเภท
ประเภทที่หนึ่ง เธอจงคิดวางแผนหารายละเอียดต่างๆที่จะทำให้การไปถึงดวงจันทร์ได้สำเร็จให้มากที่สุด แล้วลุย
ประเภทที่สอง เธอจงคิดวางแผนหารายละเอียดต่างๆที่จะขัดขวางการไปถึงดวงจันทร์ไม่สำเร็จให้มากที่สุด แล้วแก้ไขเสีย
...
ในความเห็นส่วนตัวของฉัน ฉันพบว่า กระบวนการทางความคิดประเภทที่สองเป็นกระบวนการทางความคิดเฉพาะตัวของคนญี่ปุ่น
.......................................................
(ต้องบอกก่อนว่าที่ฉันนำความเห็นส่วนตัวของฉันมาแบ่งปันนั้น ฉันมิได้ต้องการเหยียดคนชาติเดียวกันและสรรเสริญแต่คนชาติอื่น เพราะจะว่าไปแล้วฉันก็มีกระบวนการทางความคิดเหมือนเธอนั่นแหละ แต่ทั้งหมดทั้งปวงฉันอยากให้เธอลองเอาไปใช้ดูบ้าง ดีที่สุดเธอกับฉันน่าจะลองใช้มันทั้งสองประเภทพร้อมๆกัน)
...................................................................................................................................



จังหวะ และ โอกาส นานๆ ครับถึงจะมาพร้อมๆ กัน บางครั้งก้ต้องอดทน และเฝ้ารอ
.............................................................................................................................

............................................................................................................................

...............................................................................................................................



สั น ติ ป ร ะ ช า ธ ร ร ม

อ่านฉบับเต็มได้ที่ "บันทึกประชาธรรมไทยโดยสันติวิธี" หน้า ๕๘ - ๖๔ ;http://www.openbase.in.th/files/ebook/pueyungphakorn/0039.pdf
.......................................................................................................................

2013.04.25 Igat ore tok jadi berito, sangkut kain jadi berito besa (การควบคุมตัวไม่เป็นข่าว การแขวนผ้าเป็นข่าวใหญ่)
โดย Hara Shintaro


ท่านลองถามชาวบ้านมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า คุณคิดอย่างไรกับการแขวนป้ายผ้าที่มีข้อความเป็นภาษามลายูที่ใช้ตัวอักษรรูมี สำหรับชาวบ้าน เหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา และไม่ใช่เรื่องที่กระทบชีวิตของพวกเขา เป็นไปได้ว่า ชาวบ้านอาจไม่รู้สึกอะไรเลย แต่สำหรับสื่อมวลชนไทย นี่คือเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งเพราะ เข้าใจผิดเองว่าป้ายผ้าเหล่านี้มีข้อความภาษามลายูว่า ต้านกระบวนการสันติภาพ ฉะนั้น นี่คือข่าวที่ขายได้ ผมขอแนะนำให้สื่อมวลชนทำรายงานข่าวตามข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ใช้จินตนาการหรือการตีความเกินเหตุ สื่อภาษาอังกฤษก็ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะสื่อเหล่านี้มีผู้อ่านจากประเทศที่ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาประจำชาติ ได้แก่ มาเลเซีย อิินโดนีเซีย บรูไน และสิงคโปร์ ถ้านักข่าวสื่อภาษาอังกฤษเขียนรายงานข่าวตามความเข้าใจผิดหรือการตีความเอง ผู้อ่านเหล่านี้จะรู้ได้ทันทีและสรุปว่า รายงานชิ้นนั้นไม่มีุคุณภาพ ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วฝ่ายสื่อมวลชนไทยก็ต้องทำการเตียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนโดยให้ทุกสำนักข่าวมีนักข่าวที่สามารถเข้าใจภาษาประเทศเพื่อนบ้านของอาเซียน โดยเฉพาะภาษามลายู (ไม่ใช่ภาษาบาฮาซา) ซึ่งเป็นภาษาที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนอย่างน้อยสำนักและคน

แม้ว่าข่าวการแขวนผ้านั้นดังขนาดไหนก็ตาม สำหรับชาวบ้านในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้กฎหมายพิเศษสามฉบับ (กฎอัยการศึก, พ.ร.ก. กรณีฉุกเฉิน และพ.ร.บ. ความมั่นคง) มีเหตุการณ์อีกเหตุการหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันที่กระทบจิตใจมากกว่าการแขวนป้ายผ้าห นั่นคือการควบคุมตัวของครูสาวตาดีกา (โรงเรียนสอนศาสนาซึ่งใช้ภาษามลายูเป็นหลัก) การควบคุมตัวนั้นเกิดขึ้นในขณะที่ครูคนนั้นเข้าดำิเินินกรรมค่ายฤดูร้อนของโรงเรียน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงควบคัมตัวครูดังกล่าวโดยให้สาเหตุว่า มีคนร้ายหนีเข้าในบริเวณของค่าย (รายละเอียด ขอดูเพจในลิงค์นี้ http://www.deepsouthwatch.org/node/4167)

การควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่สามจังหวัดมักจะเกิดขึ้นโดยไม่มีหมายจับ เพราะตามกฎอัยการศึก ไม่ใช่พ.ร.ก. กรณีฉุกเฉนฯ ซึ่งต้องมีหมายจับในการควบคุมตัวตามกำหนด ผมเคยถามคนที่เคยถูกควบคุมตัวหลายคนว่า ในขณะที่คุณถูกควบคุมตัวมีหมายจับไหม ทุกคนตอบว่า ไม่มี ในกรณีเช่นนี้ มายจับตามพ.ร.ก. จะออกภายในการควบคุมตัว 7 วันตามกำหนดของกฎอัยการศึก และการควบคุมตัวก็ต่ออายุอีก 30 วันตามพ.ร.ก.

สำหรับชาวบ้าน หนึ่งในสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิตที่สุดคือการควบคุมตัว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมตัวของตัวเองหรือสมาชิกครอบครัวหรือมิตรสหาย เพราะเสรีภาพจะถูกจำกัดเป็นเวลา 37 วัน อาจมีการซ้อมทรมานในช่วงการสอบสวนด้วย นอกจากนี้การควบคุมตัวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของคนที่ถูกควบคัมตัวต่อไป เพราะสังคมภายนอกก็จะมองว่า คนที่เคยถูกควบคุมตัวนั้นเป็น “แนวร่วม” ทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนรวมใดๆ ในการก่อความไม่สงบ ตามข้อมูลจากศูนย์ทนายความมุสลิม 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ของคดีความมั่นคงถูกยกฟ้อง ซึ่งหมายความว่า การควบคุมตัวส่วนใหญ่เป็นการจับคนผิด

การควบคุมตัวเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชาวบ้าน แต่แทบไม่มีสื่อกระแสหลักที่รายงานเกี่ยวกับการควบคุมตัวครูสาวตาดีกาครั้งนี้ ทั้งๆ ที่มันเป็นเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจของคนในพื้นที่อย่างรุนแรง โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่มีสถานะเดียวกันกับครูสาวตาดีกาที่ถูกควบคุมตัว ด้วยเหตุนี้ บรรดานักศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดและภูมิภาคอื่นๆ กว่า 500 คน รวมตัวกันเรียกร้องความเป็นธรรม กว่าจะเหตุการณ์การควบคุมตัวครูสาวคนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่รู้จักกัน ต้องมีนักศึกษาที่จัดการประท้วงใหญ่ บริเวณมัสยิดกลางยะลา เพราะที่เป็นข่าวนั้นไม่ใช่การควบคุมตัว แต่เป็นการประท้วง

โดยส่วนตัว ในฐานะเป็นคนที่มาจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพการแสดงออกความคิด ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมการแสดงความคิดเห็นต้องเป็นข่าวใหญ่ แต่การควบคุมตัวไม่เป็นข่าว

ในสายตาของชาวบ้้านและบรรดานักศึกษาที่เรียกร้องความเป็นธรรม เหตุการณ์การควบคุมตัวครูสาวตาดีกาเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงซึ่งเกิดขึ้นประจำในพื้นที่สามจังหวัด แต่เหตุการณ์เหล่านี้แทบจะไม่มีการรายงานข่าว

กระบวนการสันติภาพเป็นกระบวนการเพื่อสร้างความยุติธรรม สื่อมวลชนก็สามารถสวมบทบาทที่สำคัญได้เนื่องจากการติดตามอย่างใกล้ชิดและรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง สามารถเป็น deterrent (สิ่งขัดขวางไม่ให้บ่างสิ่งบางอย่างไม่เกิดขึ้น) ของการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม และการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาชายแดนภาคใต้ แต่จนถึงบัดนี้ สื่อมวลชนรายใหญ่ของไทยส่วนใหญ่ยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่จะเป็น deterrent ที่จริงแล้ว สิ่งที่สื่อมวลชนรายใหญ่นิยมรายงานคือการกระทำของขบวนการปลดปล่อยปาตานี หรือฝ่ายที่สื่อมวลชนยังเรียกว่า “โจรใต้”นั่นเอง เช่น การวางระเบิด การยิง การเผาโรงเรียน รวมไปถึงการแขวนผ้า ซึ่งเป็นชิ้นขาวที่ขายได้ แต่การใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ส่วนใหญ่ไม่เคยเป็นข่าว

ตราบใดที่สื่อมวลชนมีการรายงานข่าวข้างเดียวเช่นนี้ ถึงเมื่อไรก็ชาวบ้านจะไม่ไว้ใจสื่อมวลชน และความไม่ไว้ใจนั้นจะทำให้นักข่าวยิ่งประสบความลำบากในการหาข่าว เพราะชาวบ้านไม่น่าจะพูดความเป็นจริงและให้ความรวมมืออย่างดีแก่นักข่าว อย่าเอาแต่ไล่ข่าวที่น่าจับตา (มี news value)เท่านั้น แต่ผมขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนเป็นกระบอกเสียงของประชาชน สิ่งที่สังคมเราต้องการคือนักข่าวมืออาชีพที่มีใจรักความยุติธรรม ไม่ใช่คนขายข่าว
ท่านลองถามชาวบ้านมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า คุณคิดอย่างไรกับการแขวนป้ายผ้าที่มีข้อความเป็นภาษามลายูที่ใช้ตัวอักษรรูมี สำหรับชาวบ้าน เหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา และไม่ใช่เรื่องที่กระทบชีวิตของพวกเขา เป็นไปได้ว่า ชาวบ้านอาจไม่รู้สึกอะไรเลย แต่สำหรับสื่อมวลชนไทย นี่คือเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งเพราะ เข้าใจผิดเองว่าป้ายผ้าเหล่านี้มีข้อความภาษามลายูว่า “ต้านกระบวนการสันติภาพ” ฉะนั้น นี่คือข่าวที่ขายได้ ผมขอแนะนำให้สื่อมวลชนทำรายงานข่าวตามข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ใช้จินตนาการหรือการตีความเกินเหตุ สื่อภาษาอังกฤษก็ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะสื่อเหล่านี้มีผู้อ่านจากประเทศที่ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาประจำชาติ ได้แก่ มาเลเซีย อิินโดนีเซีย บรูไน และสิงคโปร์ ถ้านักข่าวสื่อภาษาอังกฤษเขียนรายงานข่าวตามความเข้าใจผิดหรือการตีความเอง ผู้อ่านเหล่านี้จะรู้ได้ทันทีและสรุปว่า รายงานชิ้นนั้นไม่มีุคุณภาพ ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วฝ่ายสื่อมวลชนไทยก็ต้องทำการเตียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนโดยให้ทุกสำนักข่าวมีนักข่าวที่สามารถเข้าใจภาษาประเทศเพื่อนบ้านของอาเซียน โดยเฉพาะภาษามลายู (ไม่ใช่ภาษาบาฮาซา) ซึ่งเป็นภาษาที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนอย่างน้อยสำนักและคน

แม้ว่าข่าวการแขวนผ้านั้นดังขนาดไหนก็ตาม สำหรับชาวบ้านในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้กฎหมายพิเศษสามฉบับ (กฎอัยการศึก, พ.ร.ก. กรณีฉุกเฉิน และพ.ร.บ. ความมั่นคง) มีเหตุการณ์อีกเหตุการหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันที่กระทบจิตใจมากกว่าการแขวนป้ายผ้าห นั่นคือการควบคุมตัวของครูสาวตาดีกา (โรงเรียนสอนศาสนาซึ่งใช้ภาษามลายูเป็นหลัก) การควบคุมตัวนั้นเกิดขึ้นในขณะที่ครูคนนั้นเข้าดำิเินินกรรมค่ายฤดูร้อนของโรงเรียน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงควบคัมตัวครูดังกล่าวโดยให้สาเหตุว่า มีคนร้ายหนีเข้าในบริเวณของค่าย (รายละเอียด ขอดูเพจในลิงค์นี้ http://www.deepsouthwatch.org/node/4167)

การควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่สามจังหวัดมักจะเกิดขึ้นโดยไม่มีหมายจับ เพราะตามกฎอัยการศึก ไม่ใช่พ.ร.ก. กรณีฉุกเฉนฯ ซึ่งต้องมีหมายจับในการควบคุมตัวตามกำหนด ผมเคยถามคนที่เคยถูกควบคุมตัวหลายคนว่า ในขณะที่คุณถูกควบคุมตัวมีหมายจับไหม ทุกคนตอบว่า ไม่มี ในกรณีเช่นนี้ มายจับตามพ.ร.ก. จะออกภายในการควบคุมตัว 7 วันตามกำหนดของกฎอัยการศึก และการควบคุมตัวก็ต่ออายุอีก 30 วันตามพ.ร.ก.

สำหรับชาวบ้าน หนึ่งในสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิตที่สุดคือการควบคุมตัว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมตัวของตัวเองหรือสมาชิกครอบครัวหรือมิตรสหาย เพราะเสรีภาพจะถูกจำกัดเป็นเวลา 37 วัน อาจมีการซ้อมทรมานในช่วงการสอบสวนด้วย นอกจากนี้การควบคุมตัวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของคนที่ถูกควบคัมตัวต่อไป เพราะสังคมภายนอกก็จะมองว่า คนที่เคยถูกควบคุมตัวนั้นเป็น “แนวร่วม” ทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนรวมใดๆ ในการก่อความไม่สงบ ตามข้อมูลจากศูนย์ทนายความมุสลิม 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ของคดีความมั่นคงถูกยกฟ้อง ซึ่งหมายความว่า การควบคุมตัวส่วนใหญ่เป็นการจับคนผิด

การควบคุมตัวเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชาวบ้าน แต่แทบไม่มีสื่อกระแสหลักที่รายงานเกี่ยวกับการควบคุมตัวครูสาวตาดีกาครั้งนี้ ทั้งๆ ที่มันเป็นเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจของคนในพื้นที่อย่างรุนแรง โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่มีสถานะเดียวกันกับครูสาวตาดีกาที่ถูกควบคุมตัว ด้วยเหตุนี้ บรรดานักศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดและภูมิภาคอื่นๆ กว่า 500 คน รวมตัวกันเรียกร้องความเป็นธรรม กว่าจะเหตุการณ์การควบคุมตัวครูสาวคนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่รู้จักกัน ต้องมีนักศึกษาที่จัดการประท้วงใหญ่ บริเวณมัสยิดกลางยะลา เพราะที่เป็นข่าวนั้นไม่ใช่การควบคุมตัว แต่เป็นการประท้วง

โดยส่วนตัว ในฐานะเป็นคนที่มาจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพการแสดงออกความคิด ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมการแสดงความคิดเห็นต้องเป็นข่าวใหญ่ แต่การควบคุมตัวไม่เป็นข่าว

ในสายตาของชาวบ้้านและบรรดานักศึกษาที่เรียกร้องความเป็นธรรม เหตุการณ์การควบคุมตัวครูสาวตาดีกาเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงซึ่งเกิดขึ้นประจำในพื้นที่สามจังหวัด แต่เหตุการณ์เหล่านี้แทบจะไม่มีการรายงานข่าว

กระบวนการสันติภาพเป็นกระบวนการเพื่อสร้างความยุติธรรม สื่อมวลชนก็สามารถสวมบทบาทที่สำคัญได้เนื่องจากการติดตามอย่างใกล้ชิดและรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง สามารถเป็น deterrent (สิ่งขัดขวางไม่ให้บ่างสิ่งบางอย่างไม่เกิดขึ้น) ของการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม และการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาชายแดนภาคใต้ แต่จนถึงบัดนี้ สื่อมวลชนรายใหญ่ของไทยส่วนใหญ่ยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่จะเป็น deterrent ที่จริงแล้ว สิ่งที่สื่อมวลชนรายใหญ่นิยมรายงานคือการกระทำของขบวนการปลดปล่อยปาตานี หรือฝ่ายที่สื่อมวลชนยังเรียกว่า “โจรใต้”นั่นเอง เช่น การวางระเบิด การยิง การเผาโรงเรียน รวมไปถึงการแขวนผ้า ซึ่งเป็นชิ้นขาวที่ขายได้ แต่การใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ส่วนใหญ่ไม่เคยเป็นข่าว

ตราบใดที่สื่อมวลชนมีการรายงานข่าวข้างเดียวเช่นนี้ ถึงเมื่อไรก็ชาวบ้านจะไม่ไว้ใจสื่อมวลชน และความไม่ไว้ใจนั้นจะทำให้นักข่าวยิ่งประสบความลำบากในการหาข่าว เพราะชาวบ้านไม่น่าจะพูดความเป็นจริงและให้ความรวมมืออย่างดีแก่นักข่าว อย่าเอาแต่ไล่ข่าวที่น่าจับตา (มี news value)เท่านั้น แต่ผมขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนเป็นกระบอกเสียงของประชาชน สิ่งที่สังคมเราต้องการคือนักข่าวมืออาชีพที่มีใจรักความยุติธรรม ไม่ใช่คนขายข่าว
...................................................................................................................................

เมื่อประมาณ ตีห้า ห้าสิบนาที ของเช้าวันนี้...ผมเขียนข้อความว่า

"เช้าแล้ว จึงได้เวลานอน"

บ่ายนี้ผมตื่นมา ก็ต้องขอบคุณสำหรับหลายความเห็นที่แสดงความปรารถนาดี

แต่มีความเห็นหนึ่ง ที่ทำทีสอนว่า ผมควรไปฝึกบริหารเวลา

ผมก็อยากจะบอกว่า

การอ่านกฎหมาย ต้องอ่านโดยตั้งคำถามถึงเจตนารมณ์และความมุ่งหมายอยู่เสมอ

ส่วนการอ่านข้อความทั่วไปนั้น แม้ไม่เหมือนอ่านกฎหมาย แต่หากอ่านแล้วตั้งคำถามถึงเจตนารมณ์และความมุ่งหมายโดยไม่สรุปง่ายๆ ก็จะเป็นการเหลาความคิดให้คมได้เช่นกัน

อีกไม่กี่วัน ผมกำลังจะเดินทางไปสหรัฐฯ เรียกว่าบินแต่เช้า อยู่บนเครื่องต่อเนื่อง 18 ชั่วโมง แม้เครื่องจอดกลางทางผมก็อาจไม่ลง

พอไปถึงที่หมายแล้วก็มีภารกิจต้อง ตื่นแต่เช้า รับผิดชอบดูแลผู้อื่นต่อ

ความสดชื่นและพร้อมของร่างกายย่อมสำคัญ

ผมจึงเริ่มปรับเวลาล่วงหน้ามาสักพัก อย่างค่อยเป็นค่อยไป

ดังนั้น หากท่านใดอ่านแล้วด่วนสรุปว่านี่ไม่ใช่การบริหารเวลา

เกรงว่า ท่านผู้นั้นอาจลองบริหารทักษะการอ่านและแสดงความเห็นเสียใหม่

การด่วนสรุปผู้อื่น มักทำให้ผู้นั้นเองดูน่าขำขัน

ซึ่งผมก็ย่อมต้องขอบคุณเช่นกัน เพราะตื่นมาสายขนาดนี้ ปกติ 'ไก่' กลับเข้าเล้าไปหมดแล้ว

แต่ก็มีผู้มา 'ปล่อย' ให้ผมหัวเราะได้ !!!

;)
...................................................................................................................................

"ใครจำช่วงตั๊กแตนปาทังก้าระบาดประมาณช่วงปี 2525-2530 ได้บ้าง

จำปีชัดเจนไม่ได้ แต่เคยได้ยินข่าวในช่วงนั้น

แล้วเมืองไทยเคยมีตั๊กแตนระบาดอีกไหมหลังจากนั้น"

มิตรสหายท่านหนึ่ง

"ตั๊กแตนระบาดครั้งนั้นเกิดความเสียหายมหาศาล จนกระทั่งคนไทยได้รับรู้วิธีกำจัดตั๊กแตนอย่างยั่งยืน นั่นคือการกินตั๊กแตน

นับแต่คนไทยได้รับรู้รสชาติของตั๊กแตน ปัญหาตั๊กแตนในประเทศไทยสิ้นสุดลงทันที ไม่เคยมีปัญหาอีกเลย จะมีก็มีแต่หาตั๊กแตนมากินไม่ได

เพราะคนไทยกินแบบกินจริงจัง กินอร่อย อิ่มท้อง กินเป็นล่ำเป็นสัน จนตั๊กแตนที่มาแต่ละทีมืดฟ้ามัวดินหายไปเป็นแถบๆจนเกลี้ยง

พอตั๊กแตนโดนคนไทยกินกันอย่างสนุกสนาน จำนวนที่น่าจะสร้างปัญหาก็ลดลงอย่างฮวบฮาบแทบจะสูญพันธุ์แทน

แถมตั๊กแตนมันเหมือนรับรู้ถึงหายนะแห่งเผ่าพันธุ์ ไม่ค่อยจะกล้าเข้าไทยมาอีกเลย

จนปัจจุบันคนไทยที่ชอบกินตั๊กแตนต้องไปสั่งนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านแทน

ตั๊กแตนปาทังก้าไปอินเดีย เกษตรกรอินเดียฆ่าตัวตาย

ตั๊กแตนปาทังก้าผ่านพม่า เกษตรกรพม่าล้มละลายหมดตัว

ตั๊กแตนปาทังก้ามาถึงไทย คนไทยอิ่ม อร่อย

แล้วคุณล่ะ เคยได้ลิ้มลองตั๊กแตนรึยัง"

มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
.................................................................................................................................

ถ้ามันมีประชาธิปไตยอยู่แล้ว มีการเลือกตั้งอยู่แล้ว มีฝ่ายค้าน มีองค์กรตรวจสอบอิสระ มีสื่อมวลชนที่ 90 %ไม่ชอบรัฐบาล มีภาคประชาชน มีหลายกลุ่มความคิดเห็นอยู่แล้ว เราจะสปริงไปไหนที่ไหนกันคะ?อิรัก อัฟกานิสถาน อิยิปต์ ซีเรีย หรือเกาหลีเหนือ
..................................................................................................................................


เจ็บแล้วจำ คือ คน เจ็บแล้วจน คือ คนเล่นหวย นะครับ แหม่
...............................................................................................................................

หากแท๊กซี่ทวงตังค์คุณ 1 บาท

คำถามนี้ เป็นเพียงกรณีตัวอย่างนะครับ ขออนุญาตถามคุณวินทร์เสียหน่อยครับ ว่า "หากแท๊กซี่ อมตังค์คุณ 1 บาท คุณจะทำอย่างไร?" ระหว่าง

1. "ช่างมันเถอะ แค่บาทเดียว ทวงไปก็เสียเวลาเปล่า" หรือ

2. "ทวงตังค์ ถึงจะแค่บาทเดียว แต่มันก็ไม่ควรจะเป็นของเขา"

ผมเป็นคนหนึ่งครับ ที่เลือกข้อที่ 2 และหลายครั้งที่ผมทำเช่นนั้น แทนที่จะได้ตังค์ 1 บาท แต่กลับกลายเป็นปัญหาที่ต้องโต้เถียงกันยืดยาว หลายคนคงจะมองว่า มันคุ้มค่าเหรอที่จะไปเสียเวลากับเงินแค่ 1 บาท?

ขอตอบว่า สิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่เงิน 1 บาทครับ แต่สิ่งที่ต้องการแท้จริงคือ ต้องการให้แท๊กซี่คันนั้นรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันไม่ใช่

แทบจะทุกครั้งที่ผมได้เงินคืน แต่แทบทุกครั้ง ที่ผมไม่เคยได้คืนมาเลย คือความเข้าใจ

แท๊กซี่ทุกคันที่คืนเงินผม เขาคืนด้วยอารมณ์ประมาณว่า "มึงรีบๆจบเรื่องนี้เถอะ กุรำคาญ" แทบจะไม่มีซักคัน ที่คืนด้วยความคิดที่ว่า "ผมขอโทษและเข้าใจว่าสิ่งที่ผมทำมันไม่ควร"

ผมนำคำถามนี้ไปสอบถามกับกลุ่มสังคมจำนวนหนึ่ง มีผู้ตอบคำถามทั้ง 2 ข้อ แต่อัตราส่วนของคนที่ตอบข้อ 1. "ช่างมันเถอะ แค่บาทเดียว ทวงไปก็เสียเวลาเปล่า" สูงกว่าที่ประมาณร้อยละ 65 กว่าครึ่งของคนที่ตอบข้อ 1.

ถามว่า ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปไหม ผมตอบว่าไม่ แต่ถามว่าผมควรปฏิบัติตัวอย่างไร ในสังคมที่คนกว่าครึ่งตอบข้อ 1 ผมควรเป็นขวานผ่าซากดังเดิม หรือควรก้มหัวยอมรับกระแสสังคมทั้งที่ขัดกับจิตใจ คำถามนี้ ผมยังไม่ได้คำตอบครับ

วานคุณวินทร์ช่วยผมที อย่างน้อยขอแค่แสดงทัศนคติเกี่ยวกับประเด็นนี้ ก็ยังดีครับ เพราะผมเคารพในความคิดของคุณวินทร์ตลอดมา

windywaltz

ตอบ...

ผมใช้แท็กซี่ที่สิงคโปร์บ่อย ไม่เคยเลยที่คนขับไม่ทอนเศษเงินแม้แต่ 10 เซ็นต์ ไม่มีอาการรีรอหรือเล่นบทสโลว์โมชั่น หรือคำพูดแบบ "ผมไม่มีเงินทอน" ฯลฯ เพราะเขาถือกติกามั่นคงมาก เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่น บ้านเรายังต้องเรียนรู้เรื่องความซื่อสัตย์อีกมาก

ผมใช้บริการแท็กซี่ไทยมาราว 25 ปีแล้ว เพราะไม่ชอบขับรถ แน่นอนย่อมเคยเจอปัญหาอย่างที่คุณเจอ แต่ไม่เคยทะเลาะกับคนขับ เพราะ 1.ติดนิสัยทิป ปกติจะให้ทิปแท็กซี่เสมอ จึงไม่เคยรอเงินทอน 2.ผมเตรียมเศษเงินไว้ครบถ้วนเสมอ หากคนขับแท็กซี่ไม่สุภาพ ก็ให้ค่าโดยสารตรงตามมิเตอร์ ไม่ต้องทะเลาะกัน

ปัญหานี้เป็นค่านิยมผิดๆ อีกอย่างหนึ่งของคนประกอบอาชีพนี้ ในระยะยาวจะทำลายวงการของตัวเอง ไม่ทุกคนเป็นอย่างนี้ ผมเคยเจอคนขับแท็กซี่ที่ทอนเงินบาทเดียว หรือรับค่าโดยสารต่ำกว่ามิเตอร์ด้วยหลายครั้ง

วิธีคิดของคุณไม่ผิดหรอกครับ เพียงแต่นี่เป็นหนึ่งในหลายๆ ปัญหาในบ้านเราที่คุณคนเดียวแก้ไม่ได้ เพราะระบบมันเน่าเสีย นอกจากระบบแล้วยังเกี่ยวพันกับวิธีคิด ค่านิยมของคนบ้านเราด้วย นั่นคือโลภมาก วิธีคิดและค่านิยมเดียวกันนี่เองที่ทำให้เราคอร์รัปชั่นได้มโหฬารขนาดนี้ กระทั่งสามารถเผาบ้านเมืองตัวเองได้

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังมีทางแก้อย่างเป็นรูปธรรมและได้ผล และไม่ใช่เรื่องวุ่นวายอะไร นั่นคือผู้โดยสารเตรียมเงินให้ครบถ้วน มีธนบัตร 20, 50, 100 เศษเหรียญ 1, 2, 5, 10 บาทสักหลาย ๆ เหรียญในกระเป๋า ถ้าทุกคนทำอย่างนี้ได้ (ซึ่งไม่ยากอะไรเลย) ปัญหาแท็กซี่โกงเงินก็จะหายวับไปชั่วข้ามคืน แต่มันก็ยังไม่ได้แก้นิสัยโลภ + โกงของคนนะครับ

คุยกับวินทร์, 28 ตุลาคม 2555
http://www.winbookclub.com/takedetail.php?quizid=2427
.......................................................................................................................................



"หากกลัวว่าจะมีการโกง ต้องมาร่วมกันช่วยกันตรวจสอบแนะนำให้โปร่งใส อย่าเอาความกลัวมาแช่แข็งประเทศ จนไม่กล้าที่จะลงทุนอะไร เพราะขณะนี้มีความจำเป็นต้องลงทุนไม่เช่นนั้นในอนาคตประเทศจะแข่งขันได้ลำบาก"

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม เสวนา 37 ปี ประชาชาติธุรกิจ : 'รถไฟฟ้า-ไฮสปีดเทรน' พลิกโฉมประเทศไทย

http://news.parliament.go.th/program/quotes/1085.html
.................................................................................................................................



วัสดุใช้แล้ว อย่างขวดแก้ว และไม้คอร์ก กลายมาเป็นของน่าใช้บนโต๊ะทำงานhttp://www.iurban.in.th/design/cork-glass-desk-accessories/
...............................................................................................................................



Art of Go
..............................................................................................................................

บ่นทิ้งท้ายก่อนบิน free wifi ตอแหลแลนด์ นี่ต้องเอา passport ไปแลก password ให้ จนท จดบันทึกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัวของเรา แถมเล่นได้ชั่วโมงเดียว อ่านป้ายที่โต๊ะเนื่องจาก พรบ คอม บังคับให้ทุกคนแสดงตัวตน กลัว free speech จนเก้าอี้สั่น ขณะที่สนามบินในออสเตรเลีย ถึงปุ๊ป log in เล่น wifi ได้เลย สนามบินที่ Incheon หรือ Schipol ยิ่งแล้วใหญ่ ลงเครื่องปุ๊ประบบ log in.ให้ auto ... นี่ละนะข้อแตกต่างระหว่างประเทศเสรี กับประเทศเผด็จการ... Bye Bye
..............................................................................................................................


10 วลีทรงพลัง เพื่อคนคิดบวก

มาดูกันว่า “10 วลีทรงพลังเพื่อคนคิดบวก” ของริช เดอโวส มีอะไรกันบ้าง

1.“ฉันผิดเอง” (I am wrong) ริช เดอโวส ระบุว่า “ฉันผิดเอง” เป็นคำพูดที่ช่วยเปลี่ยนทัศนคติตัวเราได้ดีที่สุด เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักไม่ยอมรับว่าตัวเองทำผิด โดยเฉพาะเมื่อต้องยอมรับผิดต่อหน้าคนอื่น เจ้าตัวแนะว่า เราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับว่าตัวเองผิด แค่เอ่ยคำว่า “ฉันผิดเอง คุณทำถูกแล้วล่ะ” เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้สัมพันธภาพดีขึ้น ช่วยให้การเจรจาต่างๆ เดินไปข้างหน้า หรือยุติการโต้แย้งที่กำลังเกิดขึ้น

“ฉันผิดเอง” ยังเป็นคำพูดที่แปรเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร แม้การยอมรับว่า “ฉันผิดเอง” จะลดความน่าเชื่อถือของคุณในบางสถานการณ์ลงก็ตาม

2. “ฉันขอโทษ” (I am sorry) หลายๆ ครั้งที่การกล่าวถ้อยคำสั้นๆ นี้เป็นเรื่องยาก แต่การกล่าวคำนี้ให้เป็นนิสัยเป็นสิ่งคุ้มค่า เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์มักปกป้องตัวเอง มักคิดว่าตัวเองถูกเสมอ แต่พอเอ่ยคำนี้ออกมาจะรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก การกล่าวคำว่า “ขอโทษ” แสดงถึงว่าคุณปรารถนาจะกลับมาสานต่อความสัมพันธ์กับบุคคลที่เป็นคู่กรณีกับคุณ

การกล่าว "ขอโทษ" ต้องออกจากส่วนลึกจริงๆ ความรู้สึกนี้ยังเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการแสดงออกทั้งสีหน้าและแววตา ไม่ใช่กล่าวแบบขอไปที เพื่อให้จบๆ ลงเท่านั้น

ผมเองใช้คำว่า “ขอโทษ” ทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำงาน ยกตัวอย่างเวลาที่เรามีโปรโมชั่นแรงๆ และสินค้าไม่พอขาย เพียงกล่าวคำคำนี้ จากหนักจะกลายเป็นเบาทันที ทุกคนพร้อมจะให้อภัยคุณ

3."คุณทำได้" (You can do it) ริช ระบุว่า...ผู้คนจำนวนมากไม่เคยลองทำอะไรเลยเพราะกลัวความล้มเหลว กลัวว่าตัวเองไม่มีชั่วโมงบินมากพอ กลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือหัวเราะเยาะ สำหรับคนเหล่านี้ ริช แนะนำว่า “ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วก็ลงมือได้เลย คุณทำได้!” แน่นอน เมื่อได้ยินคำว่า “คุณทำได้” จะสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย

4.“ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ” (I believe in you) เป็นคำพูดที่ต่อเนื่องจาก “คุณทำได้” (คุณทำได้...ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ) ต่างกันที่เป็นคำพูดที่แสดงถึงความรู้สึกลึกๆ เป็นคำพูดสำหรับผู้นำที่ใช้พูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ พ่อแม่ที่ส่งต่อความรู้สึกนี้กับลูกๆ หรือเจ้านายที่มีต่อลูกน้องที่กำลังเจออุปสรรคและต้องการความช่วยเหลือ

เราสามารถแสดงให้เห็นถึงความ “เชื่อมั่น” ได้ง่ายๆ อาทิ การเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมงานได้แสดงความสามารถ แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่เสนอมานั้นอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้น

5.“ฉันภูมิใจในตัวคุณ” (I am proud of you) เพียงเราเปล่งคำนี้ จะพบว่ามีอานุภาพสูงมากในการสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ฟัง คำพูดที่ว่า “พ่อภูมิใจในตัวลูก” หรือ “ผมภูมิใจในตัวคุณ” “ผมภูมิใจในความสำเร็จของคุณ” เป็นการให้กำลังใจที่ดีมาก โดยปกติแล้วคนไทยเราไม่ค่อยชมเชยผู้อื่นด้วยคำพูดนี้เท่าไหร่นัก

6. คำว่า "ขอบคุณ" (Thank you) ริช ระบุว่า เป็นคำที่ทุกๆ คนอยากได้ยิน และทุกคนสามารถกล่าวได้อย่างไม่ตะขิดตะขวง เรากล่าวคำขอบคุณกับผู้ให้บริการ หรือผู้ที่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เรา กล่าวกับผู้ที่ชมเชยเรา ผู้ที่มีน้ำใจ หรือมีเมตตาต่อตัวเรา แม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

7. "ฉันต้องการคุณ" (I need you) เป็นอีกคำที่มีอานุภาพยิ่งสำหรับคนคิดบวก เพราะบ่งบอกถึงการยอมรับในความสามารถผู้อื่น เป็นคำที่สำคัญมากสำหรับผู้นำ จะเห็นว่าผู้นำหลายๆ คน เมื่อมีตำแหน่งสูงขึ้นเพียงใดยิ่งมองไม่เห็นความสำคัญของผู้มีตำแหน่งต่ำกว่า ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่มีทางที่เราจะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้โดยลำพัง เมื่อคุณกล่าวคำคำนี้ออกมา จะเป็นการสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือที่ทำงาน

8. "ฉันวางใจในตัวคุณ" (I trust you) ความสำเร็จที่ได้รับขึ้นอยู่กับเราได้มอบความไว้วางใจให้กับใครสักคน ว่า จะสามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมาย และไว้ใจได้ว่าจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ เราจำเป็นต้องไว้วางใจเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว รวมไปถึงชุมชน ในสังคมที่ไม่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้

ความไว้วางใจเป็นคุณสมบัติสำคัญของการเป็นผู้นำเช่นกัน เมื่อมีคุณสมบัตินี้ ใครๆ ก็อยากเป็นเหมือนคุณ อยากเป็นเพื่อนคุณ อยากปฏิบัติตามคุณ อยากทำธุรกิจหรือร่วมลงทุนกับคุณริช ระบุไว้ในหนังสือว่า กฎทองของคำคำนี้ คือ จงปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติกับคุณ

9. "ฉันเคารพคุณ" (I respect you) คุณจะได้รับความเคารพกลับมาก็ต่อเมื่อให้ความเคารพผู้อื่น "ฉันเคารพคุณ" จึงเป็นคำพูดที่ทั้ง "ให้" และ "รับ" จากผู้อื่น การเคารพยังเป็นการแสดงออกที่ซ่อนเร้นได้ยาก และสามารถรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ

ริช กล่าวว่า ในช่วงที่เป็นผู้นำองค์กรเขาคิดว่าการเคารพผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ความรู้พื้นฐานทางธุรกิจและวิธีการดำเนินองค์กรจะมีค่าน้อยทันที หากคุณไม่เคารพคนที่คุณทำงานด้วย ถ้าพวกเขาไม่เคารพคุณ เท่ากับคุณไม่ใช่คนที่เป็นผู้นำ "เราทุกคนล้วนต้องการเป็นที่เคารพ ถ้าคุณต้องการความเคารพ ผมแนะนำให้คุณเริ่มต้นด้วยการเคารพผู้อื่นก่อน" ริช เดอโวส ระบุเอาไว้

10. "ฉันรักคุณ" (I love You) เป็นคำพูดทรงพลังที่โอบกอดทุกคนไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกต่อคนรัก ครอบครัว หรือหมู่เพื่อนสนิท เป็นคำพูดที่ผู้ฟังรู้สึกอบอุ่นมากกว่า "ฉันวางใจในตัวคุณ" หรือ "ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ" เป็นคำที่ใช้พูดกับคนที่คุณรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ การพูดว่า "ฉันรักคุณ" เป็นย่างก้าวสำคัญสำหรับทุกๆ คน

Via ส า ร ะ - ภ า พ
via The Youngblood Way ( Stock Investor )
ที่มา : http://www.oknation.net/blog/pukipuki/2011/03/22/entry-2
.................................................................................................................................

..............................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น