จดหมายถึงน้องเฌอ
โดย Rood Thanarak
สวัสดีครับน้องเฌอ
แม้เราจะไม่เคยพบหน้าพูดคุยกันสักครั้ง แต่จากจุดเชื่อมโยงที่ร้านอาหารเล็กๆแห่งนั้น พี่เชื่อว่าเราน่าจะเคยเดินสวนกันบ้าง
พี่เพิ่งอ่านข้อเขียน “แด่สุรเฌอ” จบลง (http://www.facebook.com/note.php?note_id=405561038672) อ่านแล้วอดไม่ได้ที่จะเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงน้องบ้าง เพราะอยากบอกอะไรบางอย่างให้น้องได้รู้ไว้
ก่อนอื่น พี่ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของน้องด้วยใจจริงนะครับ
พี่ทราบข่าวเรื่องนี้เมื่อเที่ยงวันที่ 15 พ.ค. - เพื่อนของพี่คนหนึ่งถ่ายภาพอันลือลั่นภาพนั้นในตอนเช้า เขาส่งให้พี่และสังคมได้เห็น “ความจริง” ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากภาพนั้นแพร่ออกไป เพื่อนคนนั้นจึงได้รู้ว่าชายในภาพคือน้องเฌอ ซึ่งก็เป็นคนกันเองกับผู้ถ่ายภาพ
เหตุการณ์นี้ทำเอาใครที่รู้ข่าวอดช็อกและเศร้าไม่ได้
แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น พี่เองก็พึ่งจะมารู้จากข้อเขียนข้างบนนี้ว่า ณ วินาทีนั้น น้องยังไม่ได้จากพวกเราไป แต่ต้องนอนอยู่เช่นนั้นกว่าชั่วโมง
พี่เสียใจด้วยจริงๆ
………………
สิ่งที่พี่อยากเล่าให้น้องฟัง มันเกี่ยวพันกับครอบครัวของพี่เล็กน้อย
เราเป็นครอบครัวเล็กๆ อยู่กันสี่คนพ่อ แม่ ลูกชาย และลูกสาว – โดยส่วนตัวพี่จัดว่าเราเป็น “ครอบครัวการเมือง” เพราะตั้งแต่พี่จำความได้ พ่อกับแม่ก็นั่งหน้าทีวีดู “เตมีย์ใบ้” ให้สัมภาษณ์สื่อแล้ว
บ้านเราจัดเป็นพวก “เหลืองบ้าง-แดง บ้าง” ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์แต่ละครั้ง แต่ละประเด็น ว่ากันไปตามหลักการและเหตุผล แต่ที่แน่ๆ บ้านเราทุกคนมองการเมืองไทยอย่าง “ตาสว่าง” และ “มุมกว้าง” กว่าที่เห็นในทีวี
กับเรื่องราวครั้งนี้ พ่อและแม่ของพี่ค่อนข้างอคติกับคนเสื้อแดง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจในเมื่อท่านทั้งสองไม่รู้จักสื่อทางเลือก ไม่รู้จักเฟซบุ๊ก ไม่รู้จักทวิตเตอร์ ไม่รู้จักยูทูป – สื่อเดียวที่ท่านมีโอกาสเสพคือโทรทัศน์ฟรีทีวีทั้งหลาย
พ่อมองว่าเหตุการณ์ปะทะรอบนี้มีความเกี่ยวโยงกับคราว 10 เม.ย. ค่อนข้างมาก พ่อมองว่าเหตุการณ์คราวก่อนที่มีทหารระดับสูงเสียชีวิตไปทำให้ค่อนข้าง แน่ชัดว่าฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้มามือเปล่า และทำให้พ่อมองการปะทะรอบนี้เหมือนเป็นการ “ต่อสู้กันสองฝ่าย” ระหว่างกองกำลังติดอาวุธ
สารภาพตามตรง แรกเริ่มพี่ก็มีความเห็นไม่ต่างกับพ่อเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม แต่ตั้งแต่กลางวันของวันที่ 14 พ.ค.ล่วงเลยไปจนถึงกลางคืน พี่เฝ้านั่งติดตามข่าวสารจาก “สื่อทางเลือก” ทั้งหลายจึงได้พบว่านี่มันไม่ใช่การ “ต่อสู้” ของคนถือปืนสองฝ่ายเสียแล้ว แต่มันได้กลายเป็นสภาวะ “ล้อมปราบ” ของทหารรัฐบาลไทย กับผู้ชุมนุมมือเปล่า
สิ่งที่ยืนยันความคิดพี่คือ ในเวลานั้น ตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 16 คน แทบทุกคนถูกยิงศีรษะ ไม่มีใครติดอาวุธ และไม่มีความสูญเสียกับฝ่ายทหารเลยสักนิด
คืนนั้น พี่เข้านอนโดยมีน้ำซึมอยู่รอบดวงตา
…………………………
หลังจากนอนน้ำตาซึมให้กับการ “ล้อมปราบ เรียงแถวฆ่า” ที่เกิดขึ้นทั้งคืน
เช้าวันที่ 15 พ.ค. พี่ตื่นขึ้นมาพบหน้าครอบครัว พวกเรายังคงดูข่าวอย่างปกติหน้าทีวี และมีมุมมองเหมือนเคยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือการ “ปะทะกันสองฝ่าย”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น พี่จึงได้พบภาพของเฌอในอินเตอร์เนตที่ส่งมาจากตัวผู้ถ่ายภาพโดยตรง
สิ่งแรกที่พี่ทำคือยกโน้ตบุ๊กทั้งเครื่องเดินลงมาชั้นล่างขณะที่ครอบครัวกำลังนั่งกินข้าวดูข่าวกันอยู่
พี่เรียกพ่อ แม่ น้องสาว มานั่งรวมกัน พร้อมกับเปิดภาพอันน่าเศร้าของน้องให้ทุกคนดูกันจากจอของโน้ตบุ๊ก
พี่พูดว่า
แม้เราจะไม่เคยพบหน้าพูดคุยกันสักครั้ง แต่จากจุดเชื่อมโยงที่ร้านอาหารเล็กๆแห่งนั้น พี่เชื่อว่าเราน่าจะเคยเดินสวนกันบ้าง
พี่เพิ่งอ่านข้อเขียน “แด่สุรเฌอ” จบลง (http://www.facebook.com/note.php?note_id=405561038672) อ่านแล้วอดไม่ได้ที่จะเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงน้องบ้าง เพราะอยากบอกอะไรบางอย่างให้น้องได้รู้ไว้
ก่อนอื่น พี่ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของน้องด้วยใจจริงนะครับ
พี่ทราบข่าวเรื่องนี้เมื่อเที่ยงวันที่ 15 พ.ค. - เพื่อนของพี่คนหนึ่งถ่ายภาพอันลือลั่นภาพนั้นในตอนเช้า เขาส่งให้พี่และสังคมได้เห็น “ความจริง” ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากภาพนั้นแพร่ออกไป เพื่อนคนนั้นจึงได้รู้ว่าชายในภาพคือน้องเฌอ ซึ่งก็เป็นคนกันเองกับผู้ถ่ายภาพ
เหตุการณ์นี้ทำเอาใครที่รู้ข่าวอดช็อกและเศร้าไม่ได้
แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น พี่เองก็พึ่งจะมารู้จากข้อเขียนข้างบนนี้ว่า ณ วินาทีนั้น น้องยังไม่ได้จากพวกเราไป แต่ต้องนอนอยู่เช่นนั้นกว่าชั่วโมง
พี่เสียใจด้วยจริงๆ
………………
สิ่งที่พี่อยากเล่าให้น้องฟัง มันเกี่ยวพันกับครอบครัวของพี่เล็กน้อย
เราเป็นครอบครัวเล็กๆ อยู่กันสี่คนพ่อ แม่ ลูกชาย และลูกสาว – โดยส่วนตัวพี่จัดว่าเราเป็น “ครอบครัวการเมือง” เพราะตั้งแต่พี่จำความได้ พ่อกับแม่ก็นั่งหน้าทีวีดู “เตมีย์ใบ้” ให้สัมภาษณ์สื่อแล้ว
บ้านเราจัดเป็นพวก “เหลืองบ้าง-แดง บ้าง” ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์แต่ละครั้ง แต่ละประเด็น ว่ากันไปตามหลักการและเหตุผล แต่ที่แน่ๆ บ้านเราทุกคนมองการเมืองไทยอย่าง “ตาสว่าง” และ “มุมกว้าง” กว่าที่เห็นในทีวี
กับเรื่องราวครั้งนี้ พ่อและแม่ของพี่ค่อนข้างอคติกับคนเสื้อแดง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจในเมื่อท่านทั้งสองไม่รู้จักสื่อทางเลือก ไม่รู้จักเฟซบุ๊ก ไม่รู้จักทวิตเตอร์ ไม่รู้จักยูทูป – สื่อเดียวที่ท่านมีโอกาสเสพคือโทรทัศน์ฟรีทีวีทั้งหลาย
พ่อมองว่าเหตุการณ์ปะทะรอบนี้มีความเกี่ยวโยงกับคราว 10 เม.ย. ค่อนข้างมาก พ่อมองว่าเหตุการณ์คราวก่อนที่มีทหารระดับสูงเสียชีวิตไปทำให้ค่อนข้าง แน่ชัดว่าฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้มามือเปล่า และทำให้พ่อมองการปะทะรอบนี้เหมือนเป็นการ “ต่อสู้กันสองฝ่าย” ระหว่างกองกำลังติดอาวุธ
สารภาพตามตรง แรกเริ่มพี่ก็มีความเห็นไม่ต่างกับพ่อเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม แต่ตั้งแต่กลางวันของวันที่ 14 พ.ค.ล่วงเลยไปจนถึงกลางคืน พี่เฝ้านั่งติดตามข่าวสารจาก “สื่อทางเลือก” ทั้งหลายจึงได้พบว่านี่มันไม่ใช่การ “ต่อสู้” ของคนถือปืนสองฝ่ายเสียแล้ว แต่มันได้กลายเป็นสภาวะ “ล้อมปราบ” ของทหารรัฐบาลไทย กับผู้ชุมนุมมือเปล่า
สิ่งที่ยืนยันความคิดพี่คือ ในเวลานั้น ตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 16 คน แทบทุกคนถูกยิงศีรษะ ไม่มีใครติดอาวุธ และไม่มีความสูญเสียกับฝ่ายทหารเลยสักนิด
คืนนั้น พี่เข้านอนโดยมีน้ำซึมอยู่รอบดวงตา
…………………………
หลังจากนอนน้ำตาซึมให้กับการ “ล้อมปราบ เรียงแถวฆ่า” ที่เกิดขึ้นทั้งคืน
เช้าวันที่ 15 พ.ค. พี่ตื่นขึ้นมาพบหน้าครอบครัว พวกเรายังคงดูข่าวอย่างปกติหน้าทีวี และมีมุมมองเหมือนเคยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือการ “ปะทะกันสองฝ่าย”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น พี่จึงได้พบภาพของเฌอในอินเตอร์เนตที่ส่งมาจากตัวผู้ถ่ายภาพโดยตรง
สิ่งแรกที่พี่ทำคือยกโน้ตบุ๊กทั้งเครื่องเดินลงมาชั้นล่างขณะที่ครอบครัวกำลังนั่งกินข้าวดูข่าวกันอยู่
พี่เรียกพ่อ แม่ น้องสาว มานั่งรวมกัน พร้อมกับเปิดภาพอันน่าเศร้าของน้องให้ทุกคนดูกันจากจอของโน้ตบุ๊ก
พี่พูดว่า
“พ่อดูสิ !! โลกมันไปไหนกันแล้ว แต่รัฐบาลแม่งก็ยังปิดสื่อเหมือนเมื่อสามสิบปีก่อน สื่อที่พึ่งพาได้วันนี้คือสื่อทางเลือก ไม่ใช่ไอ้ทีวีช่อง 11 หรือ TPBS เนี่ย
พ่อดูรูปนี้แล้วเห็นมั๊ย เห็นชัดๆว่านี่มันไม่ใช่การสู้กันระหว่างปืนกับปืน เห็นมั๊ย ไหนวะผู้ก่อการร้าย ไหนอ่ะกองกำลังติดอาวุธ
คนตายนี่มันคนธรรมดากันทั้งนั้นนะ นี่เพื่อนถ่ายส่งมาให้เองเลย มันคือของจริง เรื่องจริง มันคือการ “ล้อมปราบ เรียงแถวฆ่า” โดยทหาร สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จนถึงตอนนี้ มันไม่ต่างอะไรกับ 14 ตุลา ที่พ่อก็เคยผ่านมา เห็นมั๊ย?”
พ่อเหลือบดูภาพของเฌอแล้วเงียบไปเกือบครึ่งนาที - สีหน้าพ่อเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“อือ ...”
พ่อพูดเพียงแค่นี้ ทำสีหน้าเหมือนได้เจอสิ่งคุ้นเคย
พ่อไม่พูดอะไรอีก
แม่ไม่พูดอะไรอีก
น้องสาวไม่พูดอะไรอีก
พี่เอง ก็ไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มอีก
จากวินาทีนั้นที่ทุกคนได้เห็นภาพของเฌอ ครอบครัวเราก็เข้าใจแล้วว่าจริงๆมันเกิดอะไรขึ้นบนถนนข้างนอกนั่น
จนถึงวันนี้ พ่อดูทีวีด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยฟังก็เลิกฟัง จากที่เคยด่าก็ไม่ด่า จากที่เคยเห็นด้วย หลายครั้งกลับด่า
เราเลิกด่าแล้วว่าเสื้อแดงมีปืนหรือไม่ หรือทำไมต้องเผายาง เพราะเมื่อเราเปลี่ยนมุมมองต่อเหตุการณ์ เราก็เข้าใจมันมากขึ้นทันที เป็นพี่ อย่าว่าแต่ปืนเลย โดนทหารล้อมปราบมีอะไรในมือพี่ก็ใช้ทั้งนั้นแหละ
ใช่ครับ – ภาพอันน่าสลดของเฌอ ทำให้ครอบครัวเรา “ตื่น” ขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ
……………………
เพราะเราไม่รู้จักกัน พี่เลยไม่รู้ว่าโตขึ้นเฌอตั้งใจจะเป็นอะไร
เป็นนักข่าวเป็นนักหนังสือพิมพ์ เป็นตากล้อง เป็นฝ่ายศิลป์ หรือเป็นนักเขียน
น่าเสียดายที่เฌอไม่มีโอกาสจะเติบโตไปมากกว่านี้ ไปตามฝันของตนเองได้ไกลกว่านี้ แต่บอกตามตรง ในฐานะคนที่อยู่บนโลกนี้มานานกว่าเฌอ พี่อยากบอกว่าเฌอจงดีใจเถิดที่ได้จากโลกนี้ไปก่อนพวกเรา จากโลกอันโหดร้าย จากโลกอันป่าเถื่อน จากโลกอันไร้แก่นสารใบนี้ไปเสียได้
พูดตามตรง ยิ่งอยู่ไปนานๆ พี่กลับอยากอยูในโลกห่วยๆใบนี้น้อยลงเรื่อยๆ
พี่อยากบอกเฌอว่า - แม้เฌอจะจากไปแล้ว แต่การจากไปของเฌอได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอันสำคัญในครอบครัวเล็กๆของพี่ และพี่ก็เชื่อด้วยว่ามันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับคนอีกมาก ไม่เฉพาะแต่ครอบครัวพี่เท่านั้น
แม้ช่วงเวลา 17 ปีที่เฌออยู่บนโลกนี้ จะดูสั้นมากเมื่อเทียบกับใครหลายคน แต่โลกห่วยๆใบนี้ก็ยังมีอีกหลายคนที่ใช้ชีวิตนานกว่าเฌอหลายเท่า อยู่ไปเนิ่นนาน โดยไม่อาจสร้างสิ่งดีๆให้เกิดต่อมนุษย์ด้วยกันได้ ดังเช่นการจากไปของเฌอ
เฌอได้ทำให้พี่เห็นว่า การจากไปของหนุ่มอายุ 17 ปีนั้นสามารถสร้างสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นได้ มากกว่าชีวิตของชายแก่หลายคน
เฌอได้จากไปอย่างยิ่งใหญ่แล้วครับ จากไปอย่างดีพร้อม เหมาะสมกับการที่ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งพึงทำได้
หลับให้สบายนะครับ
แล้วเจอกันใหม่ที่ฝั่งโน้น
รุจ ธนรักษ์
ปล. พี่ชั่งใจอยู่นาน ว่าจะนำรูปอันน่าหดหู่ของเฌอมาแปะไว้อีกครั้งดีหรือไม่ ท้ายสุดแล้วพี่ตัดสินใจเอามาแปะไว้อีกครั้งนะครับ เผื่อใครผ่านมาเห็นจดหมายฉบับนี้ จะได้เห็นสิ่งสุดท้ายที่เฌอได้ทิ้งไว้เตือนสติกับพวกเราถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พี่ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
...............................................................................................................
การจากไปของเฌอ - 3 ปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก
แล้ววันนี้ก็มาถึงอีกครั้ง วันครบรอบการจากไปของ “เฌอ” เหยื่อกระสุนที่เสียชีวิตบร ิเวณซอยรางน้ำ โดยมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่บนแผ ่นดินไทยเพียง 17 ปี
ผมเคยเขียน “จดหมายถึงน้องเฌอ” เป็นโน้ตสั้นๆไปแล้วไม่กี่ว ันหลังเกิดเหตุการณ์ https://www.facebook.com/ notes/rood-thanarak/ จดหมายถึงน้องเฌอ/ 119651818069131 และมันก็แพร่หลายออกไปอย่าง รวดเร็วในเวลานั้นเพราะมันเ ป็นประเด็นที่คนกำลังสนใจ สุดท้ายก็มีเสียงสะท้อนกลับ มามากมายทั้งในเชิงสร้างสรร ค์และบัดซบ
ผมเคยตั้งใจว่าจะไม่เขียนถึ งเรื่องน้องเฌออีก คิดว่าไม่มีเหตุอันใดให้ผมต ้องรื้อฟื้นเรื่องนี้ ไม่อยากรื้อฟื้นหรือพูดถึง แต่ไม่รู้ทำไมปีนี้เปลี่ยนใ จ อยากเล่าบางประเด็นให้คนอื่ นๆได้รับรู้มากขึ้นกว่าคำพร รณาที่โศกเศร้าในโน้ตชิ้นนั ้น
ผมกับ เฌอ ไม่รู้จักกัน ผมอาจเคยเดินสวนกับเขา แต่เราไม่เคยพูดคุยกัน และผมก็ไม่รู้จักพ่อ แม่ พี่น้อง หรือญาติครอบครัวของเฌอสักค น
เฌอคือลูกของเพื่อน ของเพื่อน และของเพื่อน ผมคนหนึ่ง พวกเขาสนิทสนมกันในแวดวงของ เขาซึ่งไม่ใช่แวดวงที่่ผมคุ ้นเคย เพื่อนผมนิยามว่า เฌอ อยู่ในแวดวงคนทำหนังสือ คนทำสื่อ และกลุ่มคนเคลื่อนไหวประเด็ นทางสังคม
เย็นวันหนึ่งผมถามกับเพื่อน ว่า “ไปไหนมา” เพราะเห็นรูปเขาบนเฟซบุ๊ค เพื่อนบอกว่าไปจัดกิจกรรมรำ ลึกผู้สูญเสียในช่วงวันที่ 10 เมษาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไ ตย และนั่นน่าจะเป็นครั้งแรกที ่ผมได้เห็นรูปเฌอทำกิจกรรมแ บบผ่านๆตา ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ก็แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เกิดการ “ล้อมปราบ” ภายใต้วาทกรรมกระชับพื้นที่ เพื่อนคนหนึ่งที่อาศัยอยู่แ ถวซอยรางน้ำเล่าให้ฟังว่าได ้ยินเสียงกระสุนดังทั้งคืน พร้อมกับมีรายงานข่าวแสดงป้ าย “เขตกระสุนจริง” บริเวณถนนราชปรารภ ผมได้แต่บอกเพื่อนคนนั้นว่า เอ็งหลบอยู่ในบ้านดีๆ ขอให้ปลอดภัย
เช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อนคนนั้นถ่ายภาพคนนอนตา ยข้างถนนได้จากหน้าคอนโดเขา พอดี เขาเอารูปเผยแพร่ผ่าน Facebook ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นภา พก็แพร่ออกไปยังสื่อต่างประ เทศ ถ้าผมจำไม่ผิด มันน่าจะไปถึง CNN เลยด้วยซ้ำ และยังมีเรื่องราวอีกมากมาย เกิดขึ้นต่อจากนั้น จากภาพเพียงภาพเดียว
หลายคนที่เห็นภาพกล่าวหาว่า เป็นภาพแต่ง ภาพปลอม ทั้งที่เพื่อนผมถือ Raw File ต้นฉบับอยู่กับมือ
เรื่องที่น่าเศร้ากว่านั้นค ือเมื่อภาพถ่ายแพร่หลายออกไ ป เพื่อนผมผู้ถ่ายภาพจึงได้รู ้ว่าคนที่เสียชีวิตในภาพนั้ นคือ ....น้องเฌอ
ลองนึกสถานการณ์ดูว่าพอคนแช ร์ภาพออกไปเยอะๆ ก็มีใครสักคนโทรมาพูดว่า “เฮ่ย นี่มันเฌอหรือเปล่า”
เพื่อนฝูงทุกคนที่รู้ข่าวนี ้ ณ วันนั้น ตกใจ ช็อค เศร้า สลด และหดหู่
โลกมันจะกลมอย่างโหดร้ายอะไ รขนาดนั้น
เพื่อนเล่าให้ฟังว่าเฌอเคยไ ปร่วมขบวนพันธมิตร และ ณ วันที่เสียชีวิต เขาก็ยังไม่รู้จักการเคลื่อ นไหวของคนเสื้อแดงสักเท่าไห ร่เลย เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ ่งที่พยายามจะเข้าไปแยกราชป ระสงค์เพื่อไปดูให้เห็นกับต าว่าอะไรเป็นอะไร และที่แน่ๆเฌอไม่ใช่ “ผู้ชุมนุมเสื้อแดง” ไม่ใช่ “ชายชุดดำ” ไม่มีปืนในมือ และไม่ใช่ “ผู้ก่อการร้าย”
ในวันเวลานั้น เรารู้เพียงแค่ว่าเฌอนอนเสี ยชีวิตอยู่เพราะโดนยิง เรามารู้ภายหลังว่าที่โดนยิ งนั้นไม่ได้เสียชีวิตทันทีแ บบในหนัง แต่กลับต้องนอนแน่นิ่งเช่นน ั้นอยู่เป็นชั่วโมงเพราะไม่ มีใครสามารถเข้าไปช่วยเหลือ ได้
ในวันนั้น ทหารไทยยิงทุกอย่างที่เคลื่ อนไหว ไม่ว่าคุณคือใคร คุณจะได้รับกระสุนอย่างเท่า เทียมกันหมด
สุดท้าย อีกไม่กี่วันจากนั้น งานศพของ เฌอ จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผ มไปงานศพของ “คนแปลกหน้า” ไปทั้งที่ไม่รู้จักใครเลยทั ้งงาน ไม่รู้จักผู้เสียชีวิต ไม่รู้จักครอบครัวเขา ไม่รู้จักใครทั้งสิ้น แต่ก็ไปกราบศพ แล้วก็ยังจำได้ถึงวันนี้ว่า ได้พูดอะไรเอาไว้หน้าศพ
ผมบอกว่า “........”
..........
........
.....
....
...
..
.
โดยปกติแล้ว เป็นไปได้ยากมากๆที่คนที่มี ทางเดินชีวิตแบบผมจะได้รู้จ ักกับคนอย่างเฌอ เรียนมัธยมที่โรงเรียน A ต่อมหาวิทยาลัย B เรียนปริญญาโทที่ C ทำงานในแวดวง E,F,G เป็นไปได้น้อยมากๆที่จะได้ร ู้จักกับคนในแวดวงแบบที่เฌอ อยู่
ผมเพียงแค่โชคดีที่มีเพื่อน หลายกลุ่ม ทำให้ได้รู้จักคนหลายแบบ และนั่นคือประเด็นที่อยากเล ่าสู่กันฟังเกี่ยวกับเฌอ
เรื่องราวน่าเศร้าของเฌอ ทำให้ ณ นาทีนั้น ผมสัมผัสมันได้ด้วยตัวเองจร ิงๆว่า “คนตาย” ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงานข่า ว
คำว่า “คนตาย” กลายเป็นคน เป็นมนุษย์ มีเลือด มีเนื้อ มีพ่อ มีแม่ มีเพื่อน มีพี่ เหมือนเพื่อนฝูงของผมที่นอน อยู่บ้านไม่ต้องไปทำงาน เพราะทุกบริษัทประกาศวันหยุ ดให้รัฐดำเนินการล้อมฆ่าผู้ ชุมนุมได้สะดวก
การที่เรามีคนรู้จัก มีเพื่อน มีน้อง มีลูก “ตาย” สักคน มันเป็นเรื่องน่าเศร้ากว่าก ารเห็นคนตายในรายงานข่าวมาก นัก และนั่นทำให้เราสัมผัสได้จร ิงๆว่าการล้อมฆ่าที่กำลังเก ิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ ถูกต้องแน่ๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตา ม
ไม่มีใครควรตายเพราะการเมือ ง
ไม่มีใครควรตายโดยอำนาจรัฐ
ไม่มีใครควรตายโดยไม่มีโอกา สแก้ต่างตนเองในกระบวนการยุ ติธรรม
และที่สำคัญ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ได้เ ป็นผู้ชุมนุม ไม่เคยไปชุมนุม ไม่ใช่ชายชุดดำ ไม่มีปืน ไม่มีระเบิดในมือ ..... เขาไม่ควรตาย ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะเขาจะ ต้องตาย
และที่สำคัญไปกว่านั้นอีกก็ คือ จนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครเลยที่ต้องรับผิ ดชอบในความตายของเขา
Unfortunately some people died
รุจ ธนรักษ์
15.5.56
ภาพประกอบจาก: https://www.facebook.com/ photo.php?fbid=101514485710 31699&set=a.376656526698.1 58748.108882546698&type=1& theater
แล้ววันนี้ก็มาถึงอีกครั้ง วันครบรอบการจากไปของ “เฌอ” เหยื่อกระสุนที่เสียชีวิตบร
ผมเคยเขียน “จดหมายถึงน้องเฌอ” เป็นโน้ตสั้นๆไปแล้วไม่กี่ว
ผมเคยตั้งใจว่าจะไม่เขียนถึ
ผมกับ เฌอ ไม่รู้จักกัน ผมอาจเคยเดินสวนกับเขา แต่เราไม่เคยพูดคุยกัน และผมก็ไม่รู้จักพ่อ แม่ พี่น้อง หรือญาติครอบครัวของเฌอสักค
เฌอคือลูกของเพื่อน ของเพื่อน และของเพื่อน ผมคนหนึ่ง พวกเขาสนิทสนมกันในแวดวงของ
เย็นวันหนึ่งผมถามกับเพื่อน
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เกิดการ “ล้อมปราบ” ภายใต้วาทกรรมกระชับพื้นที่
เช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อนคนนั้นถ่ายภาพคนนอนตา
หลายคนที่เห็นภาพกล่าวหาว่า
เรื่องที่น่าเศร้ากว่านั้นค
ลองนึกสถานการณ์ดูว่าพอคนแช
เพื่อนฝูงทุกคนที่รู้ข่าวนี
โลกมันจะกลมอย่างโหดร้ายอะไ
เพื่อนเล่าให้ฟังว่าเฌอเคยไ
ในวันเวลานั้น เรารู้เพียงแค่ว่าเฌอนอนเสี
ในวันนั้น ทหารไทยยิงทุกอย่างที่เคลื่
สุดท้าย อีกไม่กี่วันจากนั้น งานศพของ เฌอ จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผ
ผมบอกว่า “........”
..........
........
.....
....
...
..
.
โดยปกติแล้ว เป็นไปได้ยากมากๆที่คนที่มี
ผมเพียงแค่โชคดีที่มีเพื่อน
เรื่องราวน่าเศร้าของเฌอ ทำให้ ณ นาทีนั้น ผมสัมผัสมันได้ด้วยตัวเองจร
คำว่า “คนตาย” กลายเป็นคน เป็นมนุษย์ มีเลือด มีเนื้อ มีพ่อ มีแม่ มีเพื่อน มีพี่ เหมือนเพื่อนฝูงของผมที่นอน
การที่เรามีคนรู้จัก มีเพื่อน มีน้อง มีลูก “ตาย” สักคน มันเป็นเรื่องน่าเศร้ากว่าก
ไม่มีใครควรตายเพราะการเมือ
ไม่มีใครควรตายโดยอำนาจรัฐ
ไม่มีใครควรตายโดยไม่มีโอกา
และที่สำคัญ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ได้เ
และที่สำคัญไปกว่านั้นอีกก็
Unfortunately some people died
รุจ ธนรักษ์
15.5.56
ภาพประกอบจาก: https://www.facebook.com/
.........................................................................................................................................
» ระวังไว้ !? หากองค์กรไหนยังใช้ `การคิดแบบเดิม´
ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน ปรมาจารย์ด้านความคิดสร้างส
● การคิดแบบโต้แย้งวิจารณ์ (Critical Thinking)
● การคิดแบบตรรก (Logical Thinking)
●
การคิดแบบตัดสินประเมิน (Judgment Thinking)
โดยใช้การถกเถียงกัน(Argume nt) เป็นเครื่องมือตัดสินที่มุ่ งหาว่าใครผิด ใครถูก จนเป็นการคิดแบบ “ฉันถูก เธอผิด” (I am right, you are wrong)
นั้นไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ การบริหารงานไปได้อย่างราบร ื่น รุดหน้า และสำเร็จอย่างมีประสิทธิภา พ...เท่าที่ควร
::::::::::::::::
ตัวอย่าง `การคิดแบบเดิม´ ที่พบได้บ่อยๆ ...
ในการประชุมแห่งหนึ่ง ผู้ร่วมประชุมต้องการหาวิธี ใหม่ๆ หรือความคิดใหม่ๆ (New Ideas) เพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่
เมื่อมีสมาชิกเสนอวิธีแก้ปั ญหาแบบใหม่วิธีหนึ่งในที่ปร ะชุม ความคิดนั้นมีส่วนที่เป็นปร ะโยชน์อยู่ประมาณ 95% และมีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่อง อยู่บ้างประมาณ 5%
แต่เป็นจุดอ่อนและปัญหา 5% นี้เอง ที่คนมักจะหยิบยกขึ้นมาถก และว่า "ยังไม่ดีพอ ยังไม่สมบูรณ์แบบ"
ช่วงของการยกจุดอ่อนขึ้นมาแ ย้งผู้เสนอนั้น ผู้คนในที่ประชุมคึกคักมีชี วิตชีวาขึ้นมาทันที และดูจะเห็นตรงกันและเข้าใจ สิ่งที่คนยกมาแย้งได้ง่ายมา ก
เมื่อมีใครคนหนึ่งแย้งขึ้นม าก็จะมีคนอภิปรายสนับสนุนข้ อแย้งนั้นได้ยืดยาวอย่างมีร สชาติ พร้อมยกกรณีตัวอย่างมาอธิบา ยประกอบให้เห็นอย่างเข้มแข็ งและเป็นปึกแผ่นว่าความคิดน ี้ดีแต่ใช้ไม่ได้หรอก
เมื่อมีคนเห็นจุดอ่อนมากมาย ความคิดใหม่ที่คนเสนอขึ้นมา นั้นก็ตกไป
พอมีคนเสนอความคิดอื่นขึ้นม าอีก ก็มีคนยก 5% ขึ้นมาแย้งอีกตามครรลองเดิม ประชุมกันสองสามชั่วโมงยังห าข้อสรุปไม่ได้
ในแต่ละวัน เวลาส่วนหนึ่งในการทำงานของ หลายๆ คนโดยเฉพาะผู้บริหารและหัวห น้างาน จึงใช้ไปกับการประชุม เพราะบางเรื่องประชุมไม่เสร ็จในครั้งเดียวเพราะยังคิดห าข้อสรุปไม่ได้ งานของตนเองก็รออยู่ที่โต๊ะ
จนผู้คนบางส่วนรู้สึกว่าตนท ำงานไม่ทันเพราะงานเยอะมาก ซึ่งในกรณีที่พูดถึงกันนี้อ าจเป็นไปได้ว่า งานก็เยอะ แต่เวลาในการทำงานมีน้อย เพราะประชุมนาน
::::::::::::::::
`การคิดแบบเดิม´ ซึ่งทำให้คนคิดและพูดจุด 5% กันเป็นส่วนใหญ่นั้น ทำให้เกิด `สิ่งที่น่าเสียดาย´ ในบริษัทและองค์กรต่างๆ เช่น...
1. ทำให้คนไม่กล้าคิด
เพราะเห็นว่าความคิดของตนอา จไม่สมบูรณ์แบบมากพอ เพราะคิดอย่างไรก็มีจุดบกพร ่อง จุดอ่อน
2. ทำให้คนที่คิดได้ไม่กล้าพูด เสนอความคิดของตนแก่ที่ประช ุม
เพราะรู้ว่าจะมีคนหาเจอ 5% และนำมาแย้งความคิดของตนแน่ นอน ถ้าเป็นเช่นนั้นแม้ตนเสนอไป ก็ย่อมไม่ผ่านการพิจารณาอยู ่ดี เพราะฉะนั้นพูดไปก็ไม่คุ้ม เหมือนอยู่ดีๆ ก็ขึ้นเวทีไปให้คนอื่นชก ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ามีคนส่วนห นึ่งพร้อมชกอยู่แล้ว
::::::::::::::::
3. ทำให้คนบางส่วนมีแนวโน้มที่ จะเลือกเป็นคนคอยโต้แย้งมาก กว่าจะเลือกเป็นคนคิดใหม่
เพราะระหว่างการเป็นคนเสนอค วามคิด แล้วถูกคนอื่นโต้แย้ง คัดค้าน กับการเป็นคนไม่เสนอความคิด แต่คอยโต้แย้งความคิดของคนอ ื่นนั้น คนส่วนใหญ่เลือกที่จะคอยแย้ งมากกว่า
ซึ่งอาจเป็นเพราะ...การคิดใ ห้ได้ความคิดใหม่นั้นทำได้ย ากกว่า และต้องรับศึกจากคนโต้แย้งม ากกว่า
ในทางตรงข้าม การคอยโต้แย้งความคิดของคนอ ื่นนั้นดูจะทำได้สบายๆ ไม่ต้องออกแรงคิดอะไรสักเท่ าไรก็พบจุดที่จะแย้งใครก็ได ้
และเหตุหนึ่งที่การโต้แย้งห รือโจมตีความคิดของคนอื่นดู ดึงดูดใจคนบางคนมากกว่า เพราะผู้โต้แย้งดูจะเป็นฝ่า ยรุกไล่คนอื่น ทำให้รู้สึกเหนือกว่า เพียงแต่คอยแย้งให้อีกฝ่ายจ นมุมให้ได้เท่านั้น ขณะที่คนเสนอความคิดต้องคอย ตั้งรับแรงปะทะจากคนหลายคน
4. ทำให้เกิดทัศนคติที่คลาดเคล ื่อนแก่ผู้ที่เข้ามาทำงานให ม่ๆว่าการเป็นคนโต้แย้งและห าข้อบกพร่องของความคิดคนอื่ นได้ดูเหมือนเป็นคนเฉียบคม และแน่กว่าคนที่คิดความคิดใ หม่ๆ ได้เสียอีก
เด็กรุ่นใหม่อาจเห็นว่าท่าท ีของรุ่นพี่ที่กำลังพูดคัดค ้านและโต้แย้งคนอื่นนั้น ดูมาดมั่นและมีพลัง ส่วนคนที่ถูกแย้งนั้นส่วนให ญ่เรียบๆ ไม่หวือหวา ร้อนแรงเข้มข้นเหมือนคนที่ก ำลังโต้แย้ง
คนรุ่นหลังที่มีทัศนคติเช่น นี้ก็จะเลียนแบบและสืบทอดกา รเป็นนักโต้แย้ง และไม่คิดอะไรใหม่ๆ ต่อไป เพราะตนคิดว่าจะช่วยที่ประช ุมตรวจสอบความคิดของคนอื่น ซึ่งตนถือว่าเป็นบทบาทที่สำ คัญมาก
::::::::::::::::
5. ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไ ขอย่างทันกาลตามที่ควร
เพราะความคิดทั้งหลายไม่ผ่า นด่าน 5% คนมักเคยชินกับการวิเคราะห์ ข้อดี-ข้อเสีย พอมีข้อเสียก็ทิ้งความคิดนั ้น แล้วหวังว่าจะได้ความคิดใหม ่ที่ดีมากๆ
คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในก ารแก้ปัญหาจึงไม่ลงมือแก้ปั ญหาเสียทีเพราะยังหาวิธีแก้ ไม่ได้ อยากแก้ไขให้ได้เร็วๆ แต่ในใจก็คิดว่าใครก็อยากแก ้ แต่ที่ประชุมยังคิดไม่ออก
6. ทำให้กำลังใจของคนที่หมั่นเ พียรคิดหาทางช่วยแก้ปัญหาถู กบั่นทอน
เพราะเสนอความคิดใหม่ทีไร จะมีคนนำ 5% ขึ้นมาทักท้วงทุกที และมักถูกย้อนถามว่าแล้วจะจ ัดการอย่างไรกับ 5% ที่จะเกิดขึ้น
และไม่ว่าคนเสนอความคิดจะหา ทางแก้ให้สักเท่าไร คนโต้แย้งก็จะสามารถหา 5% ของวิธีแก้ได้อีกอยู่ดี คนที่เสนอหนึ่งครั้งแล้วมัก จะเข็ดและไม่เสนออีก ยกเว้นคนที่มุ่งมั่นที่จะช่ วยจริงๆ และ พร้อมอดทนเพื่อฝึกตนให้เข้ม แข็งมั่นคง หนักแน่นปานภูผาหิน
::::::::::::::::
7. ทำให้การประชุมเหือดแห้ง ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา
ผู้คนบางส่วนเหนื่อยใจ ซึม และเพิกเฉย การประชุมอาจไม่มีประสิทธิภ าพ สมกับความรู้และตำแหน่งของค นที่ร่วมประชุม แต่ทุกวันที่ผ่านไป ผู้คนยังคงดำเนินชีวิตอยู่ใ นวังวนของการประชุมรูปแบบเด ิมนี้ เพราะอาจไม่เห็นทางอื่นให้เ ลือก และอาจไม่เห็นทางออกจากวังว นนี้ก็เป็นได้
8. ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ในอง ค์กรไม่ค่อยมีโอกาสเกิด และงอกงามจนเป็นนวัตกรรมของ บริษัทและองค์กร
ทั้งๆ ที่คนในบริษัทมีความสามารถค ิดได้ ถ้าบรรยากาศในบริษัทอำนวยต่ อความคิดสร้างสรรค์ของบุคลา กร บุคลากรจะช่วยผู้บริหารคิดไ ด้ แทนที่จะรอให้ผู้บริหารคิดใ ห้ทุกเรื่อง
::::::::::::::::
นี่คือตัวอย่างบางส่วนของผล ในด้านการทำงานที่เกิดจากกา รคิดแบบเดิม
การคิดแบบใหม่จะมาเสริมพลัง เพื่อปิดช่องโหว่ของการคิดแ บบเดิม และเพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ ในการคิดเพื่อช่วยให้ชีวิตก ารทำงานร่วมกันดียิ่งขึ้นโด ยทั่วกัน
::::::::::::::::
Credit : BizWeek Business School ฉบับ 22 Sep 2006 โดย อ.รัศมี ธันยธร ผู้อำนวยการศูนย์ความคิดสร้ างสรรค์
โดยใช้การถกเถียงกัน(Argume
นั้นไม่เพียงพอที่จะช่วยให้
::::::::::::::::
ตัวอย่าง `การคิดแบบเดิม´ ที่พบได้บ่อยๆ ...
ในการประชุมแห่งหนึ่ง ผู้ร่วมประชุมต้องการหาวิธี
เมื่อมีสมาชิกเสนอวิธีแก้ปั
แต่เป็นจุดอ่อนและปัญหา 5% นี้เอง ที่คนมักจะหยิบยกขึ้นมาถก และว่า "ยังไม่ดีพอ ยังไม่สมบูรณ์แบบ"
ช่วงของการยกจุดอ่อนขึ้นมาแ
เมื่อมีใครคนหนึ่งแย้งขึ้นม
เมื่อมีคนเห็นจุดอ่อนมากมาย
พอมีคนเสนอความคิดอื่นขึ้นม
ในแต่ละวัน เวลาส่วนหนึ่งในการทำงานของ
จนผู้คนบางส่วนรู้สึกว่าตนท
::::::::::::::::
`การคิดแบบเดิม´ ซึ่งทำให้คนคิดและพูดจุด 5% กันเป็นส่วนใหญ่นั้น ทำให้เกิด `สิ่งที่น่าเสียดาย´ ในบริษัทและองค์กรต่างๆ เช่น...
1. ทำให้คนไม่กล้าคิด
เพราะเห็นว่าความคิดของตนอา
2. ทำให้คนที่คิดได้ไม่กล้าพูด
เพราะรู้ว่าจะมีคนหาเจอ 5% และนำมาแย้งความคิดของตนแน่
::::::::::::::::
3. ทำให้คนบางส่วนมีแนวโน้มที่
เพราะระหว่างการเป็นคนเสนอค
ซึ่งอาจเป็นเพราะ...การคิดใ
ในทางตรงข้าม การคอยโต้แย้งความคิดของคนอ
และเหตุหนึ่งที่การโต้แย้งห
4. ทำให้เกิดทัศนคติที่คลาดเคล
เด็กรุ่นใหม่อาจเห็นว่าท่าท
คนรุ่นหลังที่มีทัศนคติเช่น
::::::::::::::::
5. ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไ
เพราะความคิดทั้งหลายไม่ผ่า
คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในก
6. ทำให้กำลังใจของคนที่หมั่นเ
เพราะเสนอความคิดใหม่ทีไร จะมีคนนำ 5% ขึ้นมาทักท้วงทุกที และมักถูกย้อนถามว่าแล้วจะจ
และไม่ว่าคนเสนอความคิดจะหา
::::::::::::::::
7. ทำให้การประชุมเหือดแห้ง ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา
ผู้คนบางส่วนเหนื่อยใจ ซึม และเพิกเฉย การประชุมอาจไม่มีประสิทธิภ
8. ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ในอง
ทั้งๆ ที่คนในบริษัทมีความสามารถค
::::::::::::::::
นี่คือตัวอย่างบางส่วนของผล
การคิดแบบใหม่จะมาเสริมพลัง
::::::::::::::::
Credit : BizWeek Business School ฉบับ 22 Sep 2006 โดย อ.รัศมี ธันยธร ผู้อำนวยการศูนย์ความคิดสร้
..............................................................................................................................
................................................................................................................................
‘จุดแข็ง จุดอ่อน’
ผู้คนสามารถเห็นยุทธวิธีที่ ข้าฯใช้ทำศึก
แต่ไม่มีใครสามารถเห็นกลยุท ธ์ที่ใช้ ขณะที่ชัยชนะก่อตัวขึ้น
จงอย่าใช้ยุทธวิธีเดิมๆ ที่เคยนำชัยมาให้
แต่จงปล่อยให้การรบถูกกำหนด ด้วยความหลากหลายที่ไม่สิ้น สุด ของปัจจัยเหตุการณ์
การรบเป็นดั่งน้ำที่ไหลตามแ นวธรรมชาติจากที่สูงลงสู่เบ ื้องต่ำ
เฉกเช่นสงคราม จงหลีกเลี่ยงสิ่งที่แข็งแกร ่ง
และเข้าโจมตีสิ่งที่อ่อนแอ
น้ำสร้างแนวของมันตามสภาพขอ งพื้นดินที่มันไหล
นักรบสร้างกลยุทธ์ตามสภาพขอ งศัตรูที่เขาเผชิญหน้า
เปรียบเสมือนน้ำอันไร้ซึ่งร ูปร่างที่ตายตัว
ในการรบ ก็ไม่มีอะไรที่แน่นอน
ผู้ซึ่งปรับเปลี่ยนยุทธวิธี ได้สัมพันธ์กับข้าศึก จนเป็นผู้มีชัย
ก็คืออัศวินจากสรวงสวรรค์
ธาตุทั้งห้า น้ำ ไฟ ไม้ โลหะ ดิน
ไม่ได้เป็นปัจจัยที่มีเท่าเ ทียมกัน
ฤดูทั้งสี่ เปิดโอกาสการบุกให้แต่ละฝ่า ยสลับกัน
วัน มียาวและก็มีสั้น
พระจันทร์ มีช่วงข้างขึ้นและก็ข้างแรม
ซุนวู
ผู้คนสามารถเห็นยุทธวิธีที่
แต่ไม่มีใครสามารถเห็นกลยุท
จงอย่าใช้ยุทธวิธีเดิมๆ ที่เคยนำชัยมาให้
แต่จงปล่อยให้การรบถูกกำหนด
การรบเป็นดั่งน้ำที่ไหลตามแ
เฉกเช่นสงคราม จงหลีกเลี่ยงสิ่งที่แข็งแกร
และเข้าโจมตีสิ่งที่อ่อนแอ
น้ำสร้างแนวของมันตามสภาพขอ
นักรบสร้างกลยุทธ์ตามสภาพขอ
เปรียบเสมือนน้ำอันไร้ซึ่งร
ในการรบ ก็ไม่มีอะไรที่แน่นอน
ผู้ซึ่งปรับเปลี่ยนยุทธวิธี
ก็คืออัศวินจากสรวงสวรรค์
ธาตุทั้งห้า น้ำ ไฟ ไม้ โลหะ ดิน
ไม่ได้เป็นปัจจัยที่มีเท่าเ
ฤดูทั้งสี่ เปิดโอกาสการบุกให้แต่ละฝ่า
วัน มียาวและก็มีสั้น
พระจันทร์ มีช่วงข้างขึ้นและก็ข้างแรม
ซุนวู
.......................................................................................................................
มีมิจฉาชีพที่หากินกับความใ
......................................................................................................................
จงสร้างการลงทุนที่เรียบง่า ย ...
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ "ให้เช่า" โดยเฉพาะประเภทที่ไม่ต้องบร ิหารจัดการมาก อาทิ บ้านเช่า หรือคอนโดมิเนียมนั้น จะว่าไปแล้ว วิธีการประเมินการลงทุนนั้น ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยครับ
หลักคิดง่ายๆ ก็คือ ทำยังไงก็ได้ "ให้รายรับต่อเดือนมากกว่าร ายจ่าย" เพราะหัวใจของการให้เช่านั้ น เราต้องการได้กระแสเงินสดที ่เป็นบวกจากสิ่งที่เราลงทุน
ล่าสุดมีอีเมล์มาสอบถามผมว่ า ... คอนโดย่านพระรามเก้า ราคา 900,000 เก็บค่าเช่าได้ 7,000 บาท (มีผู้เช่าอยู่แล้ว) ค่าส่วนกลางเดือนละ 900 ค่าน้ำและค่าไฟ ผู้เช่าเป็นผู้จ่ายเอง กู้ 100% ส่งธนาคารเดือนละ 5,000 บาท น่าลงทุนหรือไม่
ถ้าคิดกับแบบอาเจ็กอาแปะ เดือนนึงเงินเข้ากระเป๋า 7,000 บาท จ่ายออก 5,900 บาท (ผ่อนแบงค์ 5,000 + ค่าส่วนกลาง 900) เหลือสุทธิ 1,100 บาท
ก็ต้องถามว่า มีเงินเข้ากระเป๋า เดือนละ 1,100 (ปีนึง 13,200) แถมมีคนส่งคอนโดให้ด้วย ... ดีมั๊ยละครับ
อย่างไรก็ดี แนวคิดดังกล่าวเป็นเพียงแนว คิดการประเมินเบื้องต้นเท่า นั้น เพราะหากต้องการลงทุนจริงๆ นอกจากเงินที่เข้ากระเป๋าแล ้ว เราอาจยังต้องพิจารณาถึง อัตราผลตอบแทนว่าคุ้มค่าหรื อไม่ (กรณีนี้ได้ของฟรีเลยนะ) การจัดไฟแนนซ์ควรเป็นสัดส่ว นเท่าใด (จะดาวน์บ้างมั๊ย หรือกู้เพิ่ม) แผนการรับมือกับห้องว่างเป็ นอย่างไร คู่แข่งบริเวณโดยรอบมีมากน้ อยแค่ไหน การทำสัญญาผูกมัดอย่างไร แผนการออกเป็นอย่างไร และอื่นๆ
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ต้องค ิดและพิจารณากันต่อ ...
แต่ที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้น ก็เพื่อให้คุณผู้อ่านเห็นวิ ธีคิดและโอกาสในการลงทุน ซึ่งบางครั้งไม่จำเป็นต้องย ุ่งยากและซับซ้อนเลย ก็สามารถสร้างผลกำไรให้กับเ ราได้
KEEP IT SIMPLE SWEETHEART!
สร้างการลงทุนให้ง่าย แต่อย่ามักง่ายกันนะครับ
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ "ให้เช่า" โดยเฉพาะประเภทที่ไม่ต้องบร
หลักคิดง่ายๆ ก็คือ ทำยังไงก็ได้ "ให้รายรับต่อเดือนมากกว่าร
ล่าสุดมีอีเมล์มาสอบถามผมว่
ถ้าคิดกับแบบอาเจ็กอาแปะ เดือนนึงเงินเข้ากระเป๋า 7,000 บาท จ่ายออก 5,900 บาท (ผ่อนแบงค์ 5,000 + ค่าส่วนกลาง 900) เหลือสุทธิ 1,100 บาท
ก็ต้องถามว่า มีเงินเข้ากระเป๋า เดือนละ 1,100 (ปีนึง 13,200) แถมมีคนส่งคอนโดให้ด้วย ... ดีมั๊ยละครับ
อย่างไรก็ดี แนวคิดดังกล่าวเป็นเพียงแนว
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ต้องค
แต่ที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้น
KEEP IT SIMPLE SWEETHEART!
สร้างการลงทุนให้ง่าย แต่อย่ามักง่ายกันนะครับ
....................................................................................................................
ที่นาของเราเอง ก็ควรกำหนดเป้าหมายและสร้าง
-"รู้เขา" ว่าคิดอย่างไร ทำอย่างไร เหตุและผลในแต่ละพื้นที่เป็
-"รู้เรา" รู้จักดิน น้ำ อากาศ ธรรมชาติ แรงงาน เวลา ที่มีในการทำกิจกรรม ในพื้นที่
ความสำเร็จ มันไม่สามารถ copy -paste เหมือนข้อความ ในfacebook
ต้องรู้จัก ต่อยอด ปรับใช้ ให้เหมาะสม
-ไม่มีข้ออ้าง ว่าทำไม่ได้ ไม่มีข้ออ้าง ว่าอยู่นอกเขตชลประทาน ไม่มีข้ออ้างโน่นนี่นั่น
ถ้าคิดว่าจะทำ คือทำ ทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ความสำเร็จไม่ได้เป็นของคนอ
..........................................................................................................................
China's factory owners are struggling to survive by shifting operations to neighboring countries amid higher wages and persistent labor shortages at home. http://on.wsj.com/101e8Xi
.................................................................................................................................
แปลงกล่อง...เป็นชั้นวางหนั
..............................................................................................................................
"นักการเมืองบอกเราว่า ป่าแม่วงก์บริเวณที่จะสร้าง
เราบอกนักการเมืองว่า สิ่งที่เสื่อมโทรมที่สุด คือใจของคนที่คิดจะทำลายป่า
จาก ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ กลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายแ
..........................................................................................................................
อลูมิเนียมเป็นโลหะที่มีสีข าวคล้าย เงินน้ำหนักเบา และมีคุณสมบัติที่อ่อนตัวซึ ่งสามารถ ทำเป็นรูปร่างต่างๆได้ ในการผลิตอะลูมิเนียมจึงมัก ผสมทองแดงและสังกะสีเพื่อเพ ิ่มความแกร่งให้กับเนื้ออะล ูมิเนียม เนื่องจากอะลูมิเนียมเป็นภา ชนะที่สามารถ ซึมซับความเย็นได้อย่างรวดเ ร็ว ทำให้อะลูมิเนียมเป็นที่นิย มในการนำมาผลิตกระป๋องบรรจุ เครื่องดื่ม และวัสดุอีกหลายชนิด เช่น น้ำอัดลม เบียร์ โซดา กระดาษ ตะกั่ว ถาดใส่อาหาร ภาชนะในครัว ฯลฯ
ปัจจุบัน อลูมิเนียมถูกนำมาใช้อย่างแ พร่หลายมากที่สุดและมีข้อดี คือ สามารถนำไปรีไซเคิลได้ กระป๋องอลูมิเนียมทุกใบสามา รถส่งคืนกลับโรงงานเพื่อนำไ ปผลิตเป็นกระป๋องใหม่ได้โดย ไม่มีขีดจำกัดจำนวนครั้งของ การผลิต เมื่อกระป๋องอลูมิเนียมถูกส ่งเข้าโรงงานแล้วจะถูกบดให้ เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วหลอมให้เป็นแท่งแข็งจาก นั้นอะลูมิเนียมแท่งจะถูกนำ ไปรีดให้เป็นแผ่นแบนบางเพื่ อส่งต่อไปยังโรงงานผลิตกระป ๋องเพื่อผลิตเป็นกระป๋องอลู มิเนียมใหม่
การรีไซเคิลกระป๋องอลูมิเนี ยม จะทำให้ประหยัดพลังงานความร ้อนได้ถึง 20 เท่าและช่วยลดมลพิษทางอากาศ ได้ถึงร้อยละ 95 ของการผลิตกระป๋องใหม่โดยใช ้อลูมิเนียมจากธรรมชาติ
www.kayathai.com
ปัจจุบัน อลูมิเนียมถูกนำมาใช้อย่างแ
การรีไซเคิลกระป๋องอลูมิเนี
www.kayathai.com
...................................................................................................................................
ดีเอสไอแนะ ศธ.เพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วย 344 รายเข้าข่ายทุจริตชัด
"ธาริต"ส่งหนังสือถึงสพฐ.สั่งให้เพิกถอนการบรรจุ 344 คน ทุจริตสอบครูผู้ช่วย แนะให้รีบเข้าพบพนักงานสอบสวนด่วน ด้าน “พงศ์เทพ” หารือ ก.ค.ศ. หาข้อสรุปโทษทางวินัย 17 พ.ค.นี้
นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนคดีทุจริตสอบครูผู้ช่วย ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่า วันนี้ (15 พ.ค.) นายอำพร ทวรรณกุล ผอ.โรงเรียนเสมาอุปถัมภ์ จ.นครราชสีมา และนายสุเชาว์ ยะถีโล ครูผู้ช่วยโรงเรียนกงรถราษฎร์สามัคคี จ.นครราชสีมา เข้ารับทราบข้อกล่าวหา สำหรับนายอำพรได้แจ้งข้อหากระทำผิดตามมาตรา 188 กรณีเอาเอกสารข้อสอบไปจำหน่ายและเผยแพร่ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ สพฐ. ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท โดยนายอำพรยังให้การปฏิเสธและได้ให้ถ้อยคำเพิ่มเติมบางส่วน ทั้งนี้แม้จะแจ้งข้อกล่าวหาแล้วแต่เนื่องจากนายอำพรเป็นข้าราชการพนักงานสอบสวนจึงให้ปล่อยตัว ซึ่งหลังจากนี้จะรวบรวมสำนวนส่งฟ้องอัยการต่อไป
อย่างไรก็ตามดีเอสไอยืนยันว่าขณะนี้มีพยานหลักฐานชัดเจนว่านายอำพรมีส่วนเกี่ยวข้องในการนำข้อสอบออกมาขาย โดยพบว่ามีรายชื่อผู้สอบได้คะแนนสูงในพื้นที่จ.นครราชสีมา จำนวนมากถึง 48 ราย ในจำนวนนี้ 7-8 ราย ให้การยืนยันว่าซื้อข้อสอบมาจากนายอำพร ดังนั้น ดีเอสไอจะเรียกผู้เข้าสอบทั้ง 48 คนที่ได้คะแนนสูงในพื้นที่นครราชสีมาเข้าให้ปากคำ
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ดีเอสไอมีหนังสือถึงคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) และคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.)เขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 119 เขต เพื่อให้พิจารณาดำเนินการยกเลิกการบรรจุบุคคล จำนวน 344 ราย โดยเห็นว่าบุคคลดังกล่าวกระทำการเข้าข่ายทุจริตในการสอบ โดยทำข้อสอบผิดในข้อเดียวกัน และมีคะแนนสอบที่สูงผิดปกติ ทั้งนี้ดีเอสไอจะได้เร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อมีความเห็นทางคดี
นอกจากนี้ จะได้มีหนังสือเรียกผู้ที่เข้าสอบ จำนวน 344 ราย มาให้การต่อไป หากให้การเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนจะกันไว้เป็นพยาน เช่น ซื้อเฉลยคำตอบจากใคร จ่ายเงินเท่าไร พาไปชี้ที่เกิดเหตุและเชื่อมโยงถึงตัวผู้บงการได้ แนะนำให้รีบเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงออกถึงการร่วมมือกับเจ้าพนักงาน หากล่าช้าดีเอสไอไม่จำเป็นต้องกันตัวไว้เป็นพยาน และจะถูกดำเนินคดีถึงที่สุด นอกจากนี้ขอแนะนำให้รีบลาออกก่อนถูกเพิกถอนการบรรจุ เพื่อไม่ให้ถูกดำเนินการทางวินัย ทั้งนี้ในสัปดาห์หน้าดีเอสไอจะขออนุมัติออกหมายจับบุคคลที่อยู่ในขบวนการทุจริตสอบครูผู้ช่วยด้วย
ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ในวันที่ 17 พ.ค.นี้ เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาว่าจะมีมติหรือคำแนะนำอย่างไรไปยัง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ทั้งนี้ ในเรื่องของโทษทางกฎหมายนั้นดีเอสไอมีหน้าที่ในการสอบสวนและดำเนินการตามกฎหมายซึ่งเป็นคดีอาญา ส่วนหน้าที่ของ ศธ.จะต้องดูว่าหากมีความผิดจริงจะมีโทษทางวินัยสถานใด ซึ่งจากข้อมูลการสอบสวนของดีเอสไอที่ผ่านรวมข้อมูลจากส่วนต่าง ๆ ค่อนข้างชัดเจนว่ามีกระบวนการทุจริตจริง
นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนคดีทุจริตสอบครูผู้ช่วย ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่า วันนี้ (15 พ.ค.) นายอำพร ทวรรณกุล ผอ.โรงเรียนเสมาอุปถัมภ์ จ.นครราชสีมา และนายสุเชาว์ ยะถีโล ครูผู้ช่วยโรงเรียนกงรถราษฎร์สามัคคี จ.นครราชสีมา เข้ารับทราบข้อกล่าวหา สำหรับนายอำพรได้แจ้งข้อหากระทำผิดตามมาตรา 188 กรณีเอาเอกสารข้อสอบไปจำหน่ายและเผยแพร่ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ สพฐ. ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท โดยนายอำพรยังให้การปฏิเสธและได้ให้ถ้อยคำเพิ่มเติมบางส่วน ทั้งนี้แม้จะแจ้งข้อกล่าวหาแล้วแต่เนื่องจากนายอำพรเป็นข้าราชการพนักงานสอบสวนจึงให้ปล่อยตัว ซึ่งหลังจากนี้จะรวบรวมสำนวนส่งฟ้องอัยการต่อไป
อย่างไรก็ตามดีเอสไอยืนยันว่าขณะนี้มีพยานหลักฐานชัดเจนว่านายอำพรมีส่วนเกี่ยวข้องในการนำข้อสอบออกมาขาย โดยพบว่ามีรายชื่อผู้สอบได้คะแนนสูงในพื้นที่จ.นครราชสีมา จำนวนมากถึง 48 ราย ในจำนวนนี้ 7-8 ราย ให้การยืนยันว่าซื้อข้อสอบมาจากนายอำพร ดังนั้น ดีเอสไอจะเรียกผู้เข้าสอบทั้ง 48 คนที่ได้คะแนนสูงในพื้นที่นครราชสีมาเข้าให้ปากคำ
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ดีเอสไอมีหนังสือถึงคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) และคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.)เขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 119 เขต เพื่อให้พิจารณาดำเนินการยกเลิกการบรรจุบุคคล จำนวน 344 ราย โดยเห็นว่าบุคคลดังกล่าวกระทำการเข้าข่ายทุจริตในการสอบ โดยทำข้อสอบผิดในข้อเดียวกัน และมีคะแนนสอบที่สูงผิดปกติ ทั้งนี้ดีเอสไอจะได้เร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อมีความเห็นทางคดี
นอกจากนี้ จะได้มีหนังสือเรียกผู้ที่เข้าสอบ จำนวน 344 ราย มาให้การต่อไป หากให้การเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนจะกันไว้เป็นพยาน เช่น ซื้อเฉลยคำตอบจากใคร จ่ายเงินเท่าไร พาไปชี้ที่เกิดเหตุและเชื่อมโยงถึงตัวผู้บงการได้ แนะนำให้รีบเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงออกถึงการร่วมมือกับเจ้าพนักงาน หากล่าช้าดีเอสไอไม่จำเป็นต้องกันตัวไว้เป็นพยาน และจะถูกดำเนินคดีถึงที่สุด นอกจากนี้ขอแนะนำให้รีบลาออกก่อนถูกเพิกถอนการบรรจุ เพื่อไม่ให้ถูกดำเนินการทางวินัย ทั้งนี้ในสัปดาห์หน้าดีเอสไอจะขออนุมัติออกหมายจับบุคคลที่อยู่ในขบวนการทุจริตสอบครูผู้ช่วยด้วย
ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ในวันที่ 17 พ.ค.นี้ เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาว่าจะมีมติหรือคำแนะนำอย่างไรไปยัง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ทั้งนี้ ในเรื่องของโทษทางกฎหมายนั้นดีเอสไอมีหน้าที่ในการสอบสวนและดำเนินการตามกฎหมายซึ่งเป็นคดีอาญา ส่วนหน้าที่ของ ศธ.จะต้องดูว่าหากมีความผิดจริงจะมีโทษทางวินัยสถานใด ซึ่งจากข้อมูลการสอบสวนของดีเอสไอที่ผ่านรวมข้อมูลจากส่วนต่าง ๆ ค่อนข้างชัดเจนว่ามีกระบวนการทุจริตจริง
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 พฤษภาคม 2556
................................................................................................................................
...................................................................................................................................
จังหวะ และ โอกาส นานๆ ครับถึงจะมาพร้อมๆ กัน บางครั้งก้ต้องอดทน และเฝ้ารอ
.............................................................................................................................
............................................................................................................................
อ่านบทกวีฉบับเต็มที่นี่ http://www.prachachat.net/
...............................................................................................................................
สั น ติ ป ร ะ ช า ธ ร ร ม
อ่านฉบับเต็มได้ที่ "บันทึกประชาธรรมไทยโดยสันต
.......................................................................................................................
2013.04.25 Igat ore tok jadi berito, sangkut kain jadi berito besa (การควบคุมตัวไม่เป็นข่าว การแขวนผ้าเป็นข่าวใหญ่)
โดย Hara Shintaro
ท่านลองถามชาวบ้านมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า คุณคิดอย่างไรกับการแขวนป้ายผ้าที่มีข้อความเป็นภาษามลายูที่ใช้ตัวอักษรรูมี สำหรับชาวบ้าน เหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา และไม่ใช่เรื่องที่กระทบชีวิตของพวกเขา เป็นไปได้ว่า ชาวบ้านอาจไม่รู้สึกอะไรเลย แต่สำหรับสื่อมวลชนไทย นี่คือเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งเพราะ เข้าใจผิดเองว่าป้ายผ้าเหล่านี้มีข้อความภาษามลายูว่า “ต้านกระบวนการสันติภาพ” ฉะนั้น นี่คือข่าวที่ขายได้ ผมขอแนะนำให้สื่อมวลชนทำรายงานข่าวตามข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ใช้จินตนาการหรือการตีความเกินเหตุ สื่อภาษาอังกฤษก็ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะสื่อเหล่านี้มีผู้อ่านจากประเทศที่ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาประจำชาติ ได้แก่ มาเลเซีย อิินโดนีเซีย บรูไน และสิงคโปร์ ถ้านักข่าวสื่อภาษาอังกฤษเขียนรายงานข่าวตามความเข้าใจผิดหรือการตีความเอง ผู้อ่านเหล่านี้จะรู้ได้ทันทีและสรุปว่า รายงานชิ้นนั้นไม่มีุคุณภาพ ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วฝ่ายสื่อมวลชนไทยก็ต้องทำการเตียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนโดยให้ทุกสำนักข่าวมีนักข่าวที่สามารถเข้าใจภาษาประเทศเพื่อนบ้านของอาเซียน โดยเฉพาะภาษามลายู (ไม่ใช่ภาษาบาฮาซา) ซึ่งเป็นภาษาที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนอย่างน้อยสำนักและคน
แม้ว่าข่าวการแขวนผ้านั้นดังขนาดไหนก็ตาม สำหรับชาวบ้านในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้กฎหมายพิเศษสามฉบับ (กฎอัยการศึก, พ.ร.ก. กรณีฉุกเฉิน และพ.ร.บ. ความมั่นคง) มีเหตุการณ์อีกเหตุการหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันที่กระทบจิตใจมากกว่าการแขวนป้ายผ้าห นั่นคือการควบคุมตัวของครูสาวตาดีกา (โรงเรียนสอนศาสนาซึ่งใช้ภาษามลายูเป็นหลัก) การควบคุมตัวนั้นเกิดขึ้นในขณะที่ครูคนนั้นเข้าดำิเินินกรรมค่ายฤดูร้อนของโรงเรียน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงควบคัมตัวครูดังกล่าวโดยให้สาเหตุว่า มีคนร้ายหนีเข้าในบริเวณของค่าย (รายละเอียด ขอดูเพจในลิงค์นี้ http://www.deepsouthwatch.org/node/4167)
การควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่สามจังหวัดมักจะเกิดขึ้นโดยไม่มีหมายจับ เพราะตามกฎอัยการศึก ไม่ใช่พ.ร.ก. กรณีฉุกเฉนฯ ซึ่งต้องมีหมายจับในการควบคุมตัวตามกำหนด ผมเคยถามคนที่เคยถูกควบคุมตัวหลายคนว่า ในขณะที่คุณถูกควบคุมตัวมีหมายจับไหม ทุกคนตอบว่า ไม่มี ในกรณีเช่นนี้ มายจับตามพ.ร.ก. จะออกภายในการควบคุมตัว 7 วันตามกำหนดของกฎอัยการศึก และการควบคุมตัวก็ต่ออายุอีก 30 วันตามพ.ร.ก.
สำหรับชาวบ้าน หนึ่งในสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิตที่สุดคือการควบคุมตัว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมตัวของตัวเองหรือสมาชิกครอบครัวหรือมิตรสหาย เพราะเสรีภาพจะถูกจำกัดเป็นเวลา 37 วัน อาจมีการซ้อมทรมานในช่วงการสอบสวนด้วย นอกจากนี้การควบคุมตัวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของคนที่ถูกควบคัมตัวต่อไป เพราะสังคมภายนอกก็จะมองว่า คนที่เคยถูกควบคุมตัวนั้นเป็น “แนวร่วม” ทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนรวมใดๆ ในการก่อความไม่สงบ ตามข้อมูลจากศูนย์ทนายความมุสลิม 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ของคดีความมั่นคงถูกยกฟ้อง ซึ่งหมายความว่า การควบคุมตัวส่วนใหญ่เป็นการจับคนผิด
การควบคุมตัวเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชาวบ้าน แต่แทบไม่มีสื่อกระแสหลักที่รายงานเกี่ยวกับการควบคุมตัวครูสาวตาดีกาครั้งนี้ ทั้งๆ ที่มันเป็นเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจของคนในพื้นที่อย่างรุนแรง โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่มีสถานะเดียวกันกับครูสาวตาดีกาที่ถูกควบคุมตัว ด้วยเหตุนี้ บรรดานักศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดและภูมิภาคอื่นๆ กว่า 500 คน รวมตัวกันเรียกร้องความเป็นธรรม กว่าจะเหตุการณ์การควบคุมตัวครูสาวคนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่รู้จักกัน ต้องมีนักศึกษาที่จัดการประท้วงใหญ่ บริเวณมัสยิดกลางยะลา เพราะที่เป็นข่าวนั้นไม่ใช่การควบคุมตัว แต่เป็นการประท้วง
โดยส่วนตัว ในฐานะเป็นคนที่มาจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพการแสดงออกความคิด ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมการแสดงความคิดเห็นต้องเป็นข่าวใหญ่ แต่การควบคุมตัวไม่เป็นข่าว
ในสายตาของชาวบ้้านและบรรดานักศึกษาที่เรียกร้องความเป็นธรรม เหตุการณ์การควบคุมตัวครูสาวตาดีกาเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงซึ่งเกิดขึ้นประจำในพื้นที่สามจังหวัด แต่เหตุการณ์เหล่านี้แทบจะไม่มีการรายงานข่าว
กระบวนการสันติภาพเป็นกระบวนการเพื่อสร้างความยุติธรรม สื่อมวลชนก็สามารถสวมบทบาทที่สำคัญได้เนื่องจากการติดตามอย่างใกล้ชิดและรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง สามารถเป็น deterrent (สิ่งขัดขวางไม่ให้บ่างสิ่งบางอย่างไม่เกิดขึ้น) ของการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม และการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาชายแดนภาคใต้ แต่จนถึงบัดนี้ สื่อมวลชนรายใหญ่ของไทยส่วนใหญ่ยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่จะเป็น deterrent ที่จริงแล้ว สิ่งที่สื่อมวลชนรายใหญ่นิยมรายงานคือการกระทำของขบวนการปลดปล่อยปาตานี หรือฝ่ายที่สื่อมวลชนยังเรียกว่า “โจรใต้”นั่นเอง เช่น การวางระเบิด การยิง การเผาโรงเรียน รวมไปถึงการแขวนผ้า ซึ่งเป็นชิ้นขาวที่ขายได้ แต่การใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ส่วนใหญ่ไม่เคยเป็นข่าว
ตราบใดที่สื่อมวลชนมีการรายงานข่าวข้างเดียวเช่นนี้ ถึงเมื่อไรก็ชาวบ้านจะไม่ไว้ใจสื่อมวลชน และความไม่ไว้ใจนั้นจะทำให้นักข่าวยิ่งประสบความลำบากในการหาข่าว เพราะชาวบ้านไม่น่าจะพูดความเป็นจริงและให้ความรวมมืออย่างดีแก่นักข่าว อย่าเอาแต่ไล่ข่าวที่น่าจับตา (มี news value)เท่านั้น แต่ผมขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนเป็นกระบอกเสียงของประชาชน สิ่งที่สังคมเราต้องการคือนักข่าวมืออาชีพที่มีใจรักความยุติธรรม ไม่ใช่คนขายข่าว
ท่านลองถามชาวบ้านมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า คุณคิดอย่างไรกับการแขวนป้ายผ้าที่มีข้อความเป็นภาษามลายูที่ใช้ตัวอักษรรูมี สำหรับชาวบ้าน เหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา และไม่ใช่เรื่องที่กระทบชีวิตของพวกเขา เป็นไปได้ว่า ชาวบ้านอาจไม่รู้สึกอะไรเลย แต่สำหรับสื่อมวลชนไทย นี่คือเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งเพราะ เข้าใจผิดเองว่าป้ายผ้าเหล่านี้มีข้อความภาษามลายูว่า “ต้านกระบวนการสันติภาพ” ฉะนั้น นี่คือข่าวที่ขายได้ ผมขอแนะนำให้สื่อมวลชนทำรายงานข่าวตามข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ใช้จินตนาการหรือการตีความเกินเหตุ สื่อภาษาอังกฤษก็ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะสื่อเหล่านี้มีผู้อ่านจากประเทศที่ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาประจำชาติ ได้แก่ มาเลเซีย อิินโดนีเซีย บรูไน และสิงคโปร์ ถ้านักข่าวสื่อภาษาอังกฤษเขียนรายงานข่าวตามความเข้าใจผิดหรือการตีความเอง ผู้อ่านเหล่านี้จะรู้ได้ทันทีและสรุปว่า รายงานชิ้นนั้นไม่มีุคุณภาพ ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วฝ่ายสื่อมวลชนไทยก็ต้องทำการเตียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนโดยให้ทุกสำนักข่าวมีนักข่าวที่สามารถเข้าใจภาษาประเทศเพื่อนบ้านของอาเซียน โดยเฉพาะภาษามลายู (ไม่ใช่ภาษาบาฮาซา) ซึ่งเป็นภาษาที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนอย่างน้อยสำนักและคน
แม้ว่าข่าวการแขวนผ้านั้นดังขนาดไหนก็ตาม สำหรับชาวบ้านในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้กฎหมายพิเศษสามฉบับ (กฎอัยการศึก, พ.ร.ก. กรณีฉุกเฉิน และพ.ร.บ. ความมั่นคง) มีเหตุการณ์อีกเหตุการหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันที่กระทบจิตใจมากกว่าการแขวนป้ายผ้าห นั่นคือการควบคุมตัวของครูสาวตาดีกา (โรงเรียนสอนศาสนาซึ่งใช้ภาษามลายูเป็นหลัก) การควบคุมตัวนั้นเกิดขึ้นในขณะที่ครูคนนั้นเข้าดำิเินินกรรมค่ายฤดูร้อนของโรงเรียน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงควบคัมตัวครูดังกล่าวโดยให้สาเหตุว่า มีคนร้ายหนีเข้าในบริเวณของค่าย (รายละเอียด ขอดูเพจในลิงค์นี้ http://www.deepsouthwatch.org/node/4167)
การควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่สามจังหวัดมักจะเกิดขึ้นโดยไม่มีหมายจับ เพราะตามกฎอัยการศึก ไม่ใช่พ.ร.ก. กรณีฉุกเฉนฯ ซึ่งต้องมีหมายจับในการควบคุมตัวตามกำหนด ผมเคยถามคนที่เคยถูกควบคุมตัวหลายคนว่า ในขณะที่คุณถูกควบคุมตัวมีหมายจับไหม ทุกคนตอบว่า ไม่มี ในกรณีเช่นนี้ มายจับตามพ.ร.ก. จะออกภายในการควบคุมตัว 7 วันตามกำหนดของกฎอัยการศึก และการควบคุมตัวก็ต่ออายุอีก 30 วันตามพ.ร.ก.
สำหรับชาวบ้าน หนึ่งในสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิตที่สุดคือการควบคุมตัว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมตัวของตัวเองหรือสมาชิกครอบครัวหรือมิตรสหาย เพราะเสรีภาพจะถูกจำกัดเป็นเวลา 37 วัน อาจมีการซ้อมทรมานในช่วงการสอบสวนด้วย นอกจากนี้การควบคุมตัวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของคนที่ถูกควบคัมตัวต่อไป เพราะสังคมภายนอกก็จะมองว่า คนที่เคยถูกควบคุมตัวนั้นเป็น “แนวร่วม” ทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนรวมใดๆ ในการก่อความไม่สงบ ตามข้อมูลจากศูนย์ทนายความมุสลิม 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ของคดีความมั่นคงถูกยกฟ้อง ซึ่งหมายความว่า การควบคุมตัวส่วนใหญ่เป็นการจับคนผิด
การควบคุมตัวเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชาวบ้าน แต่แทบไม่มีสื่อกระแสหลักที่รายงานเกี่ยวกับการควบคุมตัวครูสาวตาดีกาครั้งนี้ ทั้งๆ ที่มันเป็นเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจของคนในพื้นที่อย่างรุนแรง โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่มีสถานะเดียวกันกับครูสาวตาดีกาที่ถูกควบคุมตัว ด้วยเหตุนี้ บรรดานักศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดและภูมิภาคอื่นๆ กว่า 500 คน รวมตัวกันเรียกร้องความเป็นธรรม กว่าจะเหตุการณ์การควบคุมตัวครูสาวคนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่รู้จักกัน ต้องมีนักศึกษาที่จัดการประท้วงใหญ่ บริเวณมัสยิดกลางยะลา เพราะที่เป็นข่าวนั้นไม่ใช่การควบคุมตัว แต่เป็นการประท้วง
โดยส่วนตัว ในฐานะเป็นคนที่มาจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพการแสดงออกความคิด ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมการแสดงความคิดเห็นต้องเป็นข่าวใหญ่ แต่การควบคุมตัวไม่เป็นข่าว
ในสายตาของชาวบ้้านและบรรดานักศึกษาที่เรียกร้องความเป็นธรรม เหตุการณ์การควบคุมตัวครูสาวตาดีกาเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงซึ่งเกิดขึ้นประจำในพื้นที่สามจังหวัด แต่เหตุการณ์เหล่านี้แทบจะไม่มีการรายงานข่าว
กระบวนการสันติภาพเป็นกระบวนการเพื่อสร้างความยุติธรรม สื่อมวลชนก็สามารถสวมบทบาทที่สำคัญได้เนื่องจากการติดตามอย่างใกล้ชิดและรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง สามารถเป็น deterrent (สิ่งขัดขวางไม่ให้บ่างสิ่งบางอย่างไม่เกิดขึ้น) ของการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม และการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาชายแดนภาคใต้ แต่จนถึงบัดนี้ สื่อมวลชนรายใหญ่ของไทยส่วนใหญ่ยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่จะเป็น deterrent ที่จริงแล้ว สิ่งที่สื่อมวลชนรายใหญ่นิยมรายงานคือการกระทำของขบวนการปลดปล่อยปาตานี หรือฝ่ายที่สื่อมวลชนยังเรียกว่า “โจรใต้”นั่นเอง เช่น การวางระเบิด การยิง การเผาโรงเรียน รวมไปถึงการแขวนผ้า ซึ่งเป็นชิ้นขาวที่ขายได้ แต่การใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ส่วนใหญ่ไม่เคยเป็นข่าว
ตราบใดที่สื่อมวลชนมีการรายงานข่าวข้างเดียวเช่นนี้ ถึงเมื่อไรก็ชาวบ้านจะไม่ไว้ใจสื่อมวลชน และความไม่ไว้ใจนั้นจะทำให้นักข่าวยิ่งประสบความลำบากในการหาข่าว เพราะชาวบ้านไม่น่าจะพูดความเป็นจริงและให้ความรวมมืออย่างดีแก่นักข่าว อย่าเอาแต่ไล่ข่าวที่น่าจับตา (มี news value)เท่านั้น แต่ผมขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนเป็นกระบอกเสียงของประชาชน สิ่งที่สังคมเราต้องการคือนักข่าวมืออาชีพที่มีใจรักความยุติธรรม ไม่ใช่คนขายข่าว
...................................................................................................................................
...................................................................................................................................
.................................................................................................................................
..................................................................................................................................
เจ็บแล้วจำ คือ คน เจ็บแล้วจน คือ คนเล่นหวย นะครับ แหม่
...............................................................................................................................
.......................................................................................................................................
"หากกลัวว่าจะมีการโกง ต้องมาร่วมกันช่วยกันตรวจสอ
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม เสวนา 37 ปี ประชาชาติธุรกิจ : 'รถไฟฟ้า-ไฮสปีดเทรน' พลิกโฉมประเทศไทย
http://
.................................................................................................................................
วัสดุใช้แล้ว อย่างขวดแก้ว และไม้คอร์ก กลายมาเป็นของน่าใช้บนโต๊ะท
...............................................................................................................................
Art of Go
..............................................................................................................................
..............................................................................................................................
10 วลีทรงพลัง เพื่อคนคิดบวก
มาดูกันว่า “10 วลีทรงพลังเพื่อคนคิดบวก” ของริช เดอโวส มีอะไรกันบ้าง
1.“ฉันผิดเอง” (I am wrong) ริช เดอโวส ระบุว่า “ฉันผิดเอง” เป็นคำพูดที่ช่วยเปลี่ยนทัศ นคติตัวเราได้ดีที่สุด เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักไม่ย อมรับว่าตัวเองทำผิด โดยเฉพาะเมื่อต้องยอมรับผิด ต่อหน้าคนอื่น เจ้าตัวแนะว่า เราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะย อมรับว่าตัวเองผิด แค่เอ่ยคำว่า “ฉันผิดเอง คุณทำถูกแล้วล่ะ” เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้สัมพันธภาพดีขึ ้น ช่วยให้การเจรจาต่างๆ เดินไปข้างหน้า หรือยุติการโต้แย้งที่กำลัง เกิดขึ้น
“ฉันผิดเอง” ยังเป็นคำพูดที่แปรเปลี่ยนศ ัตรูให้กลายเป็นมิตร แม้การยอมรับว่า “ฉันผิดเอง” จะลดความน่าเชื่อถือของคุณใ นบางสถานการณ์ลงก็ตาม
2. “ฉันขอโทษ” (I am sorry) หลายๆ ครั้งที่การกล่าวถ้อยคำสั้น ๆ นี้เป็นเรื่องยาก แต่การกล่าวคำนี้ให้เป็นนิส ัยเป็นสิ่งคุ้มค่า เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์มักป กป้องตัวเอง มักคิดว่าตัวเองถูกเสมอ แต่พอเอ่ยคำนี้ออกมาจะรู้สึ กเหมือนยกภูเขาออกจากอก การกล่าวคำว่า “ขอโทษ” แสดงถึงว่าคุณปรารถนาจะกลับ มาสานต่อความสัมพันธ์กับบุค คลที่เป็นคู่กรณีกับคุณ
การกล่าว "ขอโทษ" ต้องออกจากส่วนลึกจริงๆ ความรู้สึกนี้ยังเกิดขึ้นพร ้อมๆ กับการแสดงออกทั้งสีหน้าและ แววตา ไม่ใช่กล่าวแบบขอไปที เพื่อให้จบๆ ลงเท่านั้น
ผมเองใช้คำว่า “ขอโทษ” ทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำงา น ยกตัวอย่างเวลาที่เรามีโปรโ มชั่นแรงๆ และสินค้าไม่พอขาย เพียงกล่าวคำคำนี้ จากหนักจะกลายเป็นเบาทันที ทุกคนพร้อมจะให้อภัยคุณ
3."คุณทำได้" (You can do it) ริช ระบุว่า...ผู้คนจำนวนมากไม่ เคยลองทำอะไรเลยเพราะกลัวคว ามล้มเหลว กลัวว่าตัวเองไม่มีชั่วโมงบ ินมากพอ กลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือหัวเราะเยาะ สำหรับคนเหล่านี้ ริช แนะนำว่า “ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วก็ลงมือได้เลย คุณทำได้!” แน่นอน เมื่อได้ยินคำว่า “คุณทำได้” จะสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ ้นได้ไม่มากก็น้อย
4.“ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ” (I believe in you) เป็นคำพูดที่ต่อเนื่องจาก “คุณทำได้” (คุณทำได้...ฉันเชื่อมั่นใน ตัวคุณ) ต่างกันที่เป็นคำพูดที่แสดง ถึงความรู้สึกลึกๆ เป็นคำพูดสำหรับผู้นำที่ใช้ พูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ พ่อแม่ที่ส่งต่อความรู้สึกน ี้กับลูกๆ หรือเจ้านายที่มีต่อลูกน้อง ที่กำลังเจออุปสรรคและต้องก ารความช่วยเหลือ
เราสามารถแสดงให้เห็นถึงควา ม “เชื่อมั่น” ได้ง่ายๆ อาทิ การเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมง านได้แสดงความสามารถ แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่เสนอมา นั้นอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ ้น
5.“ฉันภูมิใจในตัวคุณ” (I am proud of you) เพียงเราเปล่งคำนี้ จะพบว่ามีอานุภาพสูงมากในกา รสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ฟัง คำพูดที่ว่า “พ่อภูมิใจในตัวลูก” หรือ “ผมภูมิใจในตัวคุณ” “ผมภูมิใจในความสำเร็จของคุ ณ” เป็นการให้กำลังใจที่ดีมาก โดยปกติแล้วคนไทยเราไม่ค่อย ชมเชยผู้อื่นด้วยคำพูดนี้เท ่าไหร่นัก
6. คำว่า "ขอบคุณ" (Thank you) ริช ระบุว่า เป็นคำที่ทุกๆ คนอยากได้ยิน และทุกคนสามารถกล่าวได้อย่า งไม่ตะขิดตะขวง เรากล่าวคำขอบคุณกับผู้ให้บ ริการ หรือผู้ที่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใ ดให้เรา กล่าวกับผู้ที่ชมเชยเรา ผู้ที่มีน้ำใจ หรือมีเมตตาต่อตัวเรา แม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องเล็ กๆ น้อยๆ
7. "ฉันต้องการคุณ" (I need you) เป็นอีกคำที่มีอานุภาพยิ่งส ำหรับคนคิดบวก เพราะบ่งบอกถึงการยอมรับในค วามสามารถผู้อื่น เป็นคำที่สำคัญมากสำหรับผู้ นำ จะเห็นว่าผู้นำหลายๆ คน เมื่อมีตำแหน่งสูงขึ้นเพียง ใดยิ่งมองไม่เห็นความสำคัญข องผู้มีตำแหน่งต่ำกว่า ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่มีทางที่เราจะนำพาองค์กร ไปสู่ความสำเร็จได้โดยลำพัง เมื่อคุณกล่าวคำคำนี้ออกมา จะเป็นการสร้างบรรยากาศเชิง บวกให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือที่ท ำงาน
8. "ฉันวางใจในตัวคุณ" (I trust you) ความสำเร็จที่ได้รับขึ้นอยู ่กับเราได้มอบความไว้วางใจใ ห้กับใครสักคน ว่า จะสามารถทำงานให้บรรลุเป้าห มาย และไว้ใจได้ว่าจะรักษาสัญญา ที่ให้ไว้ เราจำเป็นต้องไว้วางใจเพื่อ นร่วมงาน ครอบครัว รวมไปถึงชุมชน ในสังคมที่ไม่มีความไว้วางใ จซึ่งกันและกัน จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้
ความไว้วางใจเป็นคุณสมบัติส ำคัญของการเป็นผู้นำเช่นกัน เมื่อมีคุณสมบัตินี้ ใครๆ ก็อยากเป็นเหมือนคุณ อยากเป็นเพื่อนคุณ อยากปฏิบัติตามคุณ อยากทำธุรกิจหรือร่วมลงทุนก ับคุณริช ระบุไว้ในหนังสือว่า กฎทองของคำคำนี้ คือ จงปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนที่อยากให้ผู้อื่นปฏิ บัติกับคุณ
9. "ฉันเคารพคุณ" (I respect you) คุณจะได้รับความเคารพกลับมา ก็ต่อเมื่อให้ความเคารพผู้อ ื่น "ฉันเคารพคุณ" จึงเป็นคำพูดที่ทั้ง "ให้" และ "รับ" จากผู้อื่น การเคารพยังเป็นการแสดงออกท ี่ซ่อนเร้นได้ยาก และสามารถรับรู้ได้โดยสัญชา ตญาณ
ริช กล่าวว่า ในช่วงที่เป็นผู้นำองค์กรเข าคิดว่าการเคารพผู้อื่นเป็น สิ่งสำคัญที่สุด ความรู้พื้นฐานทางธุรกิจและ วิธีการดำเนินองค์กรจะมีค่า น้อยทันที หากคุณไม่เคารพคนที่คุณทำงา นด้วย ถ้าพวกเขาไม่เคารพคุณ เท่ากับคุณไม่ใช่คนที่เป็นผ ู้นำ "เราทุกคนล้วนต้องการเป็นที ่เคารพ ถ้าคุณต้องการความเคารพ ผมแนะนำให้คุณเริ่มต้นด้วยก ารเคารพผู้อื่นก่อน" ริช เดอโวส ระบุเอาไว้
10. "ฉันรักคุณ" (I love You) เป็นคำพูดทรงพลังที่โอบกอดท ุกคนไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกต่อค นรัก ครอบครัว หรือหมู่เพื่อนสนิท เป็นคำพูดที่ผู้ฟังรู้สึกอบ อุ่นมากกว่า "ฉันวางใจในตัวคุณ" หรือ "ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ" เป็นคำที่ใช้พูดกับคนที่คุณ รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ การพูดว่า "ฉันรักคุณ" เป็นย่างก้าวสำคัญสำหรับทุก ๆ คน
Via ส า ร ะ - ภ า พ
via The Youngblood Way ( Stock Investor )
ที่มา : http://www.oknation.net/ blog/pukipuki/2011/03/22/ entry-2
มาดูกันว่า “10 วลีทรงพลังเพื่อคนคิดบวก” ของริช เดอโวส มีอะไรกันบ้าง
1.“ฉันผิดเอง” (I am wrong) ริช เดอโวส ระบุว่า “ฉันผิดเอง” เป็นคำพูดที่ช่วยเปลี่ยนทัศ
“ฉันผิดเอง” ยังเป็นคำพูดที่แปรเปลี่ยนศ
2. “ฉันขอโทษ” (I am sorry) หลายๆ ครั้งที่การกล่าวถ้อยคำสั้น
การกล่าว "ขอโทษ" ต้องออกจากส่วนลึกจริงๆ ความรู้สึกนี้ยังเกิดขึ้นพร
ผมเองใช้คำว่า “ขอโทษ” ทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำงา
3."คุณทำได้" (You can do it) ริช ระบุว่า...ผู้คนจำนวนมากไม่
4.“ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ” (I believe in you) เป็นคำพูดที่ต่อเนื่องจาก “คุณทำได้” (คุณทำได้...ฉันเชื่อมั่นใน
เราสามารถแสดงให้เห็นถึงควา
5.“ฉันภูมิใจในตัวคุณ” (I am proud of you) เพียงเราเปล่งคำนี้ จะพบว่ามีอานุภาพสูงมากในกา
6. คำว่า "ขอบคุณ" (Thank you) ริช ระบุว่า เป็นคำที่ทุกๆ คนอยากได้ยิน และทุกคนสามารถกล่าวได้อย่า
7. "ฉันต้องการคุณ" (I need you) เป็นอีกคำที่มีอานุภาพยิ่งส
8. "ฉันวางใจในตัวคุณ" (I trust you) ความสำเร็จที่ได้รับขึ้นอยู
ความไว้วางใจเป็นคุณสมบัติส
9. "ฉันเคารพคุณ" (I respect you) คุณจะได้รับความเคารพกลับมา
ริช กล่าวว่า ในช่วงที่เป็นผู้นำองค์กรเข
10. "ฉันรักคุณ" (I love You) เป็นคำพูดทรงพลังที่โอบกอดท
Via ส า ร ะ - ภ า พ
via The Youngblood Way ( Stock Investor )
ที่มา : http://www.oknation.net/
.................................................................................................................................
..............................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น