15 แนวคิดของผู้ประสบความสำเร็ จ (จอห์น ซี แมกซ์เวล, How Successful People Think )
“บุคคลที่ประสบความสำเร็จต่ างๆของโลกนั้น ล้วนแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือ นกัน –พวกเขาคิดต่างจากคนทั่วไป”
1. คิดให้เป็นกิจวัตร การจะเป็นนักคิดที่เก่งจำเป ็นต้องมีการฝึกฝนเป็นประจำ
แดน แคธี ซีอีโอของ Chick-fil-A แฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดชื่อดังของ สหรัฐ จัดเวลาให้ตนเองครึ่งวันทุก ๆ 2 สัปดาห์ 1 วันทุกๆ เดือน และ 2-3 วัน ทุกๆ ปี เพื่อคิดตริตรองและวางแผนในเรื่องต่าง ๆ
2. ใช้กฏ 80/ 20 นั่นคือ อุทิศ 80% ของพลังงานทั้งหมดในตัวคุณให้กั บ 20% ของกิจกรรมที่สำคัญที่สุด
จำไว้เสมอว่าคุณไม่สามารถอย ู่ได้ทุกหนทุกแห่ง รู้จักคนทุกคน ทำอะไรได้ทุกสิ่ง หลีกเลี่ยงการทำหลายๆ กิจกรรมพร้อมกันหากมันทำให้ ประสิทธิภาพในการทำงานของคุ ณลดลง
3. เปิดกว้างตนเองแก่ความเห็นท ี่แตกต่างและเปิดใจแก่ผู้คน หลากหลายประเภท
4.ไอเดียเป็นสิ่งสำคัญ แต่การต่อยอดไอเดียนั้นก็สำ คัญไม่แพ้กัน
เตือนตัวเองไว้เสมอว่าไอเดี ยนั้นไม่มีสารกันบูด จงรีบทำอะไรกับไอเดียดีๆ ที่เราคิดขึ้นมาได้ก่อนที่ม ันจะหมดอายุไปเสีย
5. ความคิดที่ดีนั้นใช้เวลาในก ารสร้าง
อย่าเพิ่งลงหลักปักฐานกับสิ ่งแรกที่เข้ามาในหัวของคุณ ความคิดที่ดีมักจะต้องมีการ ปรับแต่งให้มีรูปร่างและผ่า นกระบวนการทดสอบมาแล้ว
6. คนฉลาดมักจะชอบทำงานร่วมกับ คนฉลาด
การคิดร่วมกันมักให้ผลตอบแท นที่ดีกว่าคล้ายกับเป็นทางล ัดให้กันและกัน การระดมความคิดจึงเป็นวิธีก ารที่เพิ่มประสิทธิภาพและคว ามรวดเร็วให้กับงานต่างๆ
7. ความคิดกระแสนิยมอาจไม่ใช่ค วามคิดที่ดีที่สุดเสมอไป
อย่าเพียงทำตามผู้อื่นเพราะ คิดว่าเป็นสิ่งที่ใครๆ ได้ไตร่ตรองมาแล้วจึงย่อมจะ ดีเสมอ ผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว ่ากว่าใครๆ นั้นมักคิดอะไรด้วยตนเอง เขาจึงโดดเด่นจากฝูงชน
8. วางแผนหรือกลยุทธ์ตั้งแต่เน ิ่นๆ เพื่อลดความผิดพลาด
ให้แตกประเด็นใหญ่เป็นส่วนย ่อยๆ เพื่อแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้ น จากนั้นอย่าลืมตรวจสอบทรัพย ากรและเครื่องมือต่างๆ ที่คุณมีและจัดวางมันให้เหม าะสมในการแก้ปัญหา
9. หาเวลาคิดและทำในสิ่งที่แตก ต่างอยู่เสมอๆ
ลองทำอะไรในกิจวัตรประจำวัน ที่คุณยังไม่เคยทำมาก่อนเพื ่อการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิตและหามุมมองกับไอเดี ยความคิดที่สดใหม่
10. ความคิดคุณไม่มีทางที่จะถูก ต้องเสมอไป
ให้โอกาสกับความคิดผู้อื่นบ ้าง
11. มีกำหนดการอยู่เสมอ อย่าวางแผนเพียงวันต่อวัน
ควรวางแผนล่วงหน้าระยะยาวให ้เป็นนิสัย คิดก่อนว่าจะเรียนรู้เรื่อง อะไรจากใคร คนฉลาดจะไม่เข้าสู่การประชุ ม งานสังสรรค์ หรือการจิบกาแฟพูดคุยอย่างไ ร้จุดหมาย (ใช้เวลาไปสร้างสรรงานอื่นๆ ดีกว่าเสียเวลาประชุมอะไรที ่ไม่มีผลผลิตที่มีค่าพอ)
12. ฝึกฝนการคิดสะท้อน (Reflective Thinking) หรือการคิดหลายแง่มุม
นี่เป็นการคิดเป็นระบบเหตุผ ลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ การคิดที่มาจากการไตร่ตรองแ ล้วจะทำให้คุณมีความมั่นใจใ นการตัดสินใจ
13. หลีกเลี่ยงการพูดแง่ลบกับตน เอง จงคิดว่าคุณสามารถทำได้ และคุณจะทำ
คนฉลาดจะไม่เห็นข้อจำกัดต่า งๆ แต่ในทางกลับกันเขาจะเห็นโอ กาสที่ถูกหยิบยื่นมา
14. มีความคิดสร้างสรร
อุทิศเวลาให้กับการค้นหาไอเ ดียใหม่ๆ อย่าไปกลัวความคลุมเครือและ ความล้มเหลวในเรื่องต่างๆ
15. อย่ามองโลกในแง่บวกไปเสียทุ กเรื่อง
ต้องคิดให้สมเหตุสมผล และยอมรับความเป็นจริง คิดวิเคราะห์ทั้งในแง่บวกแล ะแง่ลบ จำลองสถานการณ์เลวร้ายที่สุ ดที่สามารถเกิดขึ้นได้ และไม่ลืมที่จะวางแผนบนพื้น ฐานของทรัพยากรที่ตนเองมีอย ู่
ท้ายที่สุดนั้น อย่าลืมว่าคุณสามารถเปลี่ยน แนวคิดของคุณได้ การเรียนรู้กระบวนการคิดที่ ถูกต้องจะทำให้คุณเป็นคนที่ คิดอย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณสามารถสร้างวินัยในกา รการคิด มันจะเป็นนิสัยที่ติดตัวคุณ ไปตลอด และจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำใ ห้คุณประสบความสำเร็จในชีวิ ต
“บุคคลที่ประสบความสำเร็จต่
1. คิดให้เป็นกิจวัตร การจะเป็นนักคิดที่เก่งจำเป
แดน แคธี ซีอีโอของ Chick-fil-A แฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดชื่อดังของ
2. ใช้กฏ 80/
จำไว้เสมอว่าคุณไม่สามารถอย
3. เปิดกว้างตนเองแก่ความเห็นท
4.ไอเดียเป็นสิ่งสำคัญ แต่การต่อยอดไอเดียนั้นก็สำ
เตือนตัวเองไว้เสมอว่าไอเดี
5. ความคิดที่ดีนั้นใช้เวลาในก
อย่าเพิ่งลงหลักปักฐานกับสิ
6. คนฉลาดมักจะชอบทำงานร่วมกับ
การคิดร่วมกันมักให้ผลตอบแท
7. ความคิดกระแสนิยมอาจไม่ใช่ค
อย่าเพียงทำตามผู้อื่นเพราะ
8. วางแผนหรือกลยุทธ์ตั้งแต่เน
ให้แตกประเด็นใหญ่เป็นส่วนย
9. หาเวลาคิดและทำในสิ่งที่แตก
ลองทำอะไรในกิจวัตรประจำวัน
10. ความคิดคุณไม่มีทางที่จะถูก
ให้โอกาสกับความคิดผู้อื่นบ
11. มีกำหนดการอยู่เสมอ อย่าวางแผนเพียงวันต่อวัน
ควรวางแผนล่วงหน้าระยะยาวให
12. ฝึกฝนการคิดสะท้อน (Reflective Thinking) หรือการคิดหลายแง่มุม
นี่เป็นการคิดเป็นระบบเหตุผ
13. หลีกเลี่ยงการพูดแง่ลบกับตน
คนฉลาดจะไม่เห็นข้อจำกัดต่า
14. มีความคิดสร้างสรร
อุทิศเวลาให้กับการค้นหาไอเ
15. อย่ามองโลกในแง่บวกไปเสียทุ
ต้องคิดให้สมเหตุสมผล และยอมรับความเป็นจริง คิดวิเคราะห์ทั้งในแง่บวกแล
ท้ายที่สุดนั้น อย่าลืมว่าคุณสามารถเปลี่ยน
..........................................................................................................................
ท้ายรถกระบะเก่า กลายเป็นเก้าอี้วินเทจ
...............................................................................................................................
今日から「江たて(えたて)」(=溝切り)を始めました。
バイク型の溝切機で、田んぼに溝を作っていきます。
溝を作って、田んぼからスムーズに水を抜きます。
........................................................................................................................
.......................................................................................................................
ไทยรวย น้ำมัน(ดิบ)..แค่ไหน ?
ไทยรวยปิโตรเลียมแค่ไหน?
กระแสทวงคืน ปตท.ยังคงแรงจัดใครไม่เชื่อไม่ทวงด้วยจะถูกประณามว่าเลวหรือไม่ก็โง่ ความเชื่อนี้ตั้งอยู่บนความจริงใจที่จะต่อต้านคอร์รัปชั่นแต่ขณะเดียวกันก็ตั้งอยู่บนความไม่เข้าใจและข้อมูลที่สับสนหรือถูกบิดเบือน
แม้ดิฉันไม่ได้เชื่อในการทวงคืนแต่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น และเห็นว่ามีหลายอย่างที่ควรเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับปตท.ด้วย
วันนี้จะพยายามไขปัญหาปริมาณการผลิต “น้ำมัน” ในประเทศไทย แต่ด้วยพื้นที่จำกัดคงทำได้ระดับหนึ่งดิฉันได้เขียนอธิบายเกี่ยวเรื่องผลตอบแทนสัมปทานปิโตรเลียม ราคาน้ำมันและการอุดหนุนราคา LPG ไปก่อนนี้แล้ว
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าปิโตรเลียมจากใต้พิภพ “ต้นน้ำ”ที่เป็นน้ำมันดิบ(Crude Oil) กับที่เป็นก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) ซึ่งเราคุ้นเคยนั้นมีหน่วยวัดปริมาณที่ต่างกันน้ำมันดิบเป็น “บาร์เรล” ตามปริมาตร ก๊าซฯเป็น “ล้านลูกบาศก์ฟุต” ตามปริมาตร หรือเป็น ”ล้านบีทียู” ตามค่าความร้อนนอกจากนี้ใต้พิภพยังมีของเหลวที่เรียกว่า คอนเดนเสท (Condensate) หรือ ก๊าซธรรมชาติเหลว ซึ่งหน่วยวัดเป็นบาร์เรลเพราะเป็นของเหลวในอุณหภูมิของบรรยากาศปกติ แหล่งปิโตรเลียมต่างๆมักจะมีทั้ง 3 อย่างปนกันอยู่แต่ในอ่าวไทยส่วนใหญ่เป็นก๊าซธรรมชาติ
เวลาพูดถึงยอดรวมการผลิตจึงต้องรวมกันด้วยหน่วยค่าความร้อน “เทียบเท่าน้ำมันดิบ”หรือ boe (Barrel of crude Oil Equivalent) 1boe ของก๊าซธรรมชาติคือปริมาณที่ให้ค่าความร้อนเท่ากับ 1 บาร์เรลของน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ 5,588ลบ.ฟุต เทียบเท่าน้ำมันดิบ 1 บาร์เรล การผลิตทุกชนิดมักรายงานเป็นค่าเฉลี่ยต่อวันหรือ b/d
ประเด็นโต้แย้งอันหนึ่งในโลกออนไลน์คือ ที่กระทรวงพลังงานลงโฆษณาว่าประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันดิบถึง85% เพราะการใช้สูงกว่าที่ผลิตได้เองซึ่งมีเพียง 15% ฝ่ายทวงคืนอ้างถึงรายงานประจำปี2012 ของบริษัทเชฟรอน “ระบุชัด” ว่าน้ำมันดิบและคอนเดนเสทขุดสูบได้ 243,000b/d ซึ่งเป็นเกือบ 30% ของปริมาณนำเข้าแล้วถ้ารวมบริษัทอื่นๆผลิตด้วยจะมีมากแค่ไหน?
ข้อเท็จจริงคือ บริษัทเชฟรอนรายงานผลรวมของปิโตรเลียมทั้ง3 ชนิดคือ ก๊าซธรรมชาติก๊าซธรรมชาติเหลว และน้ำมันดิบ เป็น หน่วยเทียบเท่าน้ำมันดิบ(boe) จะหยิบทั้งก้อนมาอ้างว่าเป็นน้ำมันดิบไม่ได้ โดยเฉพาะในอ่าวไทยน้ำมันดิบมีการผลิตเป็นส่วนน้อยมากอยู่แล้ว
ก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่จะถูกทางท่อส่งไปเข้าโรงแยกก๊าซซึ่งแยกก๊าซธรรมชาติออกมาเป็นก๊าซประเภทต่างๆ ได้แก่ มีเธน อีเธน โพรเพน บิวเทนและอื่นๆ รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่า NaturalGasoline (NGL) หรือ แก๊สโซลีนธรรมชาติ ฉะนั้น ยอดรวมการผลิตน้ำมันจากใต้พิภพจึงต้องไม่รวม NGLเพราะจะเป็นการนับซ้ำ อย่างในกรณีที่ฝ่ายทวงคืนกล่าวหากระทรวงพลังงานว่าไม่ได้รวมNGL ในตัวเลขการผลิตปิโตรเลียม
อีกประเด็นโต้แย้งเกิดจากการนำข้อมูลคนละนิยามมาเปรียบเทียบกันแล้วประณามว่าฝ่ายรัฐโกหก ฝ่ายทวงคืนอ้างข้อมูลการผลิต “น้ำมัน”ตามรายงานของUS Energy Information Administration (EIA) กระทรวงพลังงานประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าไทย “ขุดสูบ”ได้ 40% ซึ่งต่างจาก 15% ข้างต้นมาก
หากไปดูรายงาน Short Term EnergyOutlook, January 2013 ที่มีการกล่าวอ้างจะพบว่า EIA ระบุว่าในปี2011 ประเทศไทยผลิตน้ำมันได้ 393,000 b/d โดยเป็นน้ำมันดิบ 140,000 b/d และคอนเดนเสท 84,000 b/d และหากดูนิยามของEIA ในเวปไซท์ของ EIA แล้วจะพบว่าการผลิตน้ำมันนั้นรวมถึงของเหลวจากโรงแยกก๊าซฯและอื่นๆด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ LPG นั่นเองเมื่อเทียบกับข้อมูลในรายงานพลังงานของประเทศไทยของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานปี 2554 จะพบว่ามีความสอดคล้องกัน คือการผลิตน้ำมันดิบเท่ากับ 137,417b/d และคอนเดนเสท 92,082b/d ในขณะที่การผลิต NGL และ LPG จากโรงแยกก๊าซฯเท่ากับ 16,955 b/d และ 137,986 b/d ตามลำดับและเมื่อรวมการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอีก 19,557 b/d แล้ว จะได้การผลิตน้ำมัน 403,998 b/d
ฉะนั้นหากถือตามนิยาม “น้ำมัน” ดังกล่าว ตัวเลขการผลิตในประเทศจะเป็น 37.8% ของการใช้ทั้งหมดและหากดูเฉพาะน้ำมันดิบที่ผลิตจากใต้พิภพ เทียบการผลิตกับการใช้น้ำมันดิบของโรงกลั่นในตารางเดียวกันก็จะได้ 15.3% สรุปว่าถูกทั้งคู่ สิ่งที่ฝ่ายทวงคืนนำเสนอจึงเสมือนนำแพะมาเปรียบเทียบกับแกะแล้วประณามว่าแพะไม่เหมือนแกะ ต้องมีการทุจริตแน่นอน
ความจริงอาจจะมีการทุจริตหรือการใช้เงินที่ไม่เหมาะสมแต่ตราบใดที่พิสูจน์กันไม่ได้ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ ปรับธรรมาภิบาลในการกำกับดูแลให้โปร่งใสและลดความเสี่ยงจากผลประโยชน์ทับซ้อนปรับโครงสร้างธุรกิจ เช่น แบ่งขายโรงกลั่น แยกระบบท่อก๊าซออกมา แก้ไขพรบ.การแข่งขันทางการค้าให้เลิกยกเว้นรัฐวิสาหกิจ ทำ ปตท.ให้โปร่งใส ให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมเท่าที่ทำได้เพื่อสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพและเกิดความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค
............................................................................................................................
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=CHN42MjNcFU
............................................................................................................................
เป็นคำถามลอยๆที่ผมถามตัวเอ งขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องนี้เ มื่อนานมาแล้ว พอได้ยินข่าวช้างเผือกที่อุ ทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ผมก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นม าอีกครั้ง อย่างที่ผมเคยพูดไว้ครับว่า ผมจะเอาบางเรื่องที่ผมคิดว่ า เคยทำ/ คิดจะทำ รายงานส่งอาจารย์ แล้วคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งในนั้น ครับ ผมทำเรื่องนี้ตอนมหาลัยปี 1 เลย บอกตรงๆว่า ห่วยครับ ก๊อปหนังสือมาเกือบทั้งฉบับ เล่มนี้บ้าง เล่มนี้บ้าง ความเห็นของผมเองจริงๆมีประ มาณ 4-5 บรรทัดตอนสรุปรายงาน ผมบอกตอนจบเลยครับว่า ผมสรุปว่าไทยเสียกรุงฯให้พม ่าในสงครามช้างเผือกครั้งนี ้ รวมไทยแล้วไทยเสียกรุงฯให้พ ม่าทั้งหมด 3 ครั้ง
อันนั้นเป็นข้อสรุปของผมตอน นั้น แต่ในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ก็ต้องดูไปเรื่อยๆครับ(เพรา ะผมเองก็ยังนึกตอนจบไม่ออกค รับตอนนี้ ว่าจะสรุปยังไง) และก็ไม่รู้นะครับว่าจะดีกว ่ารายงานเล่มนั้นไหม แต่แน่นอนครับ มันมีความต่างอย่างสุดขั้วใ นสองครั้งที่ผมพูดเรื่องนี้ คือ ครั้งนั้นความคิดเห็นของผมใ ช้ประกอบข้อมูลที่ผมไปค้นมา แต่ครั้งนี้ ข้อมูลที่ผมค้นมาจะมาใช้ประ กอบความคิดเห็นของผม เรามาเริ่มกันเลยครับ
หลังสงครามคราวเสียสมเด็จพร ะศรีสุริโยทัย พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้กลับไป พม่าก็ใช้สุราดับความขุ่นข้ องที่ตีกรุงศรีฯไม่แตก จนถูกวางแผนปลงพระชนม์ ความวุ่นวายเกิดขึ้นช่วงระย ะหนึ่ง ก่อนที่บุเรงนองจะรวบรวมพม่ าได้อีกครั้ง ทางฝ่ายไทยนั้นหรือ มีการคล้องช้างเผือกได้ถึง 7 เชือก ซึ่งถือเป็นเรื่องอันเป็นมง คลยิ่ง แต่ประจวบเหมาะกับการที่พม่ าหาเหตุเข้ามาตีกรุงศรีฯ เรื่องนี้จากจะเป็นเรื่องดี ๆ กลับกลายเป็นเหตุให้เกิดสงค รามครั้งใหญ่ไปซะได้
บุเรงนอง ส่งราชทูตเชิญพระราชสาส์นมา ขอพระราชทานช้างเผือกสองเชื อก ผมว่าจริงๆช้างได้ก็ดี ไม่ได้ก็ช่าง แต่จุดมุ่งหมายจริงๆนั้นผมว ่า 1)สร้างความแตกแยกในไทย 2)ถ้าไม่ให้ก็ใช้เป็นเหตุใน การยกทัพมาตีกรุงศรีฯ ซึ่งผมเห็นว่า จุดมุ่งหมายที่แท้จริงทั้งส องข้อก็บรรลุผล คือ สร้างความแตกแยกระหว่าขุนนา งไทย (ให้ กับไม่ให้) และสุดท้ายสมเด็จพระมหาจักร พรรดิ ไม่ให้ จึงเป็นเหตุให้บุเรงนองนำทั พพม่า เข้าตีกรุงศรีอยุธยา
รายละเอียดของสงครามนั้น ผมขอพูดสั้นๆ คือ บุเรงนองยกทัพมาทางด่านแม่ล ะเมา ตีแตกมาเรื่อยจนเข้าล้อมเมื องพิษณุโลก พระมหาธรรมราชา(พระบิดาสมเด ็จพระนเรศวร) สู้ไม่ได้จึงต้องถวายสัตย์อ ยู่ข้างฝ่ายพม่า แล้วบุเรงนองก็ให้พระมหาธรร มราชา ครองพิษณุโลกต่อไป จากนั้นพม่ายกทัพต่อลงมาตีก รุงศรีฯ พม่าก็ได้ปะทะกับทัพอยุธยาข องพระราเมศวร แต่ฝ่ายอยุธยาต้านทานไหว ต้องถอยกลับเข้ากรุงฯ พม่าได้เข้าล้อมกรุงศรีอยุธ ยาไว้ แล้วระดมยิงปืนใหญ่เข้าในพร ะนครทุกวัน จนราษฎรได้รับความเดือดร้อน และเสียขวัญ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ต้องเสด็จไปเจรจากับบุเรงนอ งยอมเป็นไมตรี เป็นอันสิ้นสุดการสู้รบ โดยมีเงื่อนไขในการเจรจา ดังนี้
- มอบช้างเผือก 4 เชือก ให้แก่พม่า(จากตอนแรกสองเชื อก)
- มอบพระราเมศวร พระยาจักรี(สุดท้ายท่านนี้แ หละที่ไปเข้ากับพม่าเปิดประ ตูเมืองจนเสียกรุงครั้งที่ 1 ผมดูตามหนังมานะครับ) และพระสุนทรสงครามให้แก่พม่ าเป็นตัวประกัน
- ส่งส่วยช้างให้พม่า ปีละ 30 เชือก เงินปีละ 300 ชั่ง และสิทธิในการเก็บภาษีที่เม ืองมะริด ซึ่งถือเป็นเมืองท่าสำคัญใน สมัยนั้น
ก่อนกลับบุเรงนองได้แวะเมือ งพิษณุโลกและขอพระนเรศวรซึ่ งขณะนั้นมีพระชนมายุ 9 พรรษา ไปเลี้ยงดูที่กรุงหงสาวดี(ซ ึ่งอันนี้ผมว่าก็เป็นตัวประ กัน ของพระมหาธรรมราชา) ส่วนอยุธยานั้น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงต่ อรองขอดินแดนของอยุธยาทั้งห มดที่บุเรงนองยึดไว้คืน บุเรงนองก็คืนให้แต่โดยดี
เอาล่ะครับ จุดสำคัญของเรื่องนี้ มันก็มาอยู่ตรงนี้ ตรงผลของสงครามนี่หล่ะครับว ่า ตอนนั้น ฐานะของอยุธยาเป็นอย่างไร การเสียกรุงฯที่ผมพูดถึง ผมมองว่าไม่จำเป็นต้องตีเมื องให้แตกนะครับ แต่ฐานะของคู่สงครามหลังสงค รามจบนั่นสิสำคัญ ผมขอเสนอสมมติฐานไว้ 3 แนวทาง
1.เหมือนก่อนเกิดสงครามครั้ งนี้
2.เมืองขึ้นของพม่า
3.ประเทศราชของพม่า
ต้องขอบอกความแตกต่างของเมื องขึ้น กับประเทศราช ในมุมมองของผมก่อนนะครับ คือเมืองขึ้นเนี่ย คือ เมืองที่อยู่ในปกครองของประ เทศอื่น อีกประเทศเข้าไปปกครอง หรือส่งคนเข้าไปปกครองอีกปร ะเทศ การกระทำการใดๆ ต้องอยู่ในคำสั่งของประเทศแ ม่โดยตรง สั้ นๆ คือ อิสรภาพทั้งภายใน-นอก ประเทศถูกจำกัด ส่วนประเทศราชเนี่ย คือ เมืองที่มีเจ้าผู้ครองเมือง ของตนเอง แต่อยู่ภายใต้อํานาจควบคุมด ูแล และคุ้มครองของพระมหากษัตริ ย์ ของอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งเจ้าเมืองประเทศราชนั้น มีหน้าที่ส่งเครื่อง ราชบรรณาการถวายเป็นประจํา และในเวลาเกิดศึกสงครามต้อง เกณฑ์กําลังทหารเข้าร่วมกอง ทัพหลวงด้วย คือมีอิสภาพภายในประเทศ แต่ภายนอกประเทศถูกจำกัด
มาลองพิจารณาดู ผมว่าข้อ 2 ตัดทิ้งไปได้เลย หลังสงครามอยุธยายังมีกษัตร ิย์ปกครองเช่นเดิม และไม่ได้ถูกควบคุมโดยพม่าแ ต่อย่างใด
มาที่ ข้อ 1 ผมเห็นว่านะครับ การที่เราเลิกสงครามโดยการม อบช้างเผือก 4 จาก 7 เชือกให้แก่พม่า ซึ่งมากกว่าประเทศที่ไปคล้อ งได้เองด้วยซ้ำเนี่ย ไม่ได้ทำให้ฐานะของประเทศเป ลี่ยนแปลงไปเลยนะครับ พูดกันตรงๆตามประสาบ้านๆ ก็แค่ เสียหน้า แต่การส่งส่วยช้างให้พม่า ปีละ 30 เชือก เงินปีละ 300 ชั่ง นี่สิครับ การส่งปีละ ก็หมายความว่า ต้องส่งให้ทุกปี แน่นอนล่ะครับว่า ฐานะของอยุธยาที่เมื่อก่อนไ ม่ได้ส่งส่วยแบบนี้ให้พม่า ไม่เหมือนเมื่อก่อนสงครามแน ่ๆ ทั้งยังมีตัวประกันอีกด้วย ผมเห็นว่า ข้อ 1 ก็สมควรตัดทิ้งไป
งั้นเราก็มาสรุปเลยไหมครับว ่า เป็นข้อ 3 อยุธยาเป็นประเทศราชของพม่า ผมว่ายังครับ ยัง เรามาพิจารณาองค์ประกอบหลาย ๆส่วนกันก่อนดีว่า ที่จะไปสรุปง่ายๆแบบนั้น จากองค์ประกอบที่ผมหามาประก อบนี้ ประเทศราชต้อง
1.ส่งสวย
2.ไปช่วยรบ
พูดถึงเรื่องการส่งส่วยให้พ ม่าก็ชัดเจนครับว่ามันเข้าข ่ายว่าอยุธยาจะเป็นประเทศรา ช แม้เราก็ไม่อาจจะทราบได้ว่า อำนาจของกษัตริย์พม่า ณ เวลานั้น ต่อ กษัตริย์อยุธยาเป็นอย่างไร แต่ก็แน่นอนว่าการส่งส่วยนั ้นเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะ พิจารณาว่า ใครเป็นประเทศราชของใคร แต่องค์ประกอบที่ผมคิดว่าสำ คัญไม่แพ้การส่งส่วย คือ ประเทศแม่เกิดสงครามประเทศร าชต้องส่งกองทัพไปช่วยรบด้ว ย ซึ่งเรื่องนี้ระหว่างอยุธยา กับพม่าตอนนั้น มันไม่ชัดเจนครับ อาจเป็นเพราะช่วงนั้นพม่าก็ ไม่ได้ไปรบกับใครที่ไหน เลยไม่ต้องจำเป็นให้อยุธยาต ้องส่งทัพไปช่วย แต่กรณีของอยุธยา กับพิษณุโลกมันต่างกันนะครั บ ผมขอยกเหตุการณ์สงครามเสียก รุงฯครั้งที่ 1 ซึ่งเกิดหลังสงครามช้างเผือ กนี้ เป็นตัวอย่าง การที่พม่ายกทัพมาคราวสงครา มช้างเผือกเชียงใหม่เป็นพัน ธมิตรช่วยรบ แน่นอน เชียงใหม่เป็นประเทศราชของพ ม่า แต่พิษณุโลกตอนนั้นยังขึ้นก ับกรุงศรีฯ พม่าต้องจัดการกับพิษณุโลกก ่อนจึงจะเดินทัพต่อไปได้ แต่คราวเสียกรุงฯครั้งที่ 1 นั้น ทั้งเชียงใหม่และพิษณุโลก ต่างช่วยพม่ารบกับกรุงศรีฯ แสดงว่าตอนนั้น(หลังสงครามช ้างเผือก) พิษณุโลกเป็นประเทศราชของพม ่าเต็มตัว ชัดเจน
จากที่กล่าวมาทำให้เห็นว่า ตอนนั้น อยุธยา โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง พิษณุโลกที่เราคิดเสมอว่าเป ็นส่วนหนึ่งของไทย กลับไปเข้ากับพม่า ซ้ำยังเป็นกำลังของพม่าไปเส ียอีก ทำให้ต้องมาพิจารณากันว่า สงครามคราวเสียกรุงฯครั้งที ่ 1 เป็นการปราบกบฏของพม่า หรือ เป็นการสู้รบระหว่างสองประเ ทศที่ทัดเทียมกัน
สำหรับการสรุปเรื่องนี้ของผ มในครั้งนี้ ผมก็ต้องบอกว่า อยุธยาเป็นประเทศราชของพม่า แค่ครึ่งตัวครับ ส่วนอีกครึ่งไม่ชัดเจน เพราะไม่มีกรณีศึกษามาให้เห ็นเป็นตัวอย่าง คือ ถ้าเราถือว่า แค่ส่งส่วยให้ก็ถือว่าเป็นป ระเทศราช อยุธยาก็คือประเทศราชของพม่ าครับ แต่พอมาดูว่าประเทศราชมันต้ องมีองค์ประกอบอย่างอื่นด้ว ย คือ การส่งกำลังไปช่วยรบเนี่ย จากชัดเจนมันก็แค่ ครึ่งๆ เพราะไม่เคยมีสงครามครั้งไห น(หลังสงครามช้างเผือก-สงคร ามเสียกรุงฯครั้งที่ 1) ที่อยุธยาส่งกองทัพไปช่วยพม ่ารบ(ลองค้นดูแล้วไม่มีครับ ถ้าผิดพลาดขออภัย) เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ ผมจึงขอสรุปว่า
หลังสงครามช้างเผือก อยุธยา ใกล้เคียงกับการเป็นประเทศร าชของพม่า แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ชัดเจ นว่าอยู่ในสถานะใด อธิบายข้อสรุปนี้อีกสักรอบ คือ ประเทศราชต้อง 1)ส่งส่วย 2)ช่วยรบ ข้อ 1)นั้นชัดเจนว่าใช่ แต่ข้อ 2)นั้นคือปัญหา เพราะไม่มีกรณีศึกษา เช่นสมมติว่า พม่ารบกับยะไข่ กรณีที่ผมจะยกมาก็เป็นได้หล ายแนวทางคือ
1.พม่าบอกให้อยุธยาไปช่วย อยุธยาไปช่วยรบ อันนั้นเราก็จะสรุปได้เลยว่ า อยุธยาเป็นประเทศราชของพม่า
2.พม่าบอกให้อยุธยาไปช่วย เหมือนข้อ 1. แม้อยุธยาจะไม่ยอมไปช่วย ซึ่งแสดงว่ามีข้อตกลงกันว่า ถ้ามีการรบต้องบอกกล่าวให้ม าช่วย ก็สรุปได้เช่นกันว่า อยุธยาเป็นประเทศราชของพม่า แต่อาจโดนข้อหาอื่น คือ กบฎ,แข็งเมือง (เพราะไม่ยอมไปช่วยประเทศแม ่รบ)
3.มีการรบเกิดขึ้น พม่ากำลังพลก็ไม่ค่อยจะเพีย งพอ แต่ก็ไม่ได้บอกให้อยุธยาไปช ่วยรบ ไปรบจัดการกับยะไข่เอง อันนี้ อยุธยา ก็ไม่ใช่ประเทศราชของพม่า
เมื่อความเป็นจริงไม่มีเหตุ การณ์ดังที่ผมยกมาเป็นตัวอย ่างข้างต้น จึงเป็นที่มาของข้อสรุปของผ มนั้นแล
***เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นความเห็นของผมล้วนๆครับ ใครจะเห็นเหมือน เห็นต่าง มันก็ต้องมีอยู่แล้ว ผมไม่ได้สรุป เพื่อจะบอกว่าผมถูก คิดอย่างอื่นไม่ได้ หรือยังไม่มีใครเคยคิดแบบนี ้ผมคิดคนแรก ซึ่งไม่ใช่หรอกครับ คงมีใครที่คิดแบบนี้มากมาย รูปภาพประกอบนี้ ก็มาจากหนังสือเรื่อง ”สงครามช้างเผือก ไทยเสียกรุงครั้งที่ 1” โดย เกริกฤทธี ไทคูนธนภพ (ขอบคุณเรื่องของภาพมา ณ ที่นี้ แต่ตัวหนังสือผมไม่เคยอ่านน ะครับ ไม่รู้ท่านว่าอย่าไรบ้าง อิอิ) แต่ที่ผมต้องการคือ หากท่านเห็นเหมือน ตรงไหนที่ท่านว่าใช่ และหากท่านว่ามันไม่ใช่ ท่านว่ามันควรเป็นอย่างไร ผมรับความเห็นต่างได้เสมอ เพราะผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ข อพื้นที่ให้กับคนที่เห็นต่า ง แบ่งปันอย่างสร้างสรรค์ครับ
***สุดท้ายนะครับ นี่ก็คือเรื่องที่ผมบอกท่าน เมื่อวานว่า อาจจะยาวที่สุดที่ผมเคยทำเล ย ช้าไปหนึ่งวัน ไม่ว่ากันนะครับ
อันนั้นเป็นข้อสรุปของผมตอน
หลังสงครามคราวเสียสมเด็จพร
บุเรงนอง ส่งราชทูตเชิญพระราชสาส์นมา
รายละเอียดของสงครามนั้น ผมขอพูดสั้นๆ คือ บุเรงนองยกทัพมาทางด่านแม่ล
- มอบช้างเผือก 4 เชือก ให้แก่พม่า(จากตอนแรกสองเชื
- มอบพระราเมศวร พระยาจักรี(สุดท้ายท่านนี้แ
- ส่งส่วยช้างให้พม่า ปีละ 30 เชือก เงินปีละ 300 ชั่ง และสิทธิในการเก็บภาษีที่เม
ก่อนกลับบุเรงนองได้แวะเมือ
เอาล่ะครับ จุดสำคัญของเรื่องนี้ มันก็มาอยู่ตรงนี้ ตรงผลของสงครามนี่หล่ะครับว
1.เหมือนก่อนเกิดสงครามครั้
2.เมืองขึ้นของพม่า
3.ประเทศราชของพม่า
ต้องขอบอกความแตกต่างของเมื
มาลองพิจารณาดู ผมว่าข้อ 2 ตัดทิ้งไปได้เลย หลังสงครามอยุธยายังมีกษัตร
มาที่ ข้อ 1 ผมเห็นว่านะครับ การที่เราเลิกสงครามโดยการม
งั้นเราก็มาสรุปเลยไหมครับว
1.ส่งสวย
2.ไปช่วยรบ
พูดถึงเรื่องการส่งส่วยให้พ
จากที่กล่าวมาทำให้เห็นว่า ตอนนั้น อยุธยา โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง พิษณุโลกที่เราคิดเสมอว่าเป
สำหรับการสรุปเรื่องนี้ของผ
หลังสงครามช้างเผือก อยุธยา ใกล้เคียงกับการเป็นประเทศร
1.พม่าบอกให้อยุธยาไปช่วย อยุธยาไปช่วยรบ อันนั้นเราก็จะสรุปได้เลยว่
2.พม่าบอกให้อยุธยาไปช่วย เหมือนข้อ 1. แม้อยุธยาจะไม่ยอมไปช่วย ซึ่งแสดงว่ามีข้อตกลงกันว่า
3.มีการรบเกิดขึ้น พม่ากำลังพลก็ไม่ค่อยจะเพีย
เมื่อความเป็นจริงไม่มีเหตุ
***เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นความเห็นของผมล้วนๆครับ
***สุดท้ายนะครับ นี่ก็คือเรื่องที่ผมบอกท่าน
............................................................................................................................
คนอายุมากก็เรียกว่าแก่มากน ั่นเอง แล้วถ้าแก่เปล่าๆ แล้วจะมีค่าอะไร เรียกว่า อยู่แบบรกโลก อยู่หนักแผ่นดิน ไม่ได้ทำให้แผ่นดินมีคุณค่า
ท่านจึงจำแนกคนที่เกิดมาในโ ลกไว้ ๓ ประเภท
๑. เกิดมาทำให้โลกงดงาม
๒. เกิดมาทำให้โลกทราม
๓. เกิดมาทำโลกให้มันเต็มจำนวน คนเท่านั้นเอง
พวกเกิดมาทำให้โลกงดงาม เป็นคนประเภทเอางานเอาการ ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ ด้วยการประกอบกิจการงานตามห น้าที่ เขาสนุกในงาน เพลิดเพลินในงาน ทำเรื่อยไปไม่หยุดยั้ง
พวกทำให้โลกทราม หมายความว่า ไม่ทำอะไร ถ้าจะทำก็ทำแต่เรื่องให้ยุ่ ง ให้เสียหาย สร้างปัญหา สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนให้คนอื่น เช่น เป็นนักการพนัน ชอบเที่ยวกลางคน เสพสุรายาเมา คบเพื่อนชั่ว สนุกสนาน ประเภทไม่ได้สาระแก่นสาร... .แม้จะขยันก็ขยันในทางที่ไม ่เป็นคุณค่า ก็อยู่ในประเภทขยันไม่เข้าเ รื่อง
อีกประเภท เกิดมาแล้วอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร เกิดมาทำให้โลกมันเต็มจำนวน คนเท่านั้นเอง เช่นว่า คนบางคนเกิดมาในสกุลที่พ่อแ ม่มีฐานะมีเงินมีทอง แล้วก็ไม่ทำอะไร เอาแต่เงินของพ่อแม่ไปกินไป ใช้สนุกสนานไป กินแล้วนอน...กินแล้วเที่ยว อย่างนี้อยู่ในประเภทเกียจค ร้าน ชีวิตไม่ก้าวหน้า
ปัญญานันทภิกขุ
บางส่วนจาก "เลิกเกียจคร้านกันเถิด เพื่อความก้าวหน้าของชีวิต"
ท่านจึงจำแนกคนที่เกิดมาในโ
๑. เกิดมาทำให้โลกงดงาม
๒. เกิดมาทำให้โลกทราม
๓. เกิดมาทำโลกให้มันเต็มจำนวน
พวกเกิดมาทำให้โลกงดงาม เป็นคนประเภทเอางานเอาการ ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ ด้วยการประกอบกิจการงานตามห
พวกทำให้โลกทราม หมายความว่า ไม่ทำอะไร ถ้าจะทำก็ทำแต่เรื่องให้ยุ่
อีกประเภท เกิดมาแล้วอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร เกิดมาทำให้โลกมันเต็มจำนวน
ปัญญานันทภิกขุ
บางส่วนจาก "เลิกเกียจคร้านกันเถิด เพื่อความก้าวหน้าของชีวิต"
........................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น