วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

03/05/2556




ยังคงหมอบกราบ

"แลธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้ในประเทศสยามนี้ เหนว่าเปนการกดขี่แก่กันแขงแรงนัก ผู้น้อยที่ต้องหมอบคลานนั้น ได้ความเหน็จเหนื่อยลำบาก [...] ธรรมเนียมอันนี้แลเหนว่าเปนต้นแห่งการที่เปนการกดขี่แก่กันทั้งปวง เพราะฉนั้นจึ่งจะต้องละพระราชประเพณีเดิม ที่ถือว่าหมอบคลานเปนการเคารพอย่างยิ่งในประเทศสยามนี้เสีย"

ส่วนหนึ่งในคำประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่
หนังสือราชกิจจานุเบกษา ประกาศการยกเลิกการหมอบคลาน
พ.ศ. 2416

ที่มา: http://prachatai.com/journal/2012/10/43275
----------------------------------

"การถวายบังคมแบ่งออกเป็น ๓ จังหวะ ดังนี้
จังหวะที่ ๑ ยกมือขึ้นประนมระหว่างอก ปลายนิ้วตั้งขึ้นแนบตัวไม่กางศอก
จังหวะ ที่ ๒ ยกมือที่ประนมขึ้น ให้ปลายนิ้วหัว แม่มือจรดหน้าผากเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
จังหวะที่ ๓ ลดมือกลับลงตามเดิมมาอยู่ ในจังหวะที่ ๑
ทำให้ครบ ๓ ครั้ง โดย จบลงอย่างจังหวะที่ ๑ แล้วจึงลดมือลง วางคว่ำเหนือเข่าทั้งสองข้า

การถวายบังคม ดังกล่าวนี้ หญิงมีโอกาสใช้น้อย จะใช้ใน กรณีที่มีชายกับหญิงไปถวายบังคมร่วมกัน ถ้าหญิงล้วนให้ใช้วิธีหมอบกราบ ทั้งนี้ เพื่อให้มีความถูกต้อง ผู้ว่าราชการจังหวัดได้จัดพิธีซ้อมการถวายบังคมให้กับส่วนราชการจังหวัด โดยความร่วมมือจากสภาวัฒนธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นอย่างดี ในวันที่ ๒๒ ตุลาคมนี้"


ที่มา: http://ayutthaya.go.th/page.php?news_ID=2537

by Admin AC & Ao

..............................................................................................................


วันนี้ให้ลูกน้องในทีม ไม่ผ่านทดลองงาน (ฝากถึงน้องๆที่จบมาใหม่ๆ)

กระทู้สนทนา
วันนี้ให้น้องในทีม ไม่ผ่านทดลองงาน 1 คน ปรากฏว่าน้องเอาผมไปด่าใน Facebook ซะไม่เหลือชิ้นดี (น้องมา add เป็นเพื่อนตอนเข้างานแรกๆ)
ข้อความรุนแรงและหยาบคายมาก ถึงพ่อถึงแม่ที่เดียว แล้วก็มีเพื่อนๆของน้องเข้า comment กันอย่างเมามัน(เข้ามาร่วมกันด่าผม) อ่านแล้วก็เป็นห่วงน้อง....ต่อไปน้องจะเป็นอย่างไรต่อ

รับน้องคนนี้เข้ามาช่วงก่อนปีใหม่ ในตำแหน่ง Production Engineer อยู่ในทีม New Model น้องจบมาจากสถาบันที่มีชื่อเสียง เกรดเฉลี่ยค่อนข้างสูง บุคคลิกดี แต่พูดจาไม่ค่อยสุภาพ ชอบหลุดคำหยาบบ่อยๆ ช่วง 1 เดือนแรก ยังไม่มีอะไร มาแต่เช้า ขยัน บอกอะไรก็จด สอนอะไรก็ฟัง
พอปล่อยให้เข้าทีม ก็ดูอยู่ห่างๆ ปล่อยให้หัวหน้าทีมดูแลต่อ ปัญหาที่เจอคือ

         1.น้องอ่อนในเรื่องภาษาอังกฤษมาก สื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้าค่อนข้างมีปัญหา (ฝรั่ง จีน มาเลเซีย อินดีย ญี่ปุ่น ฟิลิปินส์) ดูจาก e-mail ที่น้องส่งออกไป cc ถึงผม เหมือนกับพิมพ์เป็นไทย แล้วเอาไปวางในโปรแกรมแปลภาษา อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง  ก็เลยให้หัวหน้าทีมช่วย ตรวจสอบก่อนส่ง mail ภาษาอังกฤษ  แล้วก็บอกให้ไปเรียนภาษาเพิ่ม หรือไม่ก็ลองไล่ดู mail เก่าๆ ที่ Engineer คนก่อน เค้าคุยกับลูกค้าว่าคุยกันอย่างไร ขึ้นต้นอย่างไร เนื้อหาเป็นอย่างไร ลงท้ายอย่างไร
         2. น้องใช้งาน Microsoft Excel ไม่เป็นเลย เอกสารที่ใช้ติดต่อกันภายในบริษัท หรือติดต่อลูกค้า 80 % เป็น Excel (งาน New Model เกี่ยวกับ Auto Part ตามระบบ TS 16949 เอกสารจะค่อนข้างเยอะ มีสูตรคำนวนเยอะ กราฟเยอะ ข้อมูล link กันเยอะ น้องไม่ได้เลย
         3. PowerPoint ทำได้เด็กน้อย น่าใจหาย (อันนี้ไม่ซีเรียส เพราะแรกๆผมก็ไม่เป็นเหมือนกัน ค่อยๆฝึกกันก็ได้ เพราะในทีมมีเซียนอยู่แล้ว)
         4. การประสานงานกับ Technician ,Leader ,Line production ค่อนข้างมีปัญหา EQ น้อย ชอบสั่งงานแล้วหายหน้าไปเลย งานสะดุดตลอด Line production ไม่รู้ว่าจะเอาไงต่อ
         5. งานในทีมเป็นงานที่ไม่จบในเวลา บางครั้งต้อง Trial หลายๆ Condition ให้ลูกค้าเอากลับไป Test บางครั้ง 5 ทุ่ม เที่ยงคืน ตี1 ตี 2 ก็เคย ถ้าลูกค้ารอเอางานเราก็ต้องทำ แต่ไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกวัน case by case แต่น้องใจไม่สู้ หนีกลับบ้านโดยไม่แจ้งใคร ปล่อยให้ลูกค้านั่งรอ จนถูกลูกค้า complain ( case นี้ทำให้ทีมเข้าห้องมืดกันทั้งทีม)
          6. 2 เดือนหลัง เริ่มมาสาย หลับในห้องประชุม (ทราบภายหลังว่าน้องติดเกมส์ออนไลน์อย่างหนัก)
          7.น้องติด Facebook มาก เล่นทั้งวัน เคยถ่ายรูปงาน sample & Mold ไปอวดเพื่อนใน Face ซึ่งเป็น Part ของรถยนต์ที่จะออกปี 2015 (ทั้งที่เรื่องนี้ได้รับการ Train ในวันแรกที่เข้าทำงาน)
***ซึ่งผมได้เรียกเข้ามาคุย ชี้ข้อบกพร่องให้ทราบทุกเดือน (ต้องประเมินคะแนนส่ง HR ) และกำหนดเป้าหมายการทำงานให้น้องได้พัฒนา ถ้าเจอปัญหาก็จะเรียกมาสอนทุกครั้ง
แต่ครบ 4 เดือน น้องไม่พัฒนาขึ้นเลย จนสุดท้ายคะแนนไม่ผ่าน standard ผมเรียกมาคุย แล้วอธิบายให้ฟัง เป็นข้อๆ แต่เหมือนจะไม่พยายามเข้าใจอะไรเลย เถียงแล้วเริ่มมีคำหยาบหลุดออกมา ผมก็เลยให้ปล่อยให้ HR จัดการต่อ เสียใจครับที่น้องไม่เข้าใจในสิ่งที่เราอยากจะสื่อ
ใน Facebook มีเพื่อนน้องคนนึงบอกว่า ไม่ต้องห่วงเราจบมาจาก.............ยังไงก็หางานได้ไม่ยาก ไม่ต้องไปสนใจบริษัท เ_ี้ยๆ แบบนั้น ก็จะบอกกับน้องว่า น้องกำลังทำให้ชื่อเสียงที่เค้าสั่งสมมานานต้องเสียไปหรือเปล่า ถ้า 10-20 ปีก่อนไม่เถียง แต่เดี่ยวนี้โลกมันเปลี่ยนเยอะ
อยากจะบอกน้องเหลือเกินว่า ชุดครุยที่พี่ใส่ตอนรับปริญญาก็สีเดียวกับน้อง  อย่าเอาความคิดว่าเราเหนือกว่าคนอื่นมาฝังหัว
ผมเคยรับน้องคนหนึ่งจบเครื่องกล จาก ม.เอกชน แถวๆคลองหนึ่ง คลอง 2  เกรด 2 นิดๆ  แต่น้องเก่งมาก เป็นงานเร็วมาก ภาษาพอใช้ computer OK การประสานงานใน Line เยี่ยม กล้าพูด กล้าแสดงออก อยู่ปีเดียวเป็นมือทำงานให้เลยก็ว่าได้ ตอนนี้ย้ายไปทำงานที่ระยอง เงิน
เดือนพอๆกับผมเลย ยังแวะมากินเหล้าด้วยกันตลอด
          ฝากน้องๆที่จบมาใหม่ๆ
1.ลองสำรวจตัวเองเราขาดเรื่องอะไรไปบ้าง พยายามหามาเติมเต็ม ความรู้เกือบทุกอย่างอยู่ใน Internet อยากรู้เรื่องอะไรถาม google ,Youtube .
2.ภาษา อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน (ผมเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยการดู นารูโต๊ะ ปิด subtitle แล้วกลับมาดูใหม่ (เปิด sub) ดูไปหลายรอบ สามารถสื่อสารกับคนญี่ปุ่นได้
3.Skill เรื่อง MS Office จำเป็นต่อการทำงาน ต้องสามารถใช้งานได้พอสมควร
4.EQ ,การคิดบวก
5.ความอดทน การวางแผนงาน การแก้ปัญหา การปรึกษา การขอคำแนะนำ
6.การบริหารเวลา
7.เล่นเกมส์ได้ แต่อย่าติดเกมส์ ----> อันนี้แถม
8.นึกถึงอนาคต อย่ารีบแต่งงาน อย่ามีบัตรเครดิตหลายๆใบ ----> อันนี้ก็แถม

ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ

แก้ไขคำผิดครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ชี้แจงครับ
1.เป็นเรื่องจริงครับ
2.ไม่มีความคิดที่จะประจานใครทั้งสิ้นครับ อยากให้เป็นกรณีศึกษามากกว่า
3.สิ่งที่ทำให้น้องไม่ผ่านทดลองงาน คือ น้องไม่พัฒนา ปรับปรุง ในสิ่งที่เราแนะนำ เพราะนั่นเป็นสิ่งจำเป็นต่องานที่ได้รับมอบหมาย
4.ผมยอมรับระบบการสรรหาบุคคลากรของบริษัทผมไม่เข้มข้นพอ รวมถึงผมในถานะผู้สัมภาษณ์คนหนึ่ง
5.มีคำถามว่าต้องอยู่จนกว่างานจะเสร็จ มี OT หรือเปล่า แล้วบอกน้องล่วงหน้าแล้วหรือยัง ว่าต้องทำงานแบบนี้
   ตอบ จ่าย OT ตามที่เขียนไปครับ ไม่จำกัดชั่วโมง จ่ายเท่าที่ทำครับ ,ทุกอย่างชี้แจงก่อนเริ่มงานวันแรกครับ

.........................................................................................................




» บทความสร้างเสริมแนวคิด พิชิตปัญหา..."ความเข้าใจผิด"

ความเข้าใจผิด...มักเกิดจากการด่วนสรุปและติดยึดในความคิดจนไม่สามารถยอมรับความจริง(หรือความเห็น)ที่สวนทางกับความคิดนั้น

- คู่รักมักกล่าวหาอีกฝ่ายว่านอกใจเพียงเพราะเห็นเขา(หรือเธอ)หัวร่อต่อกระซิกกับเพศตรงข้ามในร้านอาหาร

- เพียงแค่ทักเพื่อนแล้วเขาไม่ทักตอบแถมมีสีหน้ามึนตึง ก็สรุปแล้วว่าเขาไม่พอใจเรา เราก็เลยมึนตึงกับเขาเป็นการตอบโต้

ความคิดกับความจริงนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แม้ความคิดสามารถนำเราไปสู่ความจริง เช่นเดียวกับแผนที่ที่พาเราไปถึงจุดหมายปลายทาง แต่เราก็พบบ่อยมิใช่หรือว่าแผนที่ (โดยเฉพาะที่ทำอย่างหยาบ ๆ และโดยคนที่ไม่รู้จริง) สามารถพาเราไปผิดทิศผิดทางได้


◌◌◌◌◌◌◌◌


Case Study#1 :

บิดาของ “วิทยา” เป็นคนสูบบุหรี่จัดจนเป็นมะเร็งปอด ระหว่างที่พ่อเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล เขาขอร้องให้พ่อเลิกสูบบุหรี่ตามคำแนะนำของหมอ พ่ออิดออดแต่ก็ยอมตามในที่สุด

เมื่อรักษาครบกำหนด พ่อกลับมาพักฟื้นที่อพาร์ทเมนท์ที่ลูกเช่าให้ แต่อาการก็ทรุดลงตามลำดับ วันหนึ่งขณะที่มาเยี่ยมพ่อ เขาเห็นก้นบุหรี่หลายอันตกอยู่บนระเบียง จึงต่อว่าพ่อ แต่พ่อปฏิเสธ

เขาโมโหมากที่พ่อปากแข็ง จึงใช้คำรุนแรงกับพ่อ หลังจากนั้นไม่นานพ่อได้เสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อน

เมื่อจัดงานศพเสร็จ เขามาเก็บข้าวของของพ่อที่อพาร์เมนท์ เขาแปลกใจที่พบว่ายังมีก้นบุหรี่ที่เพิ่งทิ้งใหม่ ๆ ตกอยู่ที่ระเบียง

ในที่สุดเขาจึงรู้ว่าก้นบุหรี่ที่เห็นในวันนั้นไม่ใช่ของพ่อ แต่เป็นของห้องข้างบนที่โยนลงมาและคงโดนลมพัดปลิวมาตกที่ระเบียงห้องของพ่อ

เขารู้สึกผิดมากที่ไม่เชื่อพ่อแถมกล่าวหาพ่อว่าดื้อดึงและปากแข็ง แต่สายไปแล้วที่จะไปขอขมาท่าน


◌◌◌◌◌◌◌◌


บทวิเคราะห์ :

วิทยาไม่เชื่อพ่อเพราะมั่นใจในความคิดของตนเอง เมื่อเห็นก้นบุหรี่ที่ระเบียงห้องของพ่อ เขาก็สรุปทันทีว่าพ่อไม่ยอมเลิกบุหรี่ เขาไม่ยอมมองมุมอื่น ทั้ง ๆ ที่พ่อยืนกรานว่าไม่ได้สูบบุหรี่

ความเชื่อมั่นในความคิดของตนนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่มึนตึงกับพ่อ จนกลายเป็นตราบาปในใจเขา

รูปการน่าจะเป็นอย่างที่วิทยาคิด แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ หากวิทยาไม่ด่วนสรุป หรือเผื่อใจไว้บ้างว่า ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่เขาคิด เขาคงไม่กล่าวหาและใช้คำรุนแรงกับพ่อเช่นนั้น นี้คือบทเรียนราคาแพงของเขา

เมื่อเห็นหรือได้ยินอะไรก็ตาม เรามิได้รับรู้เฉย ๆ แต่มักจะมีความคิดหรือข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งนั้นตามมาด้วย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ยิ่งเป็นเรื่องที่เราถือว่าสำคัญ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องตีความหรือคิดต่อจากสิ่งที่เห็นและได้ยิน นี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ปัญหามักเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อมั่นในความคิดหรือข้อสรุปนั้น จนบางครั้งเผลอทึกทักว่าเป็นความจริง


◌◌◌◌◌◌◌◌


ในทำนองเดียวกัน...ความคิดบางอย่างก็กลับพาเราเหินห่างจากความจริง ดังนั้นจึงไม่ควรหลงเชื่อความคิดเสียทีเดียวนัก ควรหัดทักท้วงความคิดบ้าง

อย่าลืมว่าแผนที่ที่ดีที่สุดไม่สามารถเป็นตัวแทนของความจริงได้ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงอย่างไรก็ยังมีข้อมูลหรือรายละเอียดสำคัญที่ขาดหายไ

อย่าว่าแต่ความคิดเลย แม้แต่ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของเรา ก็ยังเชื่อไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นความจริง หรือไม่สามารถยืนยันได้ว่าตรงกับความเป็นจริงร้อยเปอร์เซ็นต์


◌◌◌◌◌◌◌◌


Case Study#2 :

ขณะที่อาจารย์ผู้หนึ่งกำลังบรรยายวิชาอาชญาวิทยา จู่ ๆ ชายพร้อมอาวุธก็บุกเข้ามาในห้องบรรยาย พร้อมกับฉกชิงกระเป๋าเอกสารของอาจารย์ไป

หลังจากที่โจรวิ่งออกไปแล้ว อาจารย์ซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉย ถามนักศึกษาซึ่งตกตะลึงทั้งชั้น ว่าโจรผู้นั้นมีลักษณะอย่างไร

ปรากฏว่าคำตอบที่ได้แตกต่างกันไปคนละทิศละทาง โจรมีทั้งรูปร่างผอมและอ้วน ทั้งใส่และไม่ใส่แว่นตา มีทั้งผมดำและผมบลอนด์ มีทั้งสูง ๕ ฟุตครึ่งไปจนถึง ๖ ฟุตครึ่ง มีทั้งใส่เสื้อเชิร์ต-กางเกงยีนส์ และ สวมเสื้อหนัง-กางเกงสีน้ำตา

เฟรด อินเบา (Fred Inbau) คืออาจารย์ผู้นี้

เขาต้องการชี้ให้เห็นว่าคำให้การของประจักษ์พยานนั้นไม่สามารถเชื่อถือได้ทั้งหมด ส่วนหนึ่งก็เพราะเราเห็นความจริงแต่บางแง่ ส่วนที่เหลือหากไม่มองข้ามไปก็เติมแต่งเอาเอง

ความทรงจำในสมองของเราจึงมีทั้งความจริงและความคิดปรุงแต่งปะปนกัน ทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ยิ่งไปกว่านั้นความทรงจำของเราแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และง่ายที่คนอื่นจะมาต่อเติมหรือแทรกแซงได้ด้วย


◌◌◌◌◌◌◌◌


ทั้งหมดนี้...ชี้ว่า “ความจริง”ในสายตาหรือการรับรู้ของเรานั้น มักจะมีความคิดเจือปนหรือปรุงแต่งไม่มากก็น้อย ดังนั้นจึงมักจะไม่ตรงกับความเป็นจริง

ที่ควรตั้งเป็นข้อสังเกตก็คือตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเหตุการณ์กลาง ๆ ที่ไม่เกี่ยวพันกับอคติของผู้สังเกต หากเป็นเรื่องที่ผู้สังเกตมีอคติหรือความคิดล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว ก็จะเห็นความจริงคลาดเคลื่อนยิ่งไปกว่านี้

เช่น...ถ้าชอบใคร(ฉันทาคติ)ก็เห็นเขาดีไปหมด มองไม่เห็นด้านร้ายของเขาเลย หรือถ้าโกรธใคร (โทสาคติ)ก็เห็นแต่ด้านร้ายของเขา มองไม่เห็นความดีของเขาเลย

ด้วยเหตุที่เรามีข้อจำกัดในการรับรู้ จึงไม่ควรยึดติดถือมั่นว่าการรับรู้ของเราถูกต้อง ส่วนของคนอื่นนั้นผิด

ในทำนองเดียวกันความคิดหรือข้อสรุปใด ๆ ก็ไม่ควรด่วนสรุปหรือมั่นใจว่าถูกต้อง ควรเผื่อใจไว้เสมอว่าเรายังเห็นความจริงไม่ครบถ้วนและสิ่งที่เราคิดนั้นอาจผิดก็ได

จริงอยู่เราคงทำอะไรไม่ได้เลยหากไม่มีข้อสรุปบางอย่างหรือเชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นความจริง แต่ระหว่างที่เราทำไปตามความคิดหรือความเชื่อนั้น ก็ควรเปิดใจรับรู้สิ่งที่แตกต่างไปจากความคิดและความเชื่อนั้นบ้าง


◌◌◌◌◌◌◌◌


ในพุทธศาสนามีหลักธรรมข้อหนึ่งที่เกื้อกูลต่อการพัฒนาปัญญา ได้แก่

“สัจจานุรักษ์”

คือ...การพร้อมรับฟังความคิดความเห็นของผู้อื่นด้วยใจเป็นกลาง ไม่ด่วนตัดสินว่าเป็นเท็จ และไม่ยึดติดหรือยืนกรานว่าสิ่งที่ตนรู้หรือคิดเห็นเท่านั้นถูกต้องเป็นจริง

สัจจานุรักษ์...หากใช้คู่กับกาลามสูตรก็จะช่วยให้เราไม่ตกเป็นทาสของความคิด พร้อมเปิดใจกว้างเพื่อเข้าถึงความจริงให้ได้มากที่สุด

โดยเฉพาะข้อที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ…เพราะการอนุมาน….เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจแล้ว…เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ รวมทั้งอย่าปลงใจเชื่อด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล”

ถ้าเราไม่ด่วนสรุปหรือหลงเชื่อความคิดของตน แม้จะดูมีเหตุผลเพียงใด เราจะทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายกันน้อยลง แม้กระทั่งกับคนที่เรารักหรือรักเรา


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : พระไพศาล วิสาโล | คอลัมน์ ชวนสังคมคิด

..........................................................................................................


จาก Status : รู้ไปทำไมว่า
ศาสตราจารย์ Simon Louis Lajeunesse แห่งมหาวิทยาลัย Montreal ได้พยายามทำงานศึกษาวิจัยเปรียบเทียบมุมมองหรือทัศนะของผู้ชายวัยระหว่าง 20-29 ปี กลุ่มที่เคยดูสื่อโป๊เปลือยลามกอนาจารเพื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคยดูสิ่งดังกล่าว

การศึกษาวิจัยนี้พบอุปสรรคตั้งแต่ต้นจนต้องยุติลง เนื่องจากนักวิจัยไม่สามารถหากลุ่มตัวอย่างของผู้ชายที่ไม่เคยดูสื่อโป๊เปลือยมาเปรียบเทียบกับอีกกลุ่มได้

http://www.telegraph.co.uk/women/sex/6709646/All-men-watch-porn-scientists-find.html

555++


Sahapol Nakvanich 55555
.....................................................................................................




สิ่งที่นักทวงคืนชอบท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองก็คือ ระบบสัมปทานเป็นการสูบเลือดสูบเนื้อคนไทย

แต่ความเป็นจริงคือระบบสัมปทานเป็นระบบที่นานาประเทศต่างก็ใช้กัน เพราะเป็นระบบที่รัฐไม่ต้องรับความเสี่ยง (โปรดดูโพสต์เก่าของเพจเราhttp://tinyurl.com/cyt78cq

นอกจากนั้นแล้วด้วยระบบสัมปทานนี้เองที่ทำให้บริษัทของไทยอย่างปตท.สผ. (ซึ่งเป็นบริษัทลูกของปตท. ซึ่งก็มีกระทรวงการคลังหรือรัฐถือหุ้นเกินครึ่ง) สามารถไปลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในต่างประเทศได้ เมื่อหักภาษีและเงินที่ต้องจ่ายให้กับประเทศเจ้่าของทรัพยากรแล้ว กำไรที่ได้รับก็นำมาปันผลส่งให้ผู้ถือหุ้นซึ่งจะมาเข้ารัฐไทยบางส่วนในท้ายที่สุดนั่นเอง

เอ๊ะ ชาวออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย เค้าอยากทวงคืนปตท.เหมือนเราบ้างไหมนะ?

........................................................................................................




["กรณีจัสมาติ" : แผลใจที่อเมริกาฝากไว้ให้แก่ชาวนาไทย ]

.. ความขัดแย้งทางการค้าและอื่นๆ ที่เกี่ยวกับกรณีข้าวระหว่างไทยและสหรัฐ อเมริกา มีอยู่หลายประเด็น ครอบคลุมเกี่ยวกับประเด็นการเปิดตลาดข้าว การใช้เครื่องหมายการค้าและกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ตลอดจนประเด็นเกี่ยวกับสินค้าเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น

.. เมื่อปี 2541 คนไทยต้องตกตะลึงกันทั่วหน้า เมื่อรู้ว่า “จัสมาติ” ไม่ได้หมายถึง “ข้าวหอมมะลิของไทย” แต่หมายถึงข้าวสายพันธุ์อื่นที่ปลูกในรัฐเท็กซัส โดยบริษัทไรซ์เทคแห่งสหรัฐอเมริกาได้จดชื่อดังกล่าวเป็นเครื่องหมายทางการค้า นำมาซึ่งความเคลื่อนไหวขององค์กรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย หรือไบโอไทย ที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอด

.. โดยระบุว่า การใช้ชื่อเครื่องหมายการค้าว่า จัสมาติ เป็นความจงใจที่ต้องการหลอกลวงให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า ข้าวพันธุ์ดังกล่าวเป็นข้าวหอมมะลิ (Jasmine) ซึ่งประเทศไทยมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกว่า ข้าวหอมมะลิไทยเป็นข้าวพันธุ์ดีที่สุดในโลก และครองตลชาดสหรัฐอเมริกาได้ถึงร้อยละ 75 ของข้าวที่นำเข้าทั้งหมด

.. จนกลายเป็นปัญหาทางการค้าที่กลายเป็นประเด็นสาธารณะเมื่อปี 2542 คือความขัดแย้งในกรณีที่สหรัฐอนุญาตให้อุตสาหกรรมข้าวภายในประเทศของตน สามารถขายข้าวเมล็ดยาวพันธุ์ใดก็ตามได้ภายใต้ชื่อ “จัสมินไรซ์” ทั้งนี้โดยสหรัฐอ้างว่า “จัสมินไรซ์” เป็นชื่อ “ทั่วไป”(Generic name) ดังนั้นบริษัทไรซ์เทคของสหรัฐจึงได้จดเครื่องหมายการค้า “จัสมาติ” (JASMATI) แล้วแอบอ้างว่าเป็น “ข้าวหอมมะลิที่ปลูกที่เท็กซัส”

.. กรณีดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนไทยทุกระดับ ชาวนาไทยประท้วงรัฐบาลสหรัฐในเรื่องดังกล่าว และต่อมารัฐบาลไทย โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ยื่นฟ้องต่อกรรมาธิการการค้าของสหรัฐ แต่กรรมาธิการชุดดังกล่าวก็ปฏิเสธที่จะรับคำฟ้องโดยอ้างว่าการกระทำดังกล่าว ไม่ผิดกฎหมายของสหรัฐ เมื่อปี 2543 สถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทยได้จัดการประชุมทางไกล (VDO Conference) ขึ้นที่กรุงเทพเพื่อหาทางลดข้อขัดแย้งและความไม่พอใจของประชาชน ไทย โดยเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯแนะนำให้ฝ่ายไทยใช้กฎหมายเครื่องหมายการค้า (Trade Mark) เพื่อปกป้องข้าวหอมมะลิของไทย

.. อนึ่ง ย้อนไปเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2510 และต่อมาในปี 2540 มีการนำพันธุ์ข้าวซึ่งคาดว่าจะเป็นพันธุ์ข้าวเดลล่า (Della) ของอิตาลีหรือไม่ก็ข้าวสายพันธุ์ RT ของสหรัฐเองไปจดเครื่องหมายการค้า "จัสมาติ" แล้วอ้างว่าเป็น "ข้าวหอมมะลิที่ปลูกในเท็กซัส" และก่อนหน้านี้ไม่นานในปี 2545 กลุ่มนักวิจัยของสหรัฐที่นำโดยสถาบันวิจัยข้าวแห่งชาติที่อาร์คันซอส์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยอาร์คันซอส์ และมหาวิทยาลัยฟลอริดา จัดทำโครงการ "Step Wise Program" เพื่อพัฒนาข้าวหอมมะลิให้ปลูกได้ในสหรัฐ จนเกิดการประท้วงของชาวนาไทยเพราะเกรงว่าสหรัฐจะนำข้าวที่ปรับปรุงขึ้นไปจดสิทธิบัตร ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกข้าวของไทย

.. ทั้งนี้กรณี” จัสมาติ” ซึ่งยังไม่ทันจางไปจากความทรงจำ ที่ในปี 2544 ความขัดแย้งเกี่ยวกับการนำพันธุกรรมข้าวหอมมะลิของไทยไปใช้อย่างไม่เหมาะสม ก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสถาบันวิจัยข้าวของสหรัฐที่เดล บัมเปอร์ รัฐอาร์คันซอส์ ร่วมกับสถาบันวิจัยอีก 2 แห่ง คือศูนย์วิจัยและการศึกษาเอฟเวอร์เกลด มหาวิทยาลัยฟลอริดา และศูนย์วิจัยและส่งเสริมพันธุ์ข้าว มหาวิทยาลัยอาร์คันซอส์ ได้เริ่มต้นโครงการปรับปรุงข้าวหอมมะลิเพื่อปลูกในสหรัฐ (Stepwise Program for Improvement of Jasmine Rice for the United States) ขึ้น

.. ทั้งนี้เพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมมะลิสำหรับปลูกในสหรัฐและแข่งขันกับข้าว ไทยโดยตรง นักวิจัยชาวสหรัฐอ้างว่าได้พันธุกรรมข้าวหอมมะลิไปจากสถาบันวิจัยข้าวนานา ชาติ แต่กลับไม่ปรากฏการลงนามในสัญญาการเคลื่อนย้ายพันธุกรรม (MTA-Material Transfer Agreement) แต่อย่างใด เป็นการแสดงเจตนาที่จะจดสิทธิบัตรข้าวที่ปรับปรุงจากข้าวหอมมะลิ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ตามกติการะหว่างประเทศ และการวิจัยดังกล่าวอาจเป็นการละเมิดต่อกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 ของไทยได้เช่นกันหากพบว่ามีการนำเอาข้าวหอมมะลิจากประเทศไทยไปใช้ประโยชน์ โดยไม่ดำเนินตามขั้นตอนที่ถูกต้อง

.. ที่สำคัญปัญหานี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับเกษตรกรและประชาชนไทยโดยทั่วไป มีการเดินขบวนของชาวนาที่ทุ่งกุลาร้องไห้กว่า 2,000 คน เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2544 และกว่า 1,500 คนที่หน้าสถานทูตสหรัฐเมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน

..กรณีของข้าวหอมมะลิไทยนั้นได้มีการต่อสู้กับข้าวของสหรัฐฯ มานาน นับตั้งแต่ ศาสตราจารย์คริส เดเรน แห่งมหาวิทยาลัยมลรัฐฟลอริด้า (University of Florida) ได้ปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมมะลิของไทยมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2538 และสามารถผลิตข้าวหอมมะลิกลายพันธุ์ได้สำเร็จ แต่ได้รับการทักท้วงโดยรัฐบาลไทยจัดจ้างทนายความคัดค้านการจดสิทธิบัตรข้าวหอมมะลิกลายพันธุ์ดังกล่าวได้สำเร็

.. จนต่อมาในปี พ.ศ. 2541 ได้มี บริษัท ไรซ์เทค ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ทำการจดทะเบียนข้าวสายพันธุ์ที่ปลูกในรัฐเท็กซัสว่า “จัสมาติ” เป็นเครื่องหมายทางการค้า ซึ่งเป็นความจงใจที่ต้องการหลอกลวงให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า ข้าวพันธุ์ดังกล่าวเป็น ข้าวหอมมะลิ (Jasmine) หรือ “ข้าวหอมมะลิของไทย” ซึ่งรัฐบาลหาทางออกโดยหันไปจดชื่อเครื่องหมายทางการค้า “Thai Hom Mali Rice” แทน แต่ความพยายามของสหรัฐฯ มิได้หยุดเพียงเท่านั้น ในปี 2549 มหาวิทยาลัยแห่งรัฐหลุยส์เซียน่าได้พัฒนาข้าวหอมพันธุ์ใหม่ขึ้นมาได้สำเร็จเรียกว่า “Jazzman” และอ้างว่ามีคุณภาพใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิไทย

.. ทั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่าพ่อค้าข้าวสหรัฐฯ เล็งเห็นถึงความต้องการข้าวหอมมะลิที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และต้องการแย่งชิงสัดส่วนตลาดข้าวของไทยในสหรัฐฯ จึงได้ผลักดันและนำเสนอข้าวอเมริกันจัสมินเข้ามาแข่งกับข้าวหอมมะลิไทย ปัจจุบัน พบว่า มีข้าวหอมมะลิอเมริกันเลียนแบบข้าวหอมมะลิไทยวางจำหน่ายในตลาดซึ่งเป็นเขตอาณาดูแลของสคต.ชิคาโก จำนวน 6 แบรนด์ คือ

--> 1. Thai Orchid: บรรจุ/จำหน่ายโดยบริษัท Producer Rice Mill ในรัฐอาร์คันซอส์เน้นตลาดธุรกิจบริการอาหาร(Foodservice) เป็นหลัก
--> 2. Louisiana Jasmine: เป็นข้าวพันธุ์ Jazzman ปลูกโดย Louisiana Rice Mill
--> 3. Jazzmen Rice: จำหน่ายโดย Jazzmen Rice, LLC ในรัฐหลุยส์เซียน่า โดยซื้อข้าวจาก Louisiana Rice Mills มาบรรจุและจำหน่ายภายใต้แบรนด์ Jazzmen Rice
--> 4. Cajun Country : บริษัท Falcon Rice Mill เป็นบรรจุ/จัดจำหน่าย โดยซื้อข้าวจาก Jimmy Hoppe Farm ซึ่งนำพันธุ์ข้าว Jazzman มาปลูกขาย
--> 5. Jasmati: บรรจุ/จำหน่ายโดย Ricetec. Inc. ในรัฐเท็กซัส
--> 6. Della: เป็นข้าวจัสมินของบริษัท Specialty Rice, Inc. ในรัฐอาร์คันซอส์

.. ข้าวอเมริกันจัสมิน 6 แบรนด์ ที่กล่าวข้างต้นถูกนำเข้ามาขายแข่งแย่งชิงลูกค้าข้าวหอมมะลิไทย โดยเฉพาะ 3 แบรนด์แรก คือ Louisiana Jasmine, Jazzmen Rice ซึ่งเป็นข้าวพันแจ้สแมนของรัฐหลุยส์เซียน่า และ แบรนด์ Thai Orchid ซึ่งเป็นข้าวอเมริกันจัสมิน มีจุดประสงค์ที่จะเข้ามาชนกับข้าวหอมมะลิไทยโดยแท้จริง โดยวางกลยุทธ์การตลาดให้สามารถแข่งขันกับข้าวหอมมะลิไทยได้ ดังนี้..

--> 1. ทำการประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคทราบว่า เป็นข้าวจัสมิน 100% (100% Jasmine Rice) ไม่ผสมปนข้าวคุณภาพต่ำ
--> 2. ข้าวบรรจุถุงขนาดน้ำหนัก 25 ปอนด์ ให้มีขนาดบรรจุเท่ากับข้าวหอมมะลิไทยที่ได้รับความนิยม ยกเว้น แบรนด์ Cajun Country, Jasmati และ Della ซึ่งมีขนาดบรรจุประมาณ 1-2 ปอนด์ ซึ่งมุ่งผู้บริโภค Mainstream เป็นสำคัญ
--> 3. ข้าวอเมริกันจัสมินทั้ง 3 แบรนด์เข้าวางจำหน่ายในร้านชำ/ซุปเปอร์มาร์เก็ตเอเซียซึ่งเป็นช่องทางจำหน่ายหลักของข้าวหอมมะลิไทย อีกทั้งนำไปวางขายติดกับข้าวหอมมะลิไทย เพื่อแย่งชิงลูกค้าข้าวหอมมะลิไทย
--> 4. กำหนดราคาขายปลีกต่ำกว่าของหอมมะลิไทยเล็กน้อยหรือประมาณ 1.00-1.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อถุง 25 ปอนด์ ซึ่งจะดึงดูดซื้อที่สนใจซื้อข้าวในราคาต่ำ เช่น ข้าว Louisiana Jasmine ขายในราคาถุงละ 20.99 เหรียญสหรัฐฯ และ ข้าว Jazzmen Rice ขายปลีกถุงละ 20.55 หรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ข้าวหอมมะลิไทยขายปลีกถุงละ 21.50 - 23.50 เหรียญสหรัฐฯ
--> 5. ข้าวอเมริกันเลียนแบบใช้ชื่อเป็นไทยเพื่อล่อลวงผู้บริโภคเข้าใจว่าเป็นข้าวหอมมะลิ เช่น บริษัท Producer Rice Mill ใช้ชื่อแบรนด์ "Thai Orchid" และยังมีชื่อภาษาไทย "ข้าวหอมมะลิ" ตอกย้ำว่าเป็นข้าวของไทย ทั้ง ๆ ที่เป็นข้าวอเมริกัน หรือ ข้าวแบรนด์ Louisiana Jasmine พิมพ์ชื่อภาษาไทย "ข้าวหอมมะลิ" ลงบนถุงข้าว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ข้าวจัสมินสหรัฐฯ มีเจตนาวางกลลวงผู้บริโภคเข้าใจว่าเป็นข้าวหอมมะลิไทย
--> 6. บริษัทค้าข้าวอเมริกันจัสมินจัดจ้างตัวแทนการขาย (Sales Agent) และ ตัวแทนจำหน่าย (Distributor) เพื่อนำข้าวไปขายต่อให้แก่ร้านค้าปลีก

..นักวิจัยข้าวของสหรัฐฯ พยายามอย่างยิ่งที่จะพัฒนาพันธุ์ข้าวของสหรัฐฯ ให้มีคุณภาพได้ทัดเทียมกับข้าวหอมมะลิไทยมาเป็นลำดับ นับตั้งแต่ข้าวพันธุ์ Jasmine85, Jasmati, Jazzman, JES และ Jazzman-2 และคาดว่า จะมีข้าวหอมอเมริกันพันธุ์ใหม่ออกมานำเสนอต่อตลาดอีกในอนาคต เพื่อเข้าแย่งชิงสัดส่วนตลาดข้าวหอมมะลิไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า หนทางตลาดข้าวหอมมะลิไทยจะไม่ราบรื่นดังเช่นที่ผ่านมา

.. ข้าวหอมมะลิไทยจะเสียเปรียบข้าวอเมริกันจัสมินซึ่งประกาศว่าเป็นข้าว 100% ไม่ผสมอีกทั้ง เป็นการเปิดโอกาสให้ข้าวคู่แข่งขันโจมตีว่า ข้าวหอมมะลิไทยที่จำหน่ายในสหรัฐฯ มีคุณภาพต่ำเนื่องจากมีการผสมข้าวเม็ดยาว และจะเป็นผลให้ข้าวหอมมะลิไทยจสูญเสียตลาดให้ข้าวอเมริกันจัสมินนอกจากนั้นแล้ว ผู้นำเข้าสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า จุดขายสำคัญของข้าวหอมมะลิไทย คือ การดำรงความบริสุทธิ์ หรือ มีส่วนผสมน้อยที่สุด หรือ หมายความว่า ข้าวหอมมะลิจะต้องเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีหลายระดับ

.. ท้ายนี้ นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถีหรือไบโอไทย ได้เคยกล่าวไว้ว่า "ควรตรวจสอบพันธุกรรมของพันธุ์ข้าวแจสแมนด้วย โดยอย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่พัฒนาจากพันธุ์ข้าวหอมของจีน เนื่องจากในระยะยาวหากข้าวหอมพันธุ์ใหม่นี้ ถูกนำไปจดสิทธิบัตร และพบว่าเกี่ยวข้องกับข้าวหอมมะลิของไทยอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการส่งออกข้าวหอมมะลิ และปัญหาอื่นๆที่กระทบสิทธิในพันธุกรรมของชาวนาไทยได้" ..

**เพิ่มเติม..
www.senate.go.th/senate/report_detail.php?report_id=4
และ : www.ftawatch.org/all/article/17961 ..

อรุณสวัสดิ์ครับผม .. @//กอล์ฟ .. : )

.................................................................................................................




ลูกเทนนิสมีประโยชน์มากกว่าที่คิด!

..............................................................................................................


นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์
"ไม้หันอากาศทั้งห้า"

ฉันเดินทางไปต่อว่ากับพระเจ้าว่าเหตุใดจึงสร้างพวกเราขึ้นมาให้อยู่ในโลกอันมืดมิด

พระเจ้าตอบว่า "เราได้ให้ไม้หันอากาศกับมนุษย์ไปแล้ว มนุษย์ไม่ยอมหันมันขึ้นสู่ท้องฟ้าอันงดงามเอง"

ฉันนึกเถียงในใจ พวกเราใช้มันแล้วมันอยู่ในคำว่า"ฉัน"นี่อย่างไร
พระเจ้าตอบสวนทันที "อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าใช้"
คราวนี้ฉันออกเสียงเถียงออกไปเลย "แต่มันก็ทำให้คำว่าฉัน เป็นฉัน"
“นั่นอย่างไร มนุษย์ก็เป็นเสียอย่างนี้ เอะอะอะไรก็อ้าง ฉันต้องเป็นฉัน" พระเจ้าสั่นหน้า “เราให้ของวิเศษมนุษย์ไปห้าอย่าง ไม้หันอากาศทั้งห้าที่จะทำให้พวกเจ้าได้มองเห็นท้องฟ้าอันงดงาม"

ขณะที่ฉันกำลังคิดตาม พระเจ้าก็พูดต่อ

“ของวิเศษอย่างแรก ฝัน"
“ฝัน" ฉันเริ่มนึกออก ฉันเคยใช้มันบ้างบางครั้ง
“ฝัน ทำให้พวกเจ้ามองเห็นในสิ่งที่เจ้ายังไม่มี ได้ยินเสียงในสิ่งที่เจ้ายังไม่มี ได้เป็นในสิ่งที่เจ้ายังไม่ได้เป็น"

พระเจ้าคงเห็นฉันพยักหน้า จึงพูดต่อ "อย่างที่สอง บั่น"
“ท่านหมายถึง บากบั่น" ฉันถาม
“ใช่ พวกเจ้าต้องใช้ไม้หันอากาศตัวนี้เพื่อทำให้สิ่งที่เจ้าฝันเป็นจริง"

พระเจ้ายิ้มแล้วพูดต่อ "ของวิเศษตัวที่สาม ขวัญ"
ฉันคิดตาม "กำลังใจนั่นเอง"
“มันสำคัญมากนะ มันจะทำให้พวกเจ้ามีแรงบากบั่นได้สำเร็จ มันเป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องให้กันและกัน"
“ท่านให้พวกเรามา แล้วให้พวกเราให้กันและกันอีกที" ฉันทบทวนความคิด

“เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว ของวิเศษอย่างที่สี่ ขัน" พระเจ้าพูดต่อ
“อะไรนะท่าน ขัน" ฉันกำลังคิดเล่นๆว่าพระเจ้าคงไม่ได้หมายถึงภาชนะตักน้ำอะไรนั่น
“ฉันหมายถึงอารมณ์ขัน" พระเจ้ายิ้มอีก "เมื่อกี้เจ้ากำลังมีอารมณ์ขัน"
“แล้วอารมณ์ขัน เป็นของวิเศษได้อย่างไร" ฉันยังไม่เข้าใจ
“ไม้หันอากาศตัวนี้ จะทำให้มนุษย์มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองมี มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่"
ฉันยิ้มนึกออกทันที ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน มีจนแค่ไหน หรือเนิ่นนานแค่ไหน อารมณ์ขันทำให้มนุษย์หาความสุขได้ในสถานะนั้นจริงๆ "แล้วไม้หันอากาศตัวที่ห้าละ" ฉันถามต่อ

“ปัน" พระเจ้าตอบสั้นๆ "โลกจะหายจากความมืดมิด เมื่อพวกเจ้าได้สิ่งที่เจ้าอยากมี แล้วแบ่งปันออกไป"
...
ฉันเดินทางกลับมาจากพระเจ้า โดยลืมถามไปว่า ของวิเศษห้าอย่างที่พระเจ้าให้เรามา ถ้าใช้จนหมดแล้วจะทำอย่างไร

แล้วฉันก็ได้ยินเสียงเบาๆอยู่ในหู
“ไม้หันอากาศทั้งห้านี้ ใช้เท่าไรก็ไม่มีทางหมด หนำซ้ำยิ่งใช้ก็ยิ่งเพิ่ม"
........................................................................

............................................................................................................




เหลือบเห็นอันนี้เข้าพอดี ความคืบหน้าล่าสุด ปางน้ำฟ้าฟ้องอาจารย์เจิมศักดิ์แล้วนะครับ เจ้าหน้าที่เรียกตัวเข้ามาให้ปากคำคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณานะครับ

.............................................................................................................




นายกฯไทยไปประชุมและเชื่อมสัมพันธ์กับประเทศมองโกเลีย มีข่าวในสื่อทั่วไปตามปกติ
แต่ฉุกใจเมื่ออ่านโพสต์ ทูเดย์ ในคอลัมน์ 7 (ฉบับวันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2556 หน้า 1) กล่าวถึงมองโกเลียว่า“อยู่แถบเทือกเขาอัลไต” ซึ่งผมไม่รู้มาก่อน
เลยย้อนคิดไปเมื่อ พ.ศ. 2529 มองโกเลียรวมอยู่ในสหภาพโซเวียต(ยังไม่แตกอย่างทุกวันนี้) สำนักข่าวปราฟดายุคนั้นชักชวนท่านพี่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กับผมไปเล่าเรื่อง 200 ปี สุนทรภู่ ที่มอสโก
เมื่อถึงโรงแรมในมอสโก เจ้าหน้าที่ปราฟดาถามว่าอยากไปเที่ยวที่ไหนในโซเวียต?
ผมตอบอย่างมั่นอกมั่นใจว่าอยากไปเขาอัลไต
เขาทำท่างงมาก แล้วย้อนถามว่าจะไปทำไม?
ผมบอกว่าจะไปเยี่ยมญาติ อยากถ่ายรูปคู่กับญาติไปฝากคนไทยที่สนใจประวัติศาสตร์ถิ่นกำเนิดคนไทย ว่าหน้าตาท่าทางเชื้อสายบรรพชนคนอัลไตเป็นอย่างนี้ๆ จะได้ชื่นอกชื่นใจว่ายังมีญาติอยู่อัลไต
แล้วก็อธิบายให้เจ้าหน้าที่ปราฟดารู้ต้นสายปลายเหตุ ว่าตำราประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย บอกว่าบรรพชนคนไทยมีแหล่งกำเนิดบริเวณเทือกเขาอัลไต แล้วถูกรุกรานต้องอพยพถอนรากถอนโคนลงทางทิศใต้ไปตั้งอาณาจักรน่านเจ้า
แต่ถูกลูกหลานเจงกิสข่านรุกรานอีก เลยหนีลงไปถึงดินแดนของมอญและขอม ยอมเป็นขี้ข้าขอม กระทั่งปลดแอกไล่ขอมออกไป แล้วยึดดินแดนขอม จนกระทั่งตั้งตนเป็นอิสระ มีราชธานีแห่งแรกชื่อกรุงสุโขทัย
เจ้าหน้าที่ปราฟดาได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะอย่างฉงนสนเท่ห์มากๆ แล้วบอกว่าอัลไตเป็นภูเขาน้ำแข็ง ไม่มีชุมชนบ้านเมือง ทางโซเวียตใช้เป็นที่ตั้งสถานีเรดาร์ไว้ติดตามความเคลื่อนไหวทางทหารของสหรัฐ สรุปว่าจัดให้ไปอัลไตไม่ได้
ผมไม่ได้ติดใจอะไร เพราะพูดขึ้นมาเล่นๆสนุกๆแค่นั้นว่าอยากไปเยี่ยมญาติที่ภูเขาอัลไต ไม่คิดจะไปได้จริง
เพราะตอนนั้นก็รู้อยู่เต็มอกว่าประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย เป็นนิยายแห่งชาติที่ยังมีอิทธิพลต่อวิธีคิดไทยบางพวกจนบัดนี้ โดยเฉพาะในหมู่ครูบาอาจารย์จำนวนหนึ่งกับนายทหารจำนวนมากในกองทัพ
แต่ที่น่ากลัวก็คือขณะนี้ยังมีอิทธิพลต่อความคิดของนักวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีแห่งชาติทั้งหลายในกระทรวงวัฒนธรรม
แม้ไม่พูดถึงเทือกเขาอัลไตว่าเป็นถิ่นกำเนิดของคนไทยเหมือนก่อน แต่ยังยึดมั่นผูกพันว่าคนไทยเป็นเชื้อชาติเผ่าพันธุ์บริสุทธิ์ มีกำเนิดที่ใดที่หนึ่ง แล้วอพยพถอนรากถอนโคนมาอยู่ในไทย
ดูได้จากการจัดแสดงและคำอธิบายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ยังรักษาทฤษฎีอพยพของคนไทยจากที่ต่างๆไม่ยอมเลิกรา ทั้งๆโลกนี้ไม่มีมนุษย์คนไหนเชื่อถือแนวคิดอย่างนี้
เว้นเสียแต่มนุษย์ต่างดาว
โบราณศิลปวัตถุหายจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถือเป็นเรื่องปกติที่มีสม่ำเสมอแต่ปิดบังซ่อนเร้นมาตลอด เท่าที่รู้ก็นานราวครึ่งศตวรรษ
แต่น่าสะพรึงกลัวและสยองขวัญ ถ้าความรู้หายจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยที่รัฐบาลไม่ได้ใส่ใจ เพราะมุ่งรถไฟความเร็วสูง ขณะที่สังคมวัฒนธรรมความรู้ช้าและตกต่ำ

.........................................................................................................


ใครๆเขาก็รู้อ่ะนะ !




"รัฐบาลใหม่ที่ขึ้นมามีอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเขียนโดยกองทัพนั้นจะไม่มีทางมีเสถียรภาพ ไม่ต้องดูอื่นไกล เราดูแค่สถานการณ์ในไทยก็ได้ ทักษิณคือผู้ที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา แต่กองทัพกลับยึดอำนาจจากคนที่ชนะการเลือกตั้ง แล้วรัฐธรรมนูญก็ถูกเขียนขึ้นมาใหม่โดยทหาร" นายยาน วิน อ้างคำกล่าวของนางซูจี

"หลังจากนั้น อะไรเกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดแรกภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ของไทย? รัฐบาลชุดนั้นไร้เสถียรภาพ นี่คือผลที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นโดยกองทัพ" นางซูจีกล่าวในที่ประชุม

ที่มา : มติชน 25 เมษายน 2553

................................................................................................................

http://www.cookiecoffee.com/diary/55446/like-facebook-donate-truth-whale-death-veterinarian


ทุกคนกด Like บริจาคแต่ผมไม่เคยได้เงิน : จากหมอปลาวาฬ

ฝาก Share แต่มีภาพศพปลาวาฬ, ใครไม่อยากดู ไม่อยากรับรู้ก็ข้ามไป…
เมื่อวานผมมีนัดกับชาว Blog ท่านนึง, เป็นสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านทะเล
เรานัดกันที่ Starbucks @ Bangkok Mediplex เอกมัย, โดยตัวเค้าเพิ่งกลับมาจากการผ่าศพวาฬสองตัวที่มาเกยตื้น ณ เกาะช้างเมื่อเดือน Apr 2013 ที่ผ่านมา และสิ่งนึงที่เค้าเล่าให้ผมฟังก็คือ…
มี Facebook Fan Page หลายที่เอาภาพปลาวาฬไปหากินด้วยการชวนกด Like, อ้างว่าจะเอาเงินมาบริจาค
แต่ตัวเค้าซึ่งเป็นสัตวแพทย์ดูแล Case นี้ ไม่เคยได้รับเงินแม้แต่บาทเดียว…
เรื่อง Facebook หลอกให้กด Like เพื่อปั๊มยอด Fan เพื่อจะได้เอาจำนวน Like เยอะๆ ไปขายนั้น, ผมว่าใครๆ ก็น่าจะเคยได้ยิน แต่อาจสงสัยกันว่ามันมีวิธีหากินแบบนี้จริงๆ หรือ ?
บางทีก็เป็นภาพศพเด็กบ้างหรือภาพทหารที่ตายในภารกิจภาคใต้บ้าง
เป็นภาพการฆ่าและทรมาณสัตว์บ้าง
หลังๆ เห็นเอาภาพในหลวงมาเขียนสั่งให้กด Like เพื่อแสดงความจงรักภักดีก็มี
แต่นี่เป็นครั้งแรกครับที่ผมได้ยินคำยืนยันจากปากสัตวแพทย์ที่ดูแลวาฬเกยตื้นสองตัวนี้เป็นเวลา 43 วันก่อนจะสิ้นใจ
ว่ามีคนกด Like ภาพจำนวนมหาศาลแต่ไม่มีเงินบริจาคมาถึงพวกเค้าเลยแม้แต่บาทเดียว…
เค้าเล่าให้ผมฟังเรื่อง Case ของปลาวาฬสองตัวนี้, มีตัวหนึ่งถูกตั้งชื่อเล่นว่า “Peanut”
 
เพราะว่ามันกินข้าวไม่ได้ และผอมมากจนทั้งตัวเหลือแค่หัวโตๆ กับตรงหาง, ส่วนตรงกลางคอดกิ่ว
เหมือนกับถั่วลิสง…
ทีมแพทย์ต้องเกี่ยวตัวมันเอาไว้ด้วยชูชีพ เพื่อไม่ให้มันจม เพราะว่ามันไม่มีแม้แต่แรงจะลอยตัวเอง
[วาฬไม่ใช่ปลาแต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จึงต้องขึ้นลงเหนือผิวน้ำเพื่อรับอากาศหายใจ]
วันสุดท้ายก่อน Peanut จะเสียชีวิต, ทีมสัตวแพทย์ต้องลอยตัวอยู่ในบ่อลึกหลายเมตรเพื่อช่วยกันอุ้มมันไว้แล้วปั๊มหัวใจจากด้านล่างของตัว ถึงตอนนี้ วาฬมีอาการเรอและสำลักกลิ่นเหม็น คาดว่าเพราะอวัยวะภายในเน่า
แล้วมันก็จากไปในที่สุด
พวกที่รวยจากศพปลาวาฬก็คือ Facebook ที่เอาชีวิตของพวกมันมาใช้หากิน โดยไม่คืนอะไรให้กับพวกมันเลย
 
PS. ผมลงภาพศพและอวัยวะภายในที่ถ่ายจากมือถือของสัตวแพทย์ท่านนี้แค่รูปเดียวพอดีกว่า, แค่เพื่อยืนยันว่าผมคุยกับเจ้าของ Case จริง ส่วน 2 ภาพหลังที่เป็นวาฬตอนยังมีชีวิตอยู่นั้น, Search จากใน Google ครับ
อยากฝาก Share ให้ทราบทั่วกัน หากไม่รบกวนจนเกินไป…

..........................................................................................................




+ + + ความหมายของปริมาณสำรองปิโตรเลียม + + +

..............................................................................................................

...............................................................................................................

ศาลตัดสินจำคุกแกนนำพันธมิตร 6 เดือน ปรับ 20000 บาท - รอลงอาญา 1 ปีคดีหมิ่นแม้ว


วันที่ 2 พ.ค.  ที่ศาลจ.ปทุมธานี ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 1234/2551 คดีหมายเลขแดงที่ 1868/2552 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มอบอำนาจให้ นายพิชา ป้อมค่าย เป็นโจทก์ฟ้องแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งประกอบด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล จำเลยที่ 1 นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ จำเลยที่ 2 นายพิภพ ธงไชย จำเลยที่ 3 นายสมศักดิ์ โกศัยสุข จำเลยที่ 4 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จำเลยที่ 5 นายสุริยะใส กตะศิลา จำเลยที่ 6 บริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด จำเลยที่ 7 และบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด จำเลยที่ 8 ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา

คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2551 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 8 ได้ร่วมกันโฆษณาด้วยเอกสารและคำแถลง เรื่องการคัดค้านและประณามการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อลบล้างความผิดของตนเองและพวกพ้อง ผ่านการถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชังจากประชาชนทั่วไป และ 8 แกนนำ ได้มาที่ศาลจังหวัดปทุมธานีพร้อมกัน เมื่อเวลา 09.00 น. และศาลได้นัดพร้อมคู่ความ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 6 เดือน ปรับ 20000 บาท รอลงอาญา 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 – 8 ศาลพิพากษายกฟ้อง และรอดูว่าฝ่ายโจทก์จะยื่นศาลฎีกาต่อในระยะเวลา 1 เดือนหรือไม่.

................................................................................................

................................................................................................................




การทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ตาย ชาวอินเดียเขาถือว่าคนตายแล้วเกิดอีก เหมือนกับที่เราเชื่ออยู่ในสมัยนี้ เวลาใครตายไปแล้วเขาก็ไปทำบุญที่ป่าช้า ด้วยการเอาอาหารไปกองในป่าช้าให้วิญญาณบรรพบุรุษมากิน ปีหนึ่งนั้นเราทำกันใหญ่คราวหนึ่งเรียกว่าสารท... ก็การทำบุญสารทอย่างบ้านเรานั่นเองแหละ คนทั้งหลายก็ไปทำกันมาก เอาของไปกองที่ป่าช้า...สูงเหมือนกับจอมปลวก

พระพุทธเจ้าท่านไปเห็นการกระทำเช่นนั้น เห็นว่าการเอาอาหารมาทิ้งให้มดกินนี้ไม่ได้ความ ถ้าหากเอาอาหารไปแจกคนยากจน ให้สมณะชีพราหมณ์ผู้ประพฤติชอบ ก็จะเป็นประโยชน์มากกว่า พระองค์จึงสอนให้รู้จักบริจาคทาน เอาสิ่งที่ควรจะเซ่นบรรพบุรุษนั้นไปทำทานเสีย แจกแก่คนยากจน แก่สมณะชีพราหมณ์ สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นวัตถุที่มีค่าแก่สังคมมนุษย์ ดีกว่าที่จะให้เป็นวัตถุมีคุณค่าแ่ก่มดแก่ปลวกซึ่งนอนอยู่ในป่าช้า

พระพุทธเจ้าท่านไม่เชื่อ ไม่ส่งเสริม ในสิ่งที่คนอินเดียเขาทำกันมาก่อน พระองค์เป็นผู้กล้าพูดกล้าแสดง

ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวย้ำด้วยความภูมิใจว่า ไม่มีครูอาจารย์คนใดในโลกที่กล้าพูดให้คนเข้าใจอย่างองค์พระพุทธเจ้าขอให้ท่านลองอ่านประวัติของครูอาจารย์ในโลก ซึ่งมีหลายองค์ด้วยกัน ใครบ้างที่กล้าพูดอย่างพระพุทธเจ้า ที่จะกล้าตัดสินในสิ่งที่ควรอย่างองค์พระพุทธเจ้า.. ไม่มีเลย เมื่อได้อ่านประวัติพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานที่พระองค์เคยกระทำมาในสมัยสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว แม้ว่าจะมีคนเชื่อไม่กี่คน แต่ข้าพเจ้าได้ใช้สิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต ด้วยการทำงานที่เป็นประโยชน์เพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนาต่อไป ข้าพเจ้าเลื่อมใสพระพุทธเจ้าในข้อนี้ พระพุทธเจ้าท่านไปไหนท่านก็พยายามเปลี่ยนความเป็นอยู่ของสังคมในอินเดีย ให้เข้าระบบการที่ถูกต้องและเรียบร้อย

พระพุทธเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงไปในรูปอย่างนี้ แม้เหตุการณ์อื่นๆก็มีอีกมาก ถ้าเราอ่านศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า อ่านพระสูตรต่างๆอันเป็นหลักคำสอนเราจะเห็นว่า พระพุทธเจ้านี้ทรงทำการปฎิบัติตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อเข้าสู่ระบบใหม่ อันจะเป็นไปเพื่อความสุขแก่สังคมอย่างแท้จริง....

เลิกเชื่ออย่างไร้เหตุผล พึ่งตนพึ่งธรรมะ หน้า ๒๗๖-๒๗๗
หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ

...................................................................................................



เลิกค่อนขอดทำลายชาติกันเถอ
ภาพที่เห็นทั้งหลายก็แค่มุมกล้อง กดชัดเตอร์ทีเดียวได้นับหมื่นภาพ คนหวังร้ายก็เลือกเอาภาพที่ดูแย่สุดออกมาโพนทะนา สาบานได้ ผมไม่ใช่สมุนยัยปู เพียงอยากบอกว่า การที่คนในชาติบางคนออกมาค่อนขอดแต่เรื่องไร้สาระ หวังแต่จะทำลายศัตรูทางการเมืองนั้น อาจทำชาติพังหรือไม่เจริญไปด้วย โปรดสังวร

.......................................................................................................

...................................................................................................................


คุณชายกบ ตอน เจิมศาสตร์


http://www.youtube.com/watch?v=NAB53JELGiQ
.................................................................................................................




"...บรูตัสกล่าวว่า ซีซาร์มักใหญ่ใฝ่สูง เขาจึงสมควรตาย ใช่ บรูตัสเป็นผู้ทรงเกียรติ แต่เวลาที่คนยากจนอดตาย ซีซาร์หลั่งน้ำตา นี่หรือคือผู้มักใหญ่ใฝ่สูงแต่บรูทัสเป็นผู้ทรงเกียรติ... พวกท่านครั้งหนึ่งเคยรักซีซาร์ไม่ใช่หรือ บัดนี้เมื่อเขาตายท่านไม่แม้แต่จะเสียใจ ใช่ และบรูตัสเป็นผู้ทรงเกียรติ..."

มาร์ค แอนโทนี กล่าวแก่ชาวโรมต่อหน้าศพซีซาร์หลังจากถูกบรูตัสกับพวกวุฒิสมาชิกรุมสังหารจนตายในสภา

(เก็บความจากภาพยนตร์เรื่อง Julius Caesar)

..........................................................................................................

...............................................................................................................




[ Creative ] ดูคลิปจับผิดภาพ: ไอเดียสุดกึ๋นรณรงค์ความปลอดภัยให้ผู้ใช้จักรยาน

ดูคลิ๊ป/อ่านต่อ: www.creativemove.com/creative/tfl-test-your-awareness

.................................................................................................................


นาย ก : ปาฐกถายิ่งลักษณ์บนเวทีประชาคมประชาธิปไตยนี่คนด่าเยอะนะครับ
นาย ข : ใครบ้างครับ
นาย ก : พรรคประชาธิปัตย์ ด่าเรื่องสังหารหมู่กลางกรุง กับได้ประโยชน์จากการรัฐประหารครับ
นาย ข : อันนี้จริงไหม
นาย ก : จริงครับ แถม ชัย ราชวัตร ยังด่าว่ากะหรี่ยังมีศักดิ์ศรีมากกว่าเลยครับ
นาย ข : เอ๊ะ ชัย ราชวัตร ที่เคยไปร่วมขบวนพันธมิตร คว่ำรัฐบาลสมัคร ที่มาจากการเลือกตั้งหรือ
นาย ก : ใช่ครับ รวมไปถึงกลุ่ม ส.ว.สรรหา ในนามกลุ่ม "ส.ว.ผู้รักชาติ" อีกนะครับ
นาย ข : เอ๊ะ ส.ว.สรรหา นี่มันเลือกโดยคนไม่กี่คน แถมมาจากรัฐธรรมนูญ คมช. ใช่ไหมครับ
นาย ก : ใช่ครับ
นาย ข : อ้อ แบบนี้ไม่เรียกว่า ออกมา"ด่า"ครับ เขาเรียกว่าออกมา "ดิ้น"ครับ

Cr : มิตรสหายท่านหนึ่ง

...................................................................................................................


ใครกันแน่ ที่กำลังครอบงำรัฐสภา ให้ทำผิดรัฐธรรมนูญ ?

ล่าสุดที่มีผู้ไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างกรณีที่ คุณทักษิณ 'สไกป์' มาในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยและให้สมาชิกพรรคเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา โดยถือว่าเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองฯ เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และขอให้ศาลยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารของพรรคการเมืองนั้น ผมมีข้อสังเกตเบื้องต้น 3 ประการ

1. หากประเด็นในการฟ้องคดีนั้นอ้างถึงการกระทำที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะรายมาตรา หรือ เพื่อให้มี ส.ส.ร. ก็ไม่น่าจะมีประเด็นให้มาฟ้องตาม มาตรา 68 ได้ เพราะนอกจากจะเป็นอำนาจของรัฐสภาที่ชัดเจนตามรัฐธรรมนูญแล้ว ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญเองก็ได้ยกคำร้องทำนองดังกล่าว โดยศาลเห็นว่า การแก้ไขเพื่อมี ส.ส.ร. ไม่ถือว่าผิด มาตรา 68 อีกทั้งยืนยันว่าแก้ไขรายมาตราได้ ส่วนศาลจะมีคำแนะนำอย่างไร นั่นคือเจตนาของศาลที่จะไม่เข้าไปวินิจฉัยผูกพัน ดังนั้น เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในมาตรฐานของศาลเอง จึงไม่สามารถผิด มาตรา 68 ได้ แต่ก็น่าแปลกใจที่ยังมีความพยายามนำเรื่องดังกล่าวมาฟ้องกันซ้ำซ้อน และยิ่งน่าแปลกใจที่ศาลเองก็ยังไปรับคำร้องในเรื่องเหล่านี้ในช่วงที่ผ่านมา แสดงถึงความคิดที่บิดเบี้ยวกันทั้งผู้ร้องและผู้รับคำร้อง

2. หากจะอ้างไปถึงว่าคุณทักษิณครอบงำพรรค หรือสมาชิกรัฐสภา ไม่เป็นประประชาธิปไตย ผิดรัฐธรรมนูญ ก็มองว่าเป็นความคิดที่ย้อนแย้งกันเอง เพราะหากคุณทักษิณครอบงำพรรคได้จริง คุณทักษิณก็คงไม่ต้อง 'สไกป์' มาในที่ประชุมเพื่ออธิบายอะไรให้คณะกรรมการบริหารพรรคให้เสียเวลา เพราะหากจะสั่งได้จริงก็คงสั่งได้เลย ไม่ต้องพูดคุยอะไรกันเป็นข่าวให้เสียเวลา นอกจากนี้ หากจะมองหาผู้ที่ครอบงำพรรคการเมืองหรือสมาชิกรัฐสภาให้ไม่เป็นประประชาธิปไตยและผิดรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง ก็คงต้องถามว่า ผู้ใดกันแน่ คือถือต้นเหตุที่ทำให้สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถดำเนินการลงมติวาระ 3 ที่ค้างอยู่ได้ ทั้งที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ก็บัญญัติให้สมาชิกรัฐสภามีหน้าที่ต้องลงมติ

3. ความผิดเพี้ยนย้อนแย้งทั้งหมดนี้ ยิ่งเป็นเครื่องตอกย้ำว่า แทนที่ มาตรา 68 จะเป็นโล่กำบังให้ประชาธิปไตย แต่มาตรา 68 กลับถูกปลุกเสกให้เป็นดาบย้อนมาแทงประชาธิปไตยเสียเอง และทิ่มแทงได้เรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุด หากวันนี้สามารถฟ้องกรณีคุณทักษิณคุยกับพรรคได้ สมมติต่อไปหากประชาชนจะร่วมกันใช้คะแนนเสียงไปกดดันกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพื่อให้สมาชิกพรรคเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็คงจะมีคนอาศัยตรรกะอันผิดเพี้ยนย้อนแย้งเดียวกันนี้ ไปไล่ฟ้องประชาชนว่า ประชาชนกำลังล้มล้างการปกครองขัดต่อ มาตรา 68 และหากมีประชาชนสักร่วมล้านคนช่วยกันทำและส่งต่อคลิปวิดีโอไปกดดันพรรค ก็คงต้องไปไล่ฟ้องประชาชนทั้งล้านคน กระนั้นหรือ ?

---

อนึ่ง ผมขอเสนอให้ทุกท่านเก็บ 'จดหมายเปิดผนึกฯ' ถึงประชาชนของ 312 ส.ส. ส.ว. ที่คัดค้านศาลรัฐธรรมนูญ ผมเข้าใจว่าตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้บางฉบับ เก็บเอาไว้ ห่อให้ดี เอาให้ลูกหลานอ่าน เป็นเอกสารประวัติศาสตร์ครับ.

http://www.ptp.or.th/news/m-detail.aspx?news_id=5009

.....................................................................................................................




นักปั่นควรรู้
-ขี่จักรยานบนทางราบด้วยความเร็วน้อยกว่า 20 กม./ชม. ถือว่าช้าไป จะไม่เกิดสภาพแอโรบิคที่ต้องการ
-ขี่จักรยานด้วยขนาดความเร็วกว่า 30-32 กม./ชม. ก็จะเทียบได้เท่ากับการวิ่งความเร็วประมาณ 3 นาทีเศษต่อกิโลเมตร
-ขี่จักรยานในช่วงความเร็วประมาณ 25-28 กม./ชม. คือความเร็วเฉลี่ยที่ฝรั่งเขาทำได้กัน ควรยึดไว้เป็นบรรทัดฐานในการฝึก

ที่มา http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000052975

..............................................................................................................


เดี๋ยวนี้ตกแต่งสวยขึ้นมาก แต่น่าจะยังใช้เป็นสนามบอลเวลาเย็นๆเหมือนเดิม

คิดถึงมากๆครับ ^_^





ลานเกียร์ บ่ายโมง วันที่ 3 พฤษภาคม 2556 ไม่พลุกพล่านเหมือนปรกติ นิสิตภาคปรกติปิดภาคการศึกษาไปแล้ว นิสิตหลักสูตรนานาชาติกำลังสอบปลายภาคกัน ตกเย็นจะครึกครื้นขึ้นอีกครั้งด้วยกิจกรรมเตรียมการต้อนรับนิสิตใหม่

.................................................................................................................




เรือนกระจก อย่างประหยัดและรักษ์โลก ครับผม

..............................................................................................................




เปนเรื่องปวดหัวเวลาที่จะใช้ทู๊กกกที

.....................................................................................................




freedom house องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลที่ได้รับความเชื่อถือเป็นอันดับต้นๆของโลก ได้จัดอันดับ เสรีภาพสื่อ ปี 2013

และตอแหลแลนด์ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง โดยเสรีภาพสื่อของไทยถูกจัดอันดับอยู่ใน categories Not Free เช่นเดียวกับ พม่า อัฟกานิสถาน ปากีสถาน เขมร ลาว เวียดนาม อียิปต์ ลิเบีย ซูดาน เอกัวดอร์ จีน ซาอุ อิรัก ซีเรีย เอธิโอเปีย โซมาเลีย ไนเจอร์ อัลจีเรีย ฯลฯ

โดยในรายงานระบุ factors สองอย่างใหญ่ๆ ที่ทำให้คะแนนประเทศไทยตกต่ำลง คือ
1.มาตรา 112
2.การแผ่อำนาจการตีความกฎหมายของฝ่ายตุลาการ ที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพ

เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ช่วยตอกย้ำให้เห็นชัดๆว่า ต่อให้อีปู ไม่ไปพูดที่มองโกลเลีย สายตาที่ชาวโลกมองเข้ามาในตอแหลแลนด์ เค้ามองเห็นรากฐานปัญหาของตอแหลแลนด์ว่าจริงๆแล้วมันมาจากฝ่ายไหนกันแน่

รายงานฉบับเต็มอยู่นี่ครับ ประเทศที่มีการทำลูกศรชี้ออกมา คือประเทศที่ freedomhouse ทำรายงานพิเศษไว้ เพราะมีนัยยะในการเปลี่ยนแปลงของอันดับชัดเจน ไม่ดีขึ้นมาก ก็แย่ลงมาก ของตอแหลแลนด์อยู่ในประเภทหลังhttp://www.freedomhouse.org/sites/default/files/Freedom%20of%20the%20Press%202013%20-%20Infographic.pdf

credit : www.freedomhouse.org
 
...............................................................................................................




"ทุกคนมักเชื่อในความโหดร้ายของศัตรูและไม่เชื่อในเรื่องร้ายกาจของฝ่ายตน โดยไม่แม้กระทั่งคิดที่จะตรวจสอบหลักฐาน"
“Everyone believes in the atrocities of the enemy and disbelieves in those of his own side, without ever bothering to examine the evidence.”

จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell)
เป็นนามปากกาของ เอริก อาร์เทอร์ แบลร์ (Eric Arthur Blair)
นักเขียน นักวิจารณ์ด้านการเมืองและวัฒนธรรมชาวอังกฤษ งานเขียนที่น่าสนใจเช่น Animal Farm ซึ่งเป็นนิยายล้อเลียนการเมือง, 1984 ซึ่งกล่าวถึงเผด็จการอำนาจนิยมเบ็ดเสร็จ


Source : http://www.goodreads.com/quotes/104989-everyone-believes-in-the-atrocities-of-the-enemy-and-disbelieves

.........................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น