ภาพวันนั้น-พื้นที่วันนี้ : 3 ปี “กระชับวงล้อม” กับความคืบหน้าคดี
http://prachatai.com/journal/2013/05/46876...............................................................................................................................
............................................................................................................................
ไฟดับ ระวัง...ถูกคนชั่วหลอก!
กฟผ. แจ้งเหตุไฟดับ 14 จังหวัดภาคใต้เหตุเกิดจากภา
แต่จากรายงาน "ไฟฟ้าประเทศไทยปี 2554" ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและ
ญี่ปุ่นเค้าทำ"ไข่ยาว"ขายได
- Supapong Wanitpongpan ก็แค่ถ้าคุณไม่พร้อม เขารอสักพักคุณก็ยังไม่พร้อม เขาก็ไปของเขา
เรียกว่า "เห็นแก่ตัว" เลยหรือครับ
(การตีความที่แตกต่าง ก็ได้แง่มุมที่แตกต่าง) - Piyawatana Yosyingyong งั้น อัญเชิญเค้า ไปให้โอกาส คนที่พร้อมกว่าดีกว่าครับ (พอดีคิดเรื่องอื่นปนไปด้วยครับ) เป็นสิทธิ์ที่เค้าจะเลือกและกำหนด เราก็รอต่อไปครับ
.................................................................................................................................
โพสต์นี้ เพราะชอบคำ(วลี) นี้จังเลยค่ะ "รอยเท้าในอากาศ"
'ปราย พันแสง
ร้านหนังสือเล็กๆ ที่บ้านเกิด We Love Little Bookshops
..
ก่อนที่พระบรมศาสดา จะปรินิพพาน ในปลายปัจฉิมยามราตรีนี้ มีนักบวชปริพาชก นอกพุทธศาสนาผู้หนึ่ง ชื่อ สุภัททะ จะขอเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
พระอานนท์จึงขอร้องว่า อย่าได้รบกวน พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย ปริพาชกสุภัททะ ก็ยังกล่าววิงวอนขอเข้าเฝ้า เพื่อทูลถามข้อข้องใจ บางประการ ที่มีมานาน
พระอานนท์ได้ห้ามว่า
" อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่ารบกวน พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย พระองค์ทรงลำบาก พระวรกายมากอยู่แล้ว พระองค์ประชวรหนัก จะปรินิพพานในยามสุดท้าย แห่งราตรีนี้"
ท่านสุภัททะ ยังวิงวอนต่อว่า
" โอกาสของข้าพเจ้า เหลือเพียงเล็กน้อย ขอท่านอาศัยความเอ็นดูโปรดอ นุญาตให้ข้าพเจ้า ได้เข้าเฝ้า พระบรมศาสดาเถิด"
พระอานนท์ทัดทานอย่างเดิม สุภัททะ ก็อ้อนวอนเช่นเดิม
พระพุทธองค์ทรงได้ยิน จึงรับสั่งว่า
"อานนท์ ! ให้สุภัททะ เข้ามาหา ตถาคตเถิด"
เมื่อสุภัททะ ได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดา
สุภัททะ ได้กราบทูลถามว่า
"พระองค์ผู้เจริญ คณาจารย์ทั้ง๖ คือ
ปูรณะกัสสปะ , มักขะลิโคศาล , อชิตะเกสกัมพล
ปกุทธะกัจจายนะ , สัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถ์นาฏบุตร ซึ่งเป็นศาสดาเจ้าลัทธิ มีคนนับถือมาก เคารพบูชามาก ศาสดาเหล่านั้น ยังจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่ อย่างไร พระเจ้าข้า"
"เรื่องนี้หรือสุภัททะ ! ที่เธอดิ้นรนขวนขวายมาหาเรา
ด้วยความพยายาม อย่างยิ่งยวด
บัดนี้... เวลาของเราและของเธอ เหลือน้อยเต็มที
เธอจงถาม สิ่งที่เป็นประโยชน์ แก่เธอเองเถิด"
" ถ้าอย่างนั้น ข้าพระองค์ ขอทูลถามปัญหา ๓ ข้อ คือ
● รอยเท้าในอากาศ มีอยู่หรือไม่ ?'ปราย พันแสง
ร้านหนังสือเล็กๆ ที่บ้านเกิด We Love Little Bookshops
..
ก่อนที่พระบรมศาสดา จะปรินิพพาน ในปลายปัจฉิมยามราตรีนี้ มีนักบวชปริพาชก นอกพุทธศาสนาผู้หนึ่ง ชื่อ สุภัททะ จะขอเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
พระอานนท์จึงขอร้องว่า อย่าได้รบกวน พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย ปริพาชกสุภัททะ ก็ยังกล่าววิงวอนขอเข้าเฝ้า
พระอานนท์ได้ห้ามว่า
" อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่ารบกวน พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย พระองค์ทรงลำบาก พระวรกายมากอยู่แล้ว พระองค์ประชวรหนัก จะปรินิพพานในยามสุดท้าย แห่งราตรีนี้"
ท่านสุภัททะ ยังวิงวอนต่อว่า
" โอกาสของข้าพเจ้า เหลือเพียงเล็กน้อย ขอท่านอาศัยความเอ็นดูโปรดอ
พระอานนท์ทัดทานอย่างเดิม สุภัททะ ก็อ้อนวอนเช่นเดิม
พระพุทธองค์ทรงได้ยิน จึงรับสั่งว่า
"อานนท์ ! ให้สุภัททะ เข้ามาหา ตถาคตเถิด"
เมื่อสุภัททะ ได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดา
สุภัททะ ได้กราบทูลถามว่า
"พระองค์ผู้เจริญ คณาจารย์ทั้ง๖ คือ
ปูรณะกัสสปะ , มักขะลิโคศาล , อชิตะเกสกัมพล
ปกุทธะกัจจายนะ , สัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถ์นาฏบุตร ซึ่งเป็นศาสดาเจ้าลัทธิ มีคนนับถือมาก เคารพบูชามาก ศาสดาเหล่านั้น ยังจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่
"เรื่องนี้หรือสุภัททะ ! ที่เธอดิ้นรนขวนขวายมาหาเรา
ด้วยความพยายาม อย่างยิ่งยวด
บัดนี้... เวลาของเราและของเธอ เหลือน้อยเต็มที
เธอจงถาม สิ่งที่เป็นประโยชน์ แก่เธอเองเถิด"
" ถ้าอย่างนั้น ข้าพระองค์ ขอทูลถามปัญหา ๓ ข้อ คือ
● สมณะภายนอกศาสนาของพระองค์ มีอยู่หรือไม่ ?
●
สังขารที่เที่ยง มีอยู่หรือไม่ ?
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า สุภัททะ !
๛ รอยเท้าในอากาศนั้น ไม่มี
๛ ศาสนาใด ไม่มีอริยมรรคมีองค์๘ สมณะผู้สงบถึงที่สุด
ในสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔ ก็ไม่มี ในศาสนานั้น
แต่ศาสนาใด... มีอริยมรรคมีองค์๘
ในศาสนานั้น... มีสมณะผู้สงบถึงที่สุด ของสมณะทั้ง ๔ ประเภทนั้น
๛ สังขารที่เที่ยงนั้น ไม่มี
ดูก่อนสุภัททะ ! เธอจงตั้งใจฟังเถิด เราจะแสดงธรรมให้ฟัง
"อริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นทางประเสริฐ*
สามารถให้บุคคล ผู้เดินไปตามทางนี้ ถึงความสุขสงบเย็น อย่างเต็มที่เป็นทางเดินไปส ู่ อมตะ"
"ถ้าภิกษุ หรือใครก็ตาม จักพึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติดำเนินตาม
มรรคอันประเสริฐประกอบด้วยอ งค์ ๘ นี้อยู่
โลก... ก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต ์"
ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก
● เหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า สุภัททะ !
๛ รอยเท้าในอากาศนั้น ไม่มี
๛ ศาสนาใด ไม่มีอริยมรรคมีองค์๘ สมณะผู้สงบถึงที่สุด
ในสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔ ก็ไม่มี ในศาสนานั้น
แต่ศาสนาใด... มีอริยมรรคมีองค์๘
ในศาสนานั้น... มีสมณะผู้สงบถึงที่สุด ของสมณะทั้ง ๔ ประเภทนั้น
๛ สังขารที่เที่ยงนั้น ไม่มี
ดูก่อนสุภัททะ ! เธอจงตั้งใจฟังเถิด เราจะแสดงธรรมให้ฟัง
"อริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นทางประเสริฐ*
สามารถให้บุคคล ผู้เดินไปตามทางนี้ ถึงความสุขสงบเย็น อย่างเต็มที่เป็นทางเดินไปส
"ถ้าภิกษุ หรือใครก็ตาม จักพึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติดำเนินตาม
มรรคอันประเสริฐประกอบด้วยอ
โลก... ก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต
ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก
● เปิดของที่ปิด
●
ส่องประทีปในที่มืด
บอกทางแก่คนหลงทาง
สุภัททะปริพาชก เมื่อได้ฟังพระดำรัสนี้ ก็เกิดความเลื่อมใสอย่างมาก ทูลขออุปสมบทบรรพชา
พระบรมศาสดา พระผู้ทรงมหากรุณา ให้อุปสมบทบรรพชา เป็นภิกษุ แล้วตรัสบอกกัมมัฏฐาน
สุภัททะภิกษุใหม่ ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะพยายามให้บรรลุ อรหัตตผล*ในคืนนี้ ก่อนที่พระองค์จะปรินิพพาน
จึงออกไปเดินจงกรม อยู่ในที่สงัดแห่งหนึ่ง
ในบริเวณ อุทยานสาละวโนทยาน
บัดนี้... ร่างกายของสุภัททะภิกษุ ห่อหุ้มด้วยผ้กาสาวพัสตร์
เมื่อต้องแสงจันทร์ ผิวพรรณของท่าน เปล่งปลั่ง งามอำไพ
มัชฌิมยามแห่งราตรี จวนจะสิ้นอยู่แล้ว
ดวงรัชนีกลมโต เคลื่อนย้าย ไปอยู่ทางท้องฟ้า ด้านตะวันตก
สุภัททะภิกษุ แหงนขึ้นดูท้องฟ้า
"แสงจันทร์นวลผ่อง สุกสกาวเมื่อครู่นี้ ดูจะอับรัศมีลง
เมฆก้อนใหญ่กำลังเคลื่อน เข้าบดบังแสงจันทร์ จนมิดดวงไปแล้ว
แต่ไม่นานนัก เมฆก้อนนั้นก็เคลื่อนคล้อยไ ป
แสงโฉมสาดส่องลงมา สว่างนวลดังเดิม"
ทันใดนั้น !
ดวงปัญญา" ก็พลุ่งโพลงขึ้นในดวงใจ" ของสุภัททะภิกษุ
เพราะนำดวงใจ ไปเทียบ กับดวงจันทร์
“จิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่อง ใส มีรัศมีเหมือนดวงจันทร์
แต่อาศัยกิเลสที่จรมา เป็นครั้งคราว จิตนี้จึงเศร้าหมอง
เหมือนก้อนเมฆ บดบังดวงจันทร์ ให้อับแสง”
วิปัสสนาปัญญา ก็โพลงขึ้น
ชำแรกกิเลส แทงทะลุบาปธรรมทั้งมวล
ที่ห่อหุ้มดวงจิต แหวกอวิชชา และ โมหะ
อันเป็นประดุจ ตาข่ายด้วยศาสตรา คือ วิปัสสนา ชำระจิตให้บริสุทธิ์
บรรลุอรหัตตผล พร้อมด้วย ปฏิสัมภิทา
แล้วออกจากที่จงกรม มาถวายบังคมพระมงคลบาทพระบร มศาสดา
ภายใต้แสงจันทร์ สีนวล ยองใยนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า บรรทมเหยียดพระวรกาย ในท่าสีหะไสยา แวดล้อมด้วย พุทธบริษัทมากหลายแผ่น เป็นปริมณฑล
กว้างออกไปสุดสายตา
พระพุทธองค์ทรงตรัส กับพระอานนท์ว่า
อานนท์ ! เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว พวกเธอทั้งหลาย อาจจะคิดว่า
บัดนี้พวกเธอไม่มีพระศาสดาแ ล้ว จะพึงว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง
อานนท์ ! พึงประกาศ ให้ทราบโดยทั่วกันว่า
ธรรมวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ แทนเราสืบไป
อานนท์ ! ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตาม
มีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ
มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ
ภิกษุพวกใด... เป็นผู้ใคร่ในสิกขา
ภิกษุพวกนั้น.. จักเป็นผู้อยู่ในสถานะ อันเลิศที่สุด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย :
บัดนี้... เป็นวาระสุดท้าย แห่งเราแล้ว
เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขาร มีความเสื่อมและสิ้นไป เป็นธรรมดา
พวกเธอจงยังประโยชน์ตน และผู้อื่น ให้ถึงพร้อม
ด้วยความ "ไม่ประมาท" เถิด.
...
Via @Supany Maew
Via @Suddan Wisudthiluck
บอกทางแก่คนหลงทาง
สุภัททะปริพาชก เมื่อได้ฟังพระดำรัสนี้ ก็เกิดความเลื่อมใสอย่างมาก
พระบรมศาสดา พระผู้ทรงมหากรุณา ให้อุปสมบทบรรพชา เป็นภิกษุ แล้วตรัสบอกกัมมัฏฐาน
สุภัททะภิกษุใหม่ ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะพยายามให้บรรลุ อรหัตตผล*ในคืนนี้ ก่อนที่พระองค์จะปรินิพพาน
จึงออกไปเดินจงกรม อยู่ในที่สงัดแห่งหนึ่ง
ในบริเวณ อุทยานสาละวโนทยาน
บัดนี้... ร่างกายของสุภัททะภิกษุ ห่อหุ้มด้วยผ้กาสาวพัสตร์
เมื่อต้องแสงจันทร์ ผิวพรรณของท่าน เปล่งปลั่ง งามอำไพ
มัชฌิมยามแห่งราตรี จวนจะสิ้นอยู่แล้ว
ดวงรัชนีกลมโต เคลื่อนย้าย ไปอยู่ทางท้องฟ้า ด้านตะวันตก
สุภัททะภิกษุ แหงนขึ้นดูท้องฟ้า
"แสงจันทร์นวลผ่อง สุกสกาวเมื่อครู่นี้ ดูจะอับรัศมีลง
เมฆก้อนใหญ่กำลังเคลื่อน เข้าบดบังแสงจันทร์ จนมิดดวงไปแล้ว
แต่ไม่นานนัก เมฆก้อนนั้นก็เคลื่อนคล้อยไ
แสงโฉมสาดส่องลงมา สว่างนวลดังเดิม"
ทันใดนั้น !
ดวงปัญญา" ก็พลุ่งโพลงขึ้นในดวงใจ" ของสุภัททะภิกษุ
เพราะนำดวงใจ ไปเทียบ กับดวงจันทร์
“จิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่อง
แต่อาศัยกิเลสที่จรมา เป็นครั้งคราว จิตนี้จึงเศร้าหมอง
เหมือนก้อนเมฆ บดบังดวงจันทร์ ให้อับแสง”
วิปัสสนาปัญญา ก็โพลงขึ้น
ชำแรกกิเลส แทงทะลุบาปธรรมทั้งมวล
ที่ห่อหุ้มดวงจิต แหวกอวิชชา และ โมหะ
อันเป็นประดุจ ตาข่ายด้วยศาสตรา คือ วิปัสสนา ชำระจิตให้บริสุทธิ์
บรรลุอรหัตตผล พร้อมด้วย ปฏิสัมภิทา
แล้วออกจากที่จงกรม มาถวายบังคมพระมงคลบาทพระบร
ภายใต้แสงจันทร์ สีนวล ยองใยนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า บรรทมเหยียดพระวรกาย ในท่าสีหะไสยา แวดล้อมด้วย พุทธบริษัทมากหลายแผ่น เป็นปริมณฑล
กว้างออกไปสุดสายตา
พระพุทธองค์ทรงตรัส กับพระอานนท์ว่า
อานนท์ ! เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว พวกเธอทั้งหลาย อาจจะคิดว่า
บัดนี้พวกเธอไม่มีพระศาสดาแ
อานนท์ ! พึงประกาศ ให้ทราบโดยทั่วกันว่า
ธรรมวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ แทนเราสืบไป
อานนท์ ! ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตาม
มีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ
มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ
ภิกษุพวกใด... เป็นผู้ใคร่ในสิกขา
ภิกษุพวกนั้น.. จักเป็นผู้อยู่ในสถานะ อันเลิศที่สุด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย :
บัดนี้... เป็นวาระสุดท้าย แห่งเราแล้ว
เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขาร มีความเสื่อมและสิ้นไป เป็นธรรมดา
พวกเธอจงยังประโยชน์ตน และผู้อื่น ให้ถึงพร้อม
ด้วยความ "ไม่ประมาท" เถิด.
...
Via @Supany Maew
Via @Suddan Wisudthiluck
www.kayathai.com
ไม่ได้ไปเที่ยวไหน ทำสวีทอยู่บ้านก็ได้นะ
.................................................................................................................................
งานออนไลน์ ที่ดีที่สุด ทํางานผ่านเน็ต 100%
รายได้ดีงานง่ายๆ เรามาทำงานผ่านเน็ตเพื่อเปล
ตายก็รอด รอดก็รอด
ชาวสวนผู้หนึ่งในเมืองไทยเร านี่เองประสบความสำเร็จในสา ยอาชีพเกษตรอย่างสูง เป็นเจ้าของสวนหลายสิบไร่ ผลิตพืชผลจำนวนมากเลี้ยงครอ บครัวได้อย่างสบาย ที่ไม่น่าเชื่อคือ เขาดูแลต้นไม้หลายสิบไร่ตัว คนเดียว
มีคนถามเขาว่า “เลี้ยงต้นไม้มากขนาดนี้คนเ ดียวได้ยังไง?”
เขาตอบว่า “ง่ายมาก ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้พวกมันเลี้ยงตัวเอง ”
“ไม่ต้องให้น้ำให้ปุ๋ยหรือ? ”
“ไม่ต้องให้อะไรเลย”
“อ้าว! แล้วมันไม่ตายหรือ?”
“ตายก็ตาย รอดก็รอด”
เออ! ตอบแบบกำปั้นทุบดินดีแท้!
เปล่า! ชาวสวนที่ประสบความสำเร็จผู ้นี้ไม่ได้พูดเล่น หลักการเกษตรของเขาคือ ปล่อย
ให้ต้นไม้สู้ชีวิตเอง ถ้าต้นไหนอยากตาย ก็เชิญตายตามสบาย สายพันธุ์ไม่แข็งแรงจะหมดไป เอง แต่ต้นไหนที่ปรับตัวก็รอด เติบโตออกดอกออกผล
“ต้นไม้ในป่ามันรอให้คนไปรด น้ำใส่ปุ๋ยหรือ? มันโตของมันเองได้ ยิ่งประคบประหงมต้นไม้มากเก ินไปทำให้พวกมันอ่อนแอ ปล่อยให้มันสู้ชีวิตเอง ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน!”
เขาพบว่าต้นไม้ที่ขี้เกียจ รอฝนรออาหารมักตายเร็ว
ชาวสวนผู้นี้รีไซเคิลทุกอย่ างในสวนตามธรรมชาติ จนกลายเป็นวงจรที่ลงตัว เป็นระบบนิเวศสมบูรณ์ที่พืช พรรณ “ดูแลกันเอง” เจ้าของก็ไม่เหนื่อย เพราะไม่ต้องดูแลมันมาก เป็นซีอีโอดูลูกน้องทำงาน!
ปรัชญา ‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ ของเขาดูเผินๆ เหมือนการทำงานแบบยถากรรมหร ือเกียจคร้าน แต่ความจริงกว่าจะมาถึงข้อส รุปนี้ เขาต้องลองผิดลองถูก มันเป็นผลมาจากประสบการณ์ขอ งการเฝ้าสังเกตนิสัยของต้นไ ม้มายาวนาน
เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มชาวไร่ช าวสวนที่ไม่ถอนวัชพืชออกจาก สวน ปล่อยให้พวกมันอยู่กันเองตา มธรรมชาติ หลักคิดคือสรรพสิ่งมีเหตุผล การดำรงอยู่ของมัน วัชพืชก็เหมือนเชื้อโรค ไม่อาจกำจัดให้หมดโลกได้ ธรรมชาติมีหนทางของมันเอง มันปรับตัวเองได้ การใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์หรือส ารเคมี สารพิษฆ่าแมลงมากเกินไปอาจท ำให้มันอ่อนแอลง ในที่สุดก็สูญพันธุ์
นี่สอดคล้องกับหลักวิวัฒนาก าร หากต้นไม้สายพันธุ์หนึ่งอยู ่รอดจากความลำบากได้ โอกาสที่สายพันธุ์นั้นจะอยู ่รอดต่อไปก็สูงขึ้น เพราะความสามารถจะถูกฝังในร ะดับยีน
-2-
ผมเกิดในครอบครัวสิบพี่น้อง ข้างบ้านผมมีลูกสิบสามคน บ้านถัดไปมีแปดคน ในสมัยก่อนแต่ละบ้านในสมัยน ั้นมีลูก 8-10 คนเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง รัฐบาลรณรงค์ให้มีลูกกันมาก ๆ บางปีก็มอบรางวัลแก่ ‘แม่ลูกดก’ ด้วย!
สำหรับคนยุคนี้ การเลี้ยงลูกสักสิบคนคงเป็น นรกแน่ๆ! แต่ในสมัยโน้นชาวบ้านเดินดิ นทั่วไปต้องทำงานตัวเป็นเกล ียวเช้าจรดค่ำ ไม่ค่อยเหลือเวลามาอบรมลูกเ ป็นรายตัว ก็เลี้ยงลูกแบบ ‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ ให้รับผิดชอบตัวเอง กินข้าวไม่ต้องป้อน ถึงเวลาไปโรงเรียนก็ไป ลูกคนไหนเกเรก็หวดด้วยไม้เร ียวสักที ก็ไม่เห็นมีใครเสียเด็กสักค น!
สมัยนี้เลี้ยงลูกคนเดียวยาก เหลือประมาณ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน ! ลูกบังเกิดเกล้าอยากได้อะไร ก็ถวายให้หมด เด็กเดี๋ยวนี้จำนวนมากอายุส ิบขวบแล้วยังต้องป้อนอาหารใ ห้ จะกินข้าวทีก็ต้องไล่ป้อนไป ทั่วบ้านหรือหลอกล่อด้วยราง วัล บางคนอายุสิบห้ายังผูกเชือก รองเท้าไม่เป็น เพราะมีคนใช้ทำให้ทุกวัน บวกกับสิ่งเร้าที่มากกว่าสม ัยก่อน ทำให้ดูเหมือนว่ามีโอกาสที่ จะเสียเด็กหรือ ‘สปอยล์’ มากขึ้น
บางทีอาจจะจริงตามหลักคิดขอ งชาวสวนคนนั้น การเลี้ยงเด็กก็ไม่ต่างจากก ารเลี้ยงต้นไม้ในสวน ยิ่งประคบประหงมยิ่งทำให้อ่ อนแอ พึ่งตัวเองไม่เป็น มองไปรอบตัว เราเห็นผลผลิตมากมายจากระบบ ‘ประคบประหงม’ เติบโตขึ้นเป็นพวกพึ่งตัวเอ งไม่เป็นและไม่คิดพึ่งตัวเอ ง คิดเป็นอย่างเดียวคือขอจากค นอื่น แก้ปัญหาด้วยการยืมเงิน ขอเงิน และขายของเก่ากิน นานๆ เข้าก็ฝังรากเป็นนิสัย วัฒนธรรม ‘แบมือขอ’ หยั่งรากไปทั่ว มันเกิดขึ้นทุกที่ทุกระดับ ตั้งแต่ปัจเจก องค์กร ไล่ไปจนถึงระดับประเทศ มีตัวอย่างองค์กรมากมายที่บ ริหารขาดทุนทั้งปีทั้งชาติ แล้วขอให้รัฐช่วยค้ำจุน ด้วยเหตุผลคลาสสิกว่า “ถ้าไม่ช่วยเรา มันจะล้มไปทั้งระบบนะ” ถ้าเป็นระดับประเทศ ก็ว่า “ถ้าไม่ช่วยเรา ประเทศคุณก็อาจจะล้มไปด้วยน ะ”
วิกฤติการเงินในสหรัฐอเมริก าเมื่อไม่กี่ปีก่อนสะท้อนให ้เห็นบริษัทยักษ์ใหญ่จำพวก ‘เด็กที่ไม่รู้จักโต’ มีปัญหาก็แบมือขอเงินจากรัฐ เมื่อได้เงินช่วยเหลือมา ผู้บริหารก็จัดการแบ่งสันเป ็นโบนัสให้ตัวเองหน้าตาเฉย!
ในสเกลที่ใหญ่ขึ้นไปอีก หลายประเทศในโลกใช้เงินอย่า งไม่มีวินัยการคลัง ผลาญเงินภาษีของชาติไปกับโค รงการประชานิยมต่างๆ ป้อนถึงปากชาวบ้าน สร้างคนพันธุ์ใหม่ที่ทำอะไร เองไม่เป็น ลงท้ายประเทศทั้งประเทศก็ล่ มจมได้ ทั้งที่เป็นแผ่นดินอุดมสมบู รณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ
นักเศรษฐศาสตร์และนักการเงิ นหลายคนเชื่อว่า วิธีช่วยเหลือประเทศที่กำลั งล้มคือปล่อยให้มันล้ม ตามหลัก ‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ ธรรมชาติจะหาทางออกของมันเอ ง!
บางครั้งยิ่งให้เงินช่วยเหล ือใคร ก็ยิ่งทำให้พวกเขาอ่อนแอ เพราะใครคนหนึ่งไม่สามารถยื มเงินคนอื่น หรือขอความช่วยเหลือจากคนอื ่นไปทั้งชีวิต และก็ไม่มีของเก่าให้ขายไปต ลอดชีวิต อีกประการ ปัจเจกและองค์กรที่รู้ว่าท้ ายที่สุดแล้วต้องมีคนช่วยแน ่ๆ มักไม่ทำงานเต็มที่สุดชีวิต
-3-
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลายบ้านหลายเมืองถูกทำลายจ นสิ้นซาก บ้านแตกสาแหรกขาด คนจำนวนมากสูญเสียทุกอย่างใ นชีวิต ต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ คนที่ลุกขึ้นมาเดินหน้าได้เ ร็วกว่าคือคนที่มีความรู้ ทักษะ และความสามารถติดตัว ทรัพย์สินและความช่วยเหลืออ ย่างเดียว ไม่อาจสร้างชาติขึ้นมาใหม่ไ ด้
ประเทศที่จะประสบความสำเร็จ ในยุคนี้ ไม่จำเป็นต้องมีทรัพยากรธรร มชาติมากมายมหาศาล หากจัดการไม่เป็น ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ม ากมายก็หมดไปได้ แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็ค ือ คุณภาพของคน การพัฒนาคนจึงสำคัญอย่างยิ่ งยวด เริ่มที่การรับผิดชอบต่อชีว ิตตนเอง เพื่อเอาตัวรอดได้
แต่การเอาตัวรอดไม่จำเป็นต้ องทำอย่างยถากรรม สามารถกระทำโดยมียุทธศาสตร์ และยุทธวิธีที่ดีที่สุดก็คื อ การติดอาวุธทางปัญญา ปรับแต่ง ‘ยีน’ ของ ‘ต้นไม้’ แต่ละต้นให้แข็งแรงทนทานมาก ขึ้น เรียนเพื่อรู้ เพื่อใช้งานได้จริง ไม่ใช่เพื่อใบอะไรสักแผ่น
ปรัชญาการเลี้ยงลูกแบบ ‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ มิใช่ตัดหางปล่อยวัดเด็ก แต่คือการกำกับการแสดงอยู่ห ่างๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อลูกขอในสิ่งที่ไม่มีปร ะโยชน์ ก็ต้องรักษาจุดยืนมั่นคง แม้ลูกจะร้องไห้งอแง
โบราณสอนว่าอย่าจับปลาให้ลู กหลานกิน แต่จงสอนวิธีจับปลาให้พวกเข า จะได้มีปลากินไปตลอดชีวิต สอนให้เด็กรู้จักความลำบากบ ้าง จะได้เข้าใจว่าชีวิตไม่ได้ม ีแต่ด้านสวยงาม อาหารทุกมื้อรออยู่บนโต๊ะ เงินรออยู่ในตู้เอทีเอ็ม
เพราะชีวิตไม่เคยแน่นอน เพราะสมบัติพัสถานที่พ่อแม่ มีอาจหายไปเมื่อไรก็ได้ แม้แต่ประเทศที่อยู่อาศัยก็ ล้มละลายได้ ดังนั้นหากไม่รู้จักด้านขรุ ขระของชีวิต และการใช้ชีวิตในสถานการณ์ล ำบาก จะมีชีวิตรอดต่อไปอย่างไร
‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ บังคับให้แต่ละคนต้องทำงาน ไม่พึ่งพาคนอื่น และเป็นอิสระ
บางทีอิสรภาพที่แท้จริงของช ีวิตอาจกินความกว้างกว่าแค่ การไม่ถูกจองจำ แต่คือความสามารถในการพึ่งพ าตัวเองได้ มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และมีอะไรที่เป็นอิสระและน่ าภูมิใจไปกว่าการยืนด้วยลำแ ข้งของตัวเองได้?
วินทร์ เลียววาริณ, 25 พฤษภาคม 2556
www.winbookclub.com
Photo from NPS
via.kaunewsbriefs@blogspot .com
ชาวสวนผู้หนึ่งในเมืองไทยเร
มีคนถามเขาว่า “เลี้ยงต้นไม้มากขนาดนี้คนเ
เขาตอบว่า “ง่ายมาก ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้พวกมันเลี้ยงตัวเอง
“ไม่ต้องให้น้ำให้ปุ๋ยหรือ?
“ไม่ต้องให้อะไรเลย”
“อ้าว! แล้วมันไม่ตายหรือ?”
“ตายก็ตาย รอดก็รอด”
เออ! ตอบแบบกำปั้นทุบดินดีแท้!
เปล่า! ชาวสวนที่ประสบความสำเร็จผู
ให้ต้นไม้สู้ชีวิตเอง ถ้าต้นไหนอยากตาย ก็เชิญตายตามสบาย สายพันธุ์ไม่แข็งแรงจะหมดไป
“ต้นไม้ในป่ามันรอให้คนไปรด
เขาพบว่าต้นไม้ที่ขี้เกียจ รอฝนรออาหารมักตายเร็ว
ชาวสวนผู้นี้รีไซเคิลทุกอย่
ปรัชญา ‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ ของเขาดูเผินๆ เหมือนการทำงานแบบยถากรรมหร
เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มชาวไร่ช
นี่สอดคล้องกับหลักวิวัฒนาก
-2-
ผมเกิดในครอบครัวสิบพี่น้อง
สำหรับคนยุคนี้ การเลี้ยงลูกสักสิบคนคงเป็น
สมัยนี้เลี้ยงลูกคนเดียวยาก
บางทีอาจจะจริงตามหลักคิดขอ
วิกฤติการเงินในสหรัฐอเมริก
ในสเกลที่ใหญ่ขึ้นไปอีก หลายประเทศในโลกใช้เงินอย่า
นักเศรษฐศาสตร์และนักการเงิ
บางครั้งยิ่งให้เงินช่วยเหล
-3-
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ประเทศที่จะประสบความสำเร็จ
แต่การเอาตัวรอดไม่จำเป็นต้
ปรัชญาการเลี้ยงลูกแบบ ‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ มิใช่ตัดหางปล่อยวัดเด็ก แต่คือการกำกับการแสดงอยู่ห
โบราณสอนว่าอย่าจับปลาให้ลู
เพราะชีวิตไม่เคยแน่นอน เพราะสมบัติพัสถานที่พ่อแม่
‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ บังคับให้แต่ละคนต้องทำงาน ไม่พึ่งพาคนอื่น และเป็นอิสระ
บางทีอิสรภาพที่แท้จริงของช
วินทร์ เลียววาริณ, 25 พฤษภาคม 2556
www.winbookclub.com
Photo from NPS
via.kaunewsbriefs@blogspot
อ่านดราม่าหลอกจับเงินค่าปร
............................................................................................................................
.....................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น