วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

25/05/2556


ภาพวันนั้น-พื้นที่วันนี้ : 3 ปี “กระชับวงล้อม” กับความคืบหน้าคดี

http://prachatai.com/journal/2013/05/46876
...............................................................................................................................

............................................................................................................................

จาก Status: คุณPipob Udomittipong

เว็บไซต์ “กูสู้โกง” เสนอข้อมูลที่ “ดูเหมือน” ถูกต้อง แต่ไม่ครบถ้วน มันก็ไม่น่าเชื่อถือน่ะสิครับ อ้างกันไปทั่ว รวมทั้งนักวิชาการบางคนด้วยว่า ภาคใต้ผลิตไฟฟ้าได้เหลือเฟือ (เหมือนกับที่เขาอ้างว่าไทยเลนด์เป็นประเทศส่งออกน้ำมันระดับโลกนั่นแหละครับ) อ้างว่าที่รัฐบาลบอกภาคใต้ผลิตไฟได้ 1,600 กว่าเมกะวัตต์ แต่ความต้องการใช้ 2,200 เมกะวัตต์ทำให้ไฟดับนั้นไม่จริง พวกกสก.อ้างว่า ภาคใต้ผลิตไฟได้จริง 2,429 เมกะวัตต์ ปัดโทะ ก็ตัวเลขนั้นน่ะ ในตารางที่เขายกมาก็เห็น ๆ ว่าเป็น “กำลังผลิตตัดตั้ง” หมายถึงว่าตามสเป็คมันผลิตได้เท่านั้น แต่ในความจริงมันไม่ถึงหรอก อย่างเขื่อนผลิตไฟฟ้า ถ้าเดินเครื่องตลอดมันก็กระทบการเกษตรนะสิ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าบางตัว มันก็ต้องปิดซ่อมแซมบำรุงรักษาบ้าง

ตัวเลขที่ควรดูคือกำลังผลิตไฟฟ้าสูงสุด (ในตารางเดียวกันนั่นแหละ แต่พวกกสก.ไม่พูดถึง) ซึ่งอยู่ที่ 1,848 เมกะวัตต์ ใกล้เคียงกับตัวเลข 1,600 เมกะวัตต์ แสดงว่าไฟฟ้าที่ผลิตได้ในภาคใต้น่ะ (ณ ปัจจุบัน) มันต่ำว่าปริมาณการใช้จริง จบข่าวมั้ย?

ไฟดับ ระวัง...ถูกคนชั่วหลอก!
กฟผ. แจ้งเหตุไฟดับ 14 จังหวัดภาคใต้เหตุเกิดจากภาคใต้มีกำลังผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้า 1,620 MW ในขณะที่ภาคใต้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าราว 2,200 MW และตัวเลขนี้จะถูก รมต.พลังงานนำมาชี้แจงต่อประชาชน และใช้เป็นเหตุผลในการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในพท.ภาคใต้

แต่จากรายงาน "ไฟฟ้าประเทศไทยปี 2554" ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้รายงานกำลังผลิตติดตั้งของทั้งประเทศโดยแยกเป็นรายภาค พบว่าตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมาภาคใต้มีกำลังผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้า เกินกว่า 2,400 MW โดยในปี 2554มีกำลังผลิตติดตั้งอยู่ที่ 2,429 MW แล้วเหตุไฉนในปี 2556 โรงไฟฟ้าจึงหายไปจากระบบถึง 800 MW และถูกใช้เป็นเหตุผลว่า ไฟใต้ดับทั้ง 14 จังหวัดเพราะกำลังผลิตติดตั้งไม่พอเพียง
.............................................................................................................................



ญี่ปุ่นเค้าทำ"ไข่ยาว"ขายได้แล้ว
.............................................................................................................................


  • Piyawatana Yosyingyong ถ้า"เค้า" เห็นแก่ตัวขนาดนั้น ก็อย่าไปคบเป็นเพื่อนเลยครับ

  • Supapong Wanitpongpan ก็แค่ถ้าคุณไม่พร้อม เขารอสักพักคุณก็ยังไม่พร้อม เขาก็ไปของเขา 
    เรียกว่า "เห็นแก่ตัว" เลยหรือครับ  
    (การตีความที่แตกต่าง ก็ได้แง่มุมที่แตกต่าง)

  • Piyawatana Yosyingyong งั้น อัญเชิญเค้า ไปให้โอกาส คนที่พร้อมกว่าดีกว่าครับ (พอดีคิดเรื่องอื่นปนไปด้วยครับ) เป็นสิทธิ์ที่เค้าจะเลือกและกำหนด เราก็รอต่อไปครับ

  • Supapong Wanitpongpan แต่ผมกลับมองว่า ก็ทำตัวให้พร้อมที่จะต้อนรับเค้าสิครับ 

  • Piyawatana Yosyingyong อืมมม.. เค้าจะส่งเมล์มาบอกล่วงหน้าสินะครับ ฮา ครับ ครับ 

  • Supapong Wanitpongpan ก็ถ้าจะรอให้เค้าส่งเมล์มาบอกล่วงหน้า ก็ตามสบายครับ 

.................................................................................................................................



โพสต์นี้ เพราะชอบคำ(วลี) นี้จังเลยค่ะ "รอยเท้าในอากาศ"

'ปราย พันแสง
ร้านหนังสือเล็กๆ ที่บ้านเกิด We Love Little Bookshops
..
ก่อนที่พระบรมศาสดา จะปรินิพพาน ในปลายปัจฉิมยามราตรีนี้ มีนักบวชปริพาชก นอกพุทธศาสนาผู้หนึ่ง ชื่อ สุภัททะ จะขอเข้าเฝ้าพระพุทธองค์

พระอานนท์จึงขอร้องว่า อย่าได้รบกวน พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย ปริพาชกสุภัททะ ก็ยังกล่าววิงวอนขอเข้าเฝ้า เพื่อทูลถามข้อข้องใจ บางประการ ที่มีมานาน

พระอานนท์ได้ห้ามว่า

" อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่ารบกวน พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย พระองค์ทรงลำบาก พระวรกายมากอยู่แล้ว พระองค์ประชวรหนัก จะปรินิพพานในยามสุดท้าย แห่งราตรีนี้"

ท่านสุภัททะ ยังวิงวอนต่อว่า

" โอกาสของข้าพเจ้า เหลือเพียงเล็กน้อย ขอท่านอาศัยความเอ็นดูโปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้า ได้เข้าเฝ้า พระบรมศาสดาเถิด"

พระอานนท์ทัดทานอย่างเดิม สุภัททะ ก็อ้อนวอนเช่นเดิม

พระพุทธองค์ทรงได้ยิน จึงรับสั่งว่า

"อานนท์ ! ให้สุภัททะ เข้ามาหา ตถาคตเถิด"

เมื่อสุภัททะ ได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดา
สุภัททะ ได้กราบทูลถามว่า

"พระองค์ผู้เจริญ คณาจารย์ทั้ง๖ คือ
ปูรณะกัสสปะ , มักขะลิโคศาล , อชิตะเกสกัมพล
ปกุทธะกัจจายนะ , สัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถ์นาฏบุตร ซึ่งเป็นศาสดาเจ้าลัทธิ มีคนนับถือมาก เคารพบูชามาก ศาสดาเหล่านั้น ยังจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่อย่างไร พระเจ้าข้า"

"เรื่องนี้หรือสุภัททะ ! ที่เธอดิ้นรนขวนขวายมาหาเรา
ด้วยความพยายาม อย่างยิ่งยวด
บัดนี้... เวลาของเราและของเธอ เหลือน้อยเต็มที
เธอจงถาม สิ่งที่เป็นประโยชน์ แก่เธอเองเถิด"

" ถ้าอย่างนั้น ข้าพระองค์ ขอทูลถามปัญหา ๓ ข้อ คือ
● รอยเท้าในอากาศ มีอยู่หรือไม่ ?
● สมณะภายนอกศาสนาของพระองค์ มีอยู่หรือไม่ ?
 สังขารที่เที่ยง มีอยู่หรือไม่ ?

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า สุภัททะ !

๛ รอยเท้าในอากาศนั้น ไม่มี

๛ ศาสนาใด ไม่มีอริยมรรคมีองค์๘ สมณะผู้สงบถึงที่สุด
ในสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔ ก็ไม่มี ในศาสนานั้น
แต่ศาสนาใด... มีอริยมรรคมีองค์๘
ในศาสนานั้น... มีสมณะผู้สงบถึงที่สุด ของสมณะทั้ง ๔ ประเภทนั้น

๛ สังขารที่เที่ยงนั้น ไม่มี

ดูก่อนสุภัททะ ! เธอจงตั้งใจฟังเถิด เราจะแสดงธรรมให้ฟัง

"อริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นทางประเสริฐ*
สามารถให้บุคคล ผู้เดินไปตามทางนี้ ถึงความสุขสงบเย็น อย่างเต็มที่เป็นทางเดินไปสู่ อมตะ"

"ถ้าภิกษุ หรือใครก็ตาม จักพึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติดำเนินตาม
มรรคอันประเสริฐประกอบด้วยองค์ ๘ นี้อยู่
โลก... ก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์"

ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก
● เหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ
● เปิดของที่ปิด
 ส่องประทีปในที่มืด

บอกทางแก่คนหลงทาง

สุภัททะปริพาชก เมื่อได้ฟังพระดำรัสนี้ ก็เกิดความเลื่อมใสอย่างมาก ทูลขออุปสมบทบรรพชา

พระบรมศาสดา พระผู้ทรงมหากรุณา ให้อุปสมบทบรรพชา เป็นภิกษุ แล้วตรัสบอกกัมมัฏฐาน

สุภัททะภิกษุใหม่ ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะพยายามให้บรรลุ อรหัตตผล*ในคืนนี้ ก่อนที่พระองค์จะปรินิพพาน
จึงออกไปเดินจงกรม อยู่ในที่สงัดแห่งหนึ่ง
ในบริเวณ อุทยานสาละวโนทยาน

บัดนี้... ร่างกายของสุภัททะภิกษุ ห่อหุ้มด้วยผ้กาสาวพัสตร์
เมื่อต้องแสงจันทร์ ผิวพรรณของท่าน เปล่งปลั่ง งามอำไพ
มัชฌิมยามแห่งราตรี จวนจะสิ้นอยู่แล้ว
ดวงรัชนีกลมโต เคลื่อนย้าย ไปอยู่ทางท้องฟ้า ด้านตะวันตก


สุภัททะภิกษุ แหงนขึ้นดูท้องฟ้า

"แสงจันทร์นวลผ่อง สุกสกาวเมื่อครู่นี้ ดูจะอับรัศมีลง
เมฆก้อนใหญ่กำลังเคลื่อน เข้าบดบังแสงจันทร์ จนมิดดวงไปแล้ว
แต่ไม่นานนัก เมฆก้อนนั้นก็เคลื่อนคล้อยไ
แสงโฉมสาดส่องลงมา สว่างนวลดังเดิม"

ทันใดนั้น !
ดวงปัญญา" ก็พลุ่งโพลงขึ้นในดวงใจ" ของสุภัททะภิกษุ
เพราะนำดวงใจ ไปเทียบ กับดวงจันทร์

“จิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใส มีรัศมีเหมือนดวงจันทร์
แต่อาศัยกิเลสที่จรมา เป็นครั้งคราว จิตนี้จึงเศร้าหมอง
เหมือนก้อนเมฆ บดบังดวงจันทร์ ให้อับแสง”

วิปัสสนาปัญญา ก็โพลงขึ้น
ชำแรกกิเลส แทงทะลุบาปธรรมทั้งมวล
ที่ห่อหุ้มดวงจิต แหวกอวิชชา และ โมหะ
อันเป็นประดุจ ตาข่ายด้วยศาสตรา คือ วิปัสสนา ชำระจิตให้บริสุทธิ์
บรรลุอรหัตตผล พร้อมด้วย ปฏิสัมภิทา
แล้วออกจากที่จงกรม มาถวายบังคมพระมงคลบาทพระบรมศาสดา


ภายใต้แสงจันทร์ สีนวล ยองใยนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า บรรทมเหยียดพระวรกาย ในท่าสีหะไสยา แวดล้อมด้วย พุทธบริษัทมากหลายแผ่น เป็นปริมณฑล

กว้างออกไปสุดสายตา

พระพุทธองค์ทรงตรัส กับพระอานนท์ว่า

อานนท์ ! เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว พวกเธอทั้งหลาย อาจจะคิดว่า

บัดนี้พวกเธอไม่มีพระศาสดาแล้ว จะพึงว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง

อานนท์ ! พึงประกาศ ให้ทราบโดยทั่วกันว่า
ธรรมวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ แทนเราสืบไป

อานนท์ ! ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตาม

มีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ
มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ
ภิกษุพวกใด... เป็นผู้ใคร่ในสิกขา
ภิกษุพวกนั้น.. จักเป็นผู้อยู่ในสถานะ อันเลิศที่สุด

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย :

บัดนี้... เป็นวาระสุดท้าย แห่งเราแล้ว
เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขาร มีความเสื่อมและสิ้นไป เป็นธรรมดา
พวกเธอจงยังประโยชน์ตน และผู้อื่น ให้ถึงพร้อม
ด้วยความ "ไม่ประมาท" เถิด.
...

Via @Supany Maew
Via @Suddan Wisudthiluck
.................................................................................................................



www.kayathai.com
ไม่ได้ไปเที่ยวไหน ทำสวีทอยู่บ้านก็ได้นะ
...............................................................................................................................

.................................................................................................................................



งานออนไลน์ ที่ดีที่สุด ทํางานผ่านเน็ต 100%
รายได้ดีงานง่ายๆ เรามาทำงานผ่านเน็ตเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศกันเถอะครับ
..............................................................................................................



ตายก็รอด รอดก็รอด

ชาวสวนผู้หนึ่งในเมืองไทยเรานี่เองประสบความสำเร็จในสายอาชีพเกษตรอย่างสูง เป็นเจ้าของสวนหลายสิบไร่ ผลิตพืชผลจำนวนมากเลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบาย ที่ไม่น่าเชื่อคือ เขาดูแลต้นไม้หลายสิบไร่ตัวคนเดียว

มีคนถามเขาว่า “เลี้ยงต้นไม้มากขนาดนี้คนเดียวได้ยังไง?”

เขาตอบว่า “ง่ายมาก ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้พวกมันเลี้ยงตัวเอง

“ไม่ต้องให้น้ำให้ปุ๋ยหรือ?

“ไม่ต้องให้อะไรเลย”

“อ้าว! แล้วมันไม่ตายหรือ?”

“ตายก็ตาย รอดก็รอด”

เออ! ตอบแบบกำปั้นทุบดินดีแท้!

เปล่า! ชาวสวนที่ประสบความสำเร็จผู้นี้ไม่ได้พูดเล่น หลักการเกษตรของเขาคือ ปล่อย

ให้ต้นไม้สู้ชีวิตเอง ถ้าต้นไหนอยากตาย ก็เชิญตายตามสบาย สายพันธุ์ไม่แข็งแรงจะหมดไปเอง แต่ต้นไหนที่ปรับตัวก็รอด เติบโตออกดอกออกผล

“ต้นไม้ในป่ามันรอให้คนไปรดน้ำใส่ปุ๋ยหรือ? มันโตของมันเองได้ ยิ่งประคบประหงมต้นไม้มากเกินไปทำให้พวกมันอ่อนแอ ปล่อยให้มันสู้ชีวิตเอง ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน!”

เขาพบว่าต้นไม้ที่ขี้เกียจ รอฝนรออาหารมักตายเร็ว

ชาวสวนผู้นี้รีไซเคิลทุกอย่างในสวนตามธรรมชาติ จนกลายเป็นวงจรที่ลงตัว เป็นระบบนิเวศสมบูรณ์ที่พืชพรรณ “ดูแลกันเอง” เจ้าของก็ไม่เหนื่อย เพราะไม่ต้องดูแลมันมาก เป็นซีอีโอดูลูกน้องทำงาน!

ปรัชญา ‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ ของเขาดูเผินๆ เหมือนการทำงานแบบยถากรรมหรือเกียจคร้าน แต่ความจริงกว่าจะมาถึงข้อสรุปนี้ เขาต้องลองผิดลองถูก มันเป็นผลมาจากประสบการณ์ของการเฝ้าสังเกตนิสัยของต้นไม้มายาวนาน

เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มชาวไร่ชาวสวนที่ไม่ถอนวัชพืชออกจากสวน ปล่อยให้พวกมันอยู่กันเองตามธรรมชาติ หลักคิดคือสรรพสิ่งมีเหตุผลการดำรงอยู่ของมัน วัชพืชก็เหมือนเชื้อโรค ไม่อาจกำจัดให้หมดโลกได้ ธรรมชาติมีหนทางของมันเอง มันปรับตัวเองได้ การใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์หรือสารเคมี สารพิษฆ่าแมลงมากเกินไปอาจทำให้มันอ่อนแอลง ในที่สุดก็สูญพันธุ์

นี่สอดคล้องกับหลักวิวัฒนาการ หากต้นไม้สายพันธุ์หนึ่งอยู่รอดจากความลำบากได้ โอกาสที่สายพันธุ์นั้นจะอยู่รอดต่อไปก็สูงขึ้น เพราะความสามารถจะถูกฝังในระดับยีน

-2-
ผมเกิดในครอบครัวสิบพี่น้อง ข้างบ้านผมมีลูกสิบสามคน บ้านถัดไปมีแปดคน ในสมัยก่อนแต่ละบ้านในสมัยนั้นมีลูก 8-10 คนเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง รัฐบาลรณรงค์ให้มีลูกกันมากๆ บางปีก็มอบรางวัลแก่ ‘แม่ลูกดก’ ด้วย!

สำหรับคนยุคนี้ การเลี้ยงลูกสักสิบคนคงเป็นนรกแน่ๆ! แต่ในสมัยโน้นชาวบ้านเดินดินทั่วไปต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเช้าจรดค่ำ ไม่ค่อยเหลือเวลามาอบรมลูกเป็นรายตัว ก็เลี้ยงลูกแบบ ‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ ให้รับผิดชอบตัวเอง กินข้าวไม่ต้องป้อน ถึงเวลาไปโรงเรียนก็ไป ลูกคนไหนเกเรก็หวดด้วยไม้เรียวสักที ก็ไม่เห็นมีใครเสียเด็กสักคน!

สมัยนี้เลี้ยงลูกคนเดียวยากเหลือประมาณ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน! ลูกบังเกิดเกล้าอยากได้อะไร ก็ถวายให้หมด เด็กเดี๋ยวนี้จำนวนมากอายุสิบขวบแล้วยังต้องป้อนอาหารให้ จะกินข้าวทีก็ต้องไล่ป้อนไปทั่วบ้านหรือหลอกล่อด้วยรางวัล บางคนอายุสิบห้ายังผูกเชือกรองเท้าไม่เป็น เพราะมีคนใช้ทำให้ทุกวัน บวกกับสิ่งเร้าที่มากกว่าสมัยก่อน ทำให้ดูเหมือนว่ามีโอกาสที่จะเสียเด็กหรือ ‘สปอยล์’ มากขึ้น

บางทีอาจจะจริงตามหลักคิดของชาวสวนคนนั้น การเลี้ยงเด็กก็ไม่ต่างจากการเลี้ยงต้นไม้ในสวน ยิ่งประคบประหงมยิ่งทำให้อ่อนแอ พึ่งตัวเองไม่เป็น มองไปรอบตัว เราเห็นผลผลิตมากมายจากระบบ ‘ประคบประหงม’ เติบโตขึ้นเป็นพวกพึ่งตัวเองไม่เป็นและไม่คิดพึ่งตัวเอง คิดเป็นอย่างเดียวคือขอจากคนอื่น แก้ปัญหาด้วยการยืมเงิน ขอเงิน และขายของเก่ากิน นานๆ เข้าก็ฝังรากเป็นนิสัย วัฒนธรรม ‘แบมือขอ’ หยั่งรากไปทั่ว มันเกิดขึ้นทุกที่ทุกระดับ ตั้งแต่ปัจเจก องค์กร ไล่ไปจนถึงระดับประเทศ มีตัวอย่างองค์กรมากมายที่บริหารขาดทุนทั้งปีทั้งชาติ แล้วขอให้รัฐช่วยค้ำจุน ด้วยเหตุผลคลาสสิกว่า “ถ้าไม่ช่วยเรา มันจะล้มไปทั้งระบบนะ” ถ้าเป็นระดับประเทศ ก็ว่า “ถ้าไม่ช่วยเรา ประเทศคุณก็อาจจะล้มไปด้วยนะ”

วิกฤติการเงินในสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่กี่ปีก่อนสะท้อนให้เห็นบริษัทยักษ์ใหญ่จำพวก ‘เด็กที่ไม่รู้จักโต’ มีปัญหาก็แบมือขอเงินจากรัฐ เมื่อได้เงินช่วยเหลือมา ผู้บริหารก็จัดการแบ่งสันเป็นโบนัสให้ตัวเองหน้าตาเฉย!

ในสเกลที่ใหญ่ขึ้นไปอีก หลายประเทศในโลกใช้เงินอย่างไม่มีวินัยการคลัง ผลาญเงินภาษีของชาติไปกับโครงการประชานิยมต่างๆ ป้อนถึงปากชาวบ้าน สร้างคนพันธุ์ใหม่ที่ทำอะไรเองไม่เป็น ลงท้ายประเทศทั้งประเทศก็ล่มจมได้ ทั้งที่เป็นแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ

นักเศรษฐศาสตร์และนักการเงินหลายคนเชื่อว่า วิธีช่วยเหลือประเทศที่กำลังล้มคือปล่อยให้มันล้ม ตามหลัก ‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ ธรรมชาติจะหาทางออกของมันเอง!

บางครั้งยิ่งให้เงินช่วยเหลือใคร ก็ยิ่งทำให้พวกเขาอ่อนแอ เพราะใครคนหนึ่งไม่สามารถยืมเงินคนอื่น หรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่นไปทั้งชีวิต และก็ไม่มีของเก่าให้ขายไปตลอดชีวิต อีกประการ ปัจเจกและองค์กรที่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วต้องมีคนช่วยแน่ๆ มักไม่ทำงานเต็มที่สุดชีวิต

-3-

ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลายบ้านหลายเมืองถูกทำลายจนสิ้นซาก บ้านแตกสาแหรกขาด คนจำนวนมากสูญเสียทุกอย่างในชีวิต ต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ คนที่ลุกขึ้นมาเดินหน้าได้เร็วกว่าคือคนที่มีความรู้ ทักษะ และความสามารถติดตัว ทรัพย์สินและความช่วยเหลืออย่างเดียว ไม่อาจสร้างชาติขึ้นมาใหม่ได้

ประเทศที่จะประสบความสำเร็จในยุคนี้ ไม่จำเป็นต้องมีทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหาศาล หากจัดการไม่เป็น ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากมายก็หมดไปได้ แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณภาพของคน การพัฒนาคนจึงสำคัญอย่างยิ่งยวด เริ่มที่การรับผิดชอบต่อชีวิตตนเอง เพื่อเอาตัวรอดได้

แต่การเอาตัวรอดไม่จำเป็นต้องทำอย่างยถากรรม สามารถกระทำโดยมียุทธศาสตร์ และยุทธวิธีที่ดีที่สุดก็คือ การติดอาวุธทางปัญญา ปรับแต่ง ‘ยีน’ ของ ‘ต้นไม้’ แต่ละต้นให้แข็งแรงทนทานมากขึ้น เรียนเพื่อรู้ เพื่อใช้งานได้จริง ไม่ใช่เพื่อใบอะไรสักแผ่น

ปรัชญาการเลี้ยงลูกแบบ ‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ มิใช่ตัดหางปล่อยวัดเด็ก แต่คือการกำกับการแสดงอยู่ห่างๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อลูกขอในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ก็ต้องรักษาจุดยืนมั่นคง แม้ลูกจะร้องไห้งอแง

โบราณสอนว่าอย่าจับปลาให้ลูกหลานกิน แต่จงสอนวิธีจับปลาให้พวกเขา จะได้มีปลากินไปตลอดชีวิต สอนให้เด็กรู้จักความลำบากบ้าง จะได้เข้าใจว่าชีวิตไม่ได้มีแต่ด้านสวยงาม อาหารทุกมื้อรออยู่บนโต๊ะ เงินรออยู่ในตู้เอทีเอ็ม

เพราะชีวิตไม่เคยแน่นอน เพราะสมบัติพัสถานที่พ่อแม่มีอาจหายไปเมื่อไรก็ได้ แม้แต่ประเทศที่อยู่อาศัยก็ล้มละลายได้ ดังนั้นหากไม่รู้จักด้านขรุขระของชีวิต และการใช้ชีวิตในสถานการณ์ลำบาก จะมีชีวิตรอดต่อไปอย่างไร

‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ บังคับให้แต่ละคนต้องทำงาน ไม่พึ่งพาคนอื่น และเป็นอิสระ

บางทีอิสรภาพที่แท้จริงของชีวิตอาจกินความกว้างกว่าแค่การไม่ถูกจองจำ แต่คือความสามารถในการพึ่งพาตัวเองได้ มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และมีอะไรที่เป็นอิสระและน่าภูมิใจไปกว่าการยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้?

วินทร์ เลียววาริณ, 25 พฤษภาคม 2556
www.winbookclub.com

Photo from NPS
via.kaunewsbriefs@blogspot.com
..................................................................................................................


อ่านดราม่าหลอกจับเงินค่าประกันตัวเมื่อเช้า ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะว่าหลังจากนี้ใครคิดจะทุจริตอะไรก็จะต้องชั่งใจมากขึ้น เพราะอาจจะถูกซ้อนแผนได้ วะฮะฮ่า 
..................................................................................................................



............................................................................................................................


ดรีมทีม
ประภาส ชลศรานนท์
.....................................

จู่ๆผมก็ได้รับมอบหมายให้มาคุมทีมๆหนึ่งเพื่อเข้าแข่งขันเกมอะไรสักอย่าง

ทีมนี้มี 7 คนครับ เจ็ดอันตรายเลยก็ว่าได้ อ่านบทความตอนนี้จบผมว่าท่านผู้อ่านก็ต้องเห็นด้วยกับผมว่าเจ็ดอันตรายจริงๆ ตอนที่เจอกันครั้งแรกผมก็ถามพวกเขาว่า มีชื่อทีมหรือยัง พวกเขาส่ายหน้าไม่พูดอะไร

เริ่มต้นผมก็พบบรรยากาศไร้ไมตรีเสียแล้ว

“แนะนำตัวกันหน่อยดีไหม” ผมเปลี่ยนคำถาม แล้วก็แนะนำตัวเองก่อน
ชายหนุ่มหน้าตาขี้เบื่อที่นั่งซ้ายมือสุดยกมือขึ้น“ผมชื่อหงิด”
“ชื่อใสค่ะ” ผู้หญิงผมยาวที่ผมด้านหน้าของเธอแทบจะปรกหน้าแนะนำตัว“ข้างๆนี่ชื่อ สาน เป็นน้องสาวค่ะ” เธอชี้ไปที่หญิงสาวหน้าตาซีดๆที่นั่งติดอยู่กับเธอ

เงียบไปพักหนึ่ง ชายหนุ่มคนที่นั่งถัดมาจึงแนะนำต่อ “ชื่อติ”
“ชื่อกัวครับ”ชายหนุ่มหน้าตี๋ที่นั่งติดกับติพูดเบาๆ
“ผมโกครับ” หนุ่มคนที่นั่งถัดไปแนะนำต่อ

“ชื่อคล้ายกันนะ กัวกับโก” ผมทักด้วยอยากให้บรรยากาศกันเองกว่านี้
“คล้ายตรงไหน สระก็คนละสระกัน” เสียงมาจากชายหนุ่มที่ชื่อหงิด

หญิงสาวคนสุดท้ายพูดไม่ยิ้ม “ดิฉันชื่อโทค่ะ” ดูจากท่ากัดเล็บตัวเองก็พอรู้ได้ว่า ผู้หญิงคนนี้มีความในใจอยู่เยอะ

“หัวหน้า …ผมว่า ถ้ามัวแต่แนะนำตัวกันอยู่อย่างนี้แล้วเราจะทันทีมอื่นเขาหรือ” หงิดส่งเสียงตามมาอีก

“ขอโทษทีครับ ผมก็แค่อยากให้บรรยากาศของทีมเวิร์คมันดีหน่อย ” ผมบอก“ภารกิจของทีมคืออะไรรู้หรือยังครับ”
“พาตะกวดตัวนี้ข้ามแม่น้ำ จากฝั่งนี้ไปฝั่งนู้นพร้อมกับสมาชิกทั้งทีม” คนที่ชื่อติพูดพลางชี้ไปที่ตะกวดที่ล่ามเชือกไว้ที่ต้นไม้ “มาเป็นหัวหน้าเขา ทำไมไม่รู้ว่าภารกิจคืออะไร” ประโยคหลังนี่เขาพูดเบาๆ

“แล้วพวกเราจะข้ามไปกันได้หรือ ดิฉันไม่ได้ว่ายน้ำมาหลายปีแล้ว” หญิงสาวที่ชื่อใสรีบบอก
“อ้าว…แล้วมาอยู่ทีมนี้ทำไม”ติร้องเสียงหลง
“เลือกได้ที่ไหน เราถูกจัดมาอย่างนี้ อย่าทำตัวเป็นหัวหน้าหน่อยเลย” คนชื่อโกส่งเสียงบ้าง
“แต่เรามีเรือนะ ผมบอก
“เรือมันบรรทุกได้แค่สามคน”ติแย้ง
“มีใครพายเรือเป็นบ้าง” ผมถามเพื่อเปลี่ยนประเด็น
ติยกมือ
“อะไร พายเป็นอยู่แค่คนเดียว” ติเริ่มโวย
“อย่าทำเสียงดังใส่หน้าผมนะ ผมไม่ชอบ” โกลุกขึ้นยืน
“ใครทำเสียงดังใส่หน้าคุณ ทำอะไรไม่เป็นแล้วอย่าทำเป็นพูดดี”ติปล่อยวาจาเชือดเฉือนต่อไป

โกเดินเข้าหาติด้วยความโกรธ ผมเห็นท่าไม่ได้การ จึงรีบเข้าไปดึงมือติออกมาพลางส่งสายตาดุๆใส่โก
“แล้วเราจะทำสำเร็จหรือ มีคนพายเรือเป็นอยู่แค่คนเดียว” หนุ่มกัวพูดขึ้น “เขาคัดเอาแค่สามทีมที่ทำภารกิจเสร็จก่อนนะ อย่างนี้เราแพ้แน่ๆ”
“นั่นสิ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย โชคร้ายจริงๆที่มาอยู่ทีมนี้” สานบ่นกับตัวเอง
“เอาอย่างนี้ดีไหม เรามาจัดชุดแรกที่จะข้ามแม่น้ำกันดีกว่า สามคนแรกจะเป็นใครบ้าง” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง
โกโพล่งออกมาอีก “บอกก่อน ผมไม่จับตะกวดนะ ผมเกลียดสัตว์เลื้อยคลาน เรือเที่ยวไหนขนตะกวดไป ผมไม่ไปด้วย”
“เฮ้อ… พายเรือก็ไม่เป็น จับตะกวดก็ไม่จับ” ติทำหน้าหน้ายั่ว โกเดินเข้าหาติอีกครั้ง ผมรีบยึดมือเขาไว้ “ใจเย็นๆ”
“หัวหน้า” ติหันมามองผม “ทำอะไรเป็นบ้างนอกจากห้ามคนนู้นคนนี้”ติเริ่มหันมาเล่นงานผม

“ใครจับตะกวดเป็นบ้าง” ผมหันไปทางใส บางทีผู้หญิงหน้าใสที่หน้านิ่วคิ้วขมวดคนนี้อาจทำให้บรรยากาศดีขึ้น“ในใบประวัติเขียนไว้ว่าคุณเคยช่วยพ่อจับกิ้งก่า จับงู”

“ค่ะ..ดิฉันเคยทำ แต่ถึงตอนนี้คงทำไม่ได้แล้ว ความมั่นใจไม่รู้มันหายไหนหมด” ใสบอก

“ไอ้คนคิดภารกิจมันสติดีหรือเปล่า ให้จับตะกวดข้ามฝั่ง” หงิดลุกขึ้นพูดแล้วก็เดินไปเดินมา “จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ อากาศยิ่งร้อนๆอยู่ เสร็จแล้วจะได้กลับบ้านกัน”

ผมพยายามไม่ฟังหงิด “ลองดูสิคุณใส คุณเป็นคนเดียวที่เคยทำนะ”
“ไม่รู้จะไหวหรือเปล่า” หน้าตาเธอมีแต่รอยลังเลเต็มไปหมด “ตะกวดตัวมันใหญ่กว่ากิ้งก่าเยอะเสียด้วย”
“จะทำอะไรก็ทำเถอะ มัวแต่พูด เดี๋ยวก็แพ้ทีมอื่นหรอก” หงิดเดินหัวโคลงพร้อมกับเสียงบ่

กัวลุกขึ้นเดินไปชะโงกหน้าดูคุ้งน้ำอีกด้านหนึ่ง แล้วก็ทำท่าลุกลี้ลุกลนเดินกลับมา “แพ้แน่เลย เราไปลาออกก่อนดีไหม แพ้บายยังเสียเงินน้อยหน่อย”

“โอ้ย…ช่างพูดกันจริ๊งจริง” หงิดยังคงเดินไปเดินมา จนจังหวะหนึ่งขาของหงิดไปเตะโดนหางตะกวดเข้า
“ยุ่งละสิ ตะกวดมันดิ้นใหญ่แล้ว” สานร้องขึ้น
“จับสิ ใครอยู่ใกล้ๆจับสิ” ติพูดลิ้นรัว ทั้งๆที่ตัวเองอยู่ใกล้ที่สุด
ใสหันไปมองตะกวดแล้วก็กลืนน้ำลายด้วยความไม่มั่นใจ “เร็วสิ” ติเร่ง และในระหว่างที่ใสกำลังลังเลที่จะเดินเข้าไป เจ้าตะกวดตัวสำคัญก็ดิ้นจนเชือกที่ล่ามอยู่ขาด

“ตะกวดหลุดแล้ว ! ” โกโวยขึ้นคนแรก

“ใส ทำไมไม่รีบจับเล่า” ติมองด้วยสายตาตำหนิ

ถึงตอนนี้ผมชักเริ่มไม่ค่อยอยากพูดอะไรแล้ว

“แพ้แน่ๆ ทีมเราถูกยึดเงินค่าสมัครหมดแน่” สานครวญ
แล้วจู่ๆ โทผู้หญิงที่พูดน้อยที่สุดก็ส่งเสียงขึ้น “ฉันต่างหากที่เป็นคนผิด ฉันหยิบเชือกเส้นเล็กเกินไปมาผูกตะกวด ฉันผิดเอง”

“โท…เธอเองหรือ แย่จริงๆเลย นี่เธอจะทำตัวให้มีค่าบ้างไม่ได้หรืออย่างไร” ติส่ายหน้า “เธออย่าคิดว่าแค่เธอเคยเป็นแฟนฉัน แล้วเธอจะมาขออาศัยทีมเข้าแข่งง่ายๆอย่างนั้นนะ”

เสียงหงิดพูดต่อทันทีจนแทบไม่มีช่องว่าง “โอย…มดแดงเต็มไปหมดเลยแถวนี้ เร็วๆสิ ทำอะไรก็ทำ …น่ารำคาญจริงๆทั้งมดทั้งคน”
“แล้วเดือนนี้จะเอาอะไรกิน”สานนั่งก้มหน้า “เอาเงินเดือนมาเป็นค่าสมัครหมดเลย”

แล้วก็มีเสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นจากโท “ฉันมันแย่จริงๆ…ฉันน่าจะหยิบเชือกอีกเส้นที่ใหญ่กว่านี้หน่อย ฉันเป็นตัวถ่วงอีกแล้ว…..ชีวิตฉันไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลย”
“ใส คุณจะลองไปตามจับตะกวดกับผมไหม” หลังจากไม่รู้จะฟังใครดี ผมก็เลยลองชวนใสดูอีกที
“ดิฉันว่าคงยากแล้วละ มันเข้าไปในดงไผ่อย่างนั้นด้วย ถึงตอนนี้ดิฉันว่าแม้แต่กิ้งก่าดิฉันก็คงจับไม่ได้” ใสทรุดลงนั่ง
“ก็เธอเคยทำได้ เธอโง่หรือเปล่า” โกเตะโครมเข้าไปที่เรือที่คว่ำพาดอยู่บนคาน

ติไม่ยอมให้โอกาสตำหนิคนผ่านไป “ทำอะไรสิ้นคิดอีกแล้ว เดี๋ยวเรือพังขึ้นมา เราก็อดข้ามฝั่งกัน” โกได้ยินเข้าจึงเตะโครมเข้าที่เรืออีกครั้ง “จะเตะอีกมีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ว่าจะแข่งอะไรฉันไม่เคยชนะเลย เกิดมามีกรรมแท้ๆ” สานเดินหนีเสียงร้องไห้ของโทออกไปอีกทาง

ผมยืนฟังพวกเขาปล่อยของกันต่ออีกสักประเดี๋ยว ผมก็เริ่มหัวเราะแล้ว

คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผลลัพท์ในภารกิจของทีมนี้เป็นอย่างไร

ตอนที่เอาใบรายชื่อไปคืนคณะกรรมการ ผมก็เพิ่งได้เห็นชื่อจริงของพวกเขาทั้ง 7 คน อยากรู้ไหมครับว่าเขาชื่ออะไรกันบ้าง

ชื่อจริงของสานคือสงสารตัวเอง ส่วนสาวใสชื่อคล้ายน้องสาวนั่นคือสงสัยตัวเอง พี่หงิดของพวกเรานั้นชื่อน่ารักว่าหงุดหงิดง่าย คุณโกนั่นชื่อเต็มว่าโกรธาหาเรื่อง ส่วนคุณกัวตี๋น้อยมีชื่อเต็มๆว่ากลัวความล้มเหลว นายตินั้นชื่อเต็มยาวกว่าใครว่าติเตียนแต่คนอื่น และคนสุดท้ายน้องโทที่นั่งร้องไห้มีชื่อเก๋เหลือเกินว่าโทษตัวเอง

สำรวจกันสิครับว่าใครมีเจ็ดอันตรายคนไหนสิงอยู่ในตัวบ้าง นักขวางภารกิจตัวกลั่นเลยพวกนี้

ยิ่งถ้าพวกเขารวมตัวกันเมื่อไร ดรีมทีมเลยละครับท่านผู้อ่าน
.............................
.....................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น