วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

22/05/2556



» ดูหนัง ดูลินคอล์น แล้วย้อนดูตัว

Lincoln เป็นหนังประวัติศาสตร์ สร้างโดยสตีเว่น สปีลเบิร์ก หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์ ถึงสองรางวัล ดูแล้วตื่นตาตื่นใจ เหมือนกลับไปอยู่ในช่วงสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกาจริงๆ

ทั้งเรื่องแทบไม่มีฉากรบให้เห็น มีแต่ภาพที่ประธานาธิบดี ยืนหยัดที่จะผลักดันความเชื่อเรื่องการเลิกทาส ที่ถูกแย้งจากทุกคนมาตลอด

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใต้ นักการเมืองฝ่ายค้าน รวมทั้งคนในพรรคของท่านเอง ภรรยาที่สนับสนุนก็อ่อนแรง จนกลายเป็นปัญหาหนักอกให้ท่านตลอด

แต่ท่านก็ยืนหยัดความเชื่อของท่าน พยายามชี้นำคนรอบตัว แม้เหตุการณ์จะกดดันเพียงใด จนบางครั้งเหลืออยู่คนเดียว ที่สุดแม้จะดูมืดมน คนตายไปแล้วนับแสนคน ท่านก็พยายามผลักดันการแก้กฏหมาย

จนกระทั่งเรื่องราวจบลงด้วยการที่ท่านสามารถผ่านกฎหมายเลิกทาสได้ ตามมาด้วยการที่ฝ่ายเหนือรบชนะ ตามมาด้วยการถูกลอบสังหาร

หนังเรื่องนี้เข้มข้นมาก เรียกว่าดูแล้วน้ำตาซึมไปเลย ภาคภูมิใจแทนคนอเมริกาที่มีประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ ใครได้ดูจะรู้สึกว่ายิ่งใหญ่จริงๆ สู้กันด้วยความคิด ที่สำคัญความเชื่อในความคิดดีๆ แบบกัดไม่ปล่อย

::::::::::::::::::::


หัวใจของการที่จะทำให้....เกิดการกระทำ ...เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น อยู่ที่

`แนวคิดชี้นำ´ (Guiding Idea)

ถ้าแนวคิดชี้นำชัดเจนเพียงพอ ทฤษฎี เครื่องมือ วิธีการต่างๆ จะเกิดขึ้นตามมาเอง แล้วสิ่งนี้จะทำให้มีการพัฒนานวัตกรรมในโครงสร้างพื้นฐานตามมา

ในขณะเดียวกัน ความแรงกล้าของแนวคิดชี้นำ จะค่อยๆ หลอมรวมจิตวิญญาณคน ดึงผู้คนให้เข้ามามีส่วนร่วม เกิดการระดมความคิด ความพยายามมากขึ้น

จนการเปลี่ยนแปลงเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แรงขึ้นเรื่อยๆ จนอะไรก็หยุดไม่อยู่ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดคิดไว้ นั่นเอง

::::::::::::::::::::


ในกรณีของประธานาธิบดีลินคอล์น...ความที่ท่านมีความเชื่ออย่างแรงกล้าในเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์ และเชื่อว่าทาสต้องหมดไป

ท่านพูดๆๆๆ พยายามแสดงออกถึงความคิด เท่าที่ท่านจะทำได้ ไม่ว่าจะคนในระดับใด ตั้งแต่เชื่ออยู่ไม่กี่คน

ความเข้มข้น จนถึงความเจิดจ้าของความคิดท่าน เกิดเป็นแนวคิดชี้นำ (Guiding Idea) ทำให้เกิดการพัฒนาทฤษฎี เช่นในเรื่อง...

ท่านพยายามตีความเรื่องอำนาจในการเลิกทาสของเท่า ผ่านแง่มุมต่างๆ ของกฎหมาย ความพยายามใช้วิธีการล๊อบบี้เครือข่ายนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตนเอง คือ Republican และฝ่ายตรงข้ามคือ Democrat

::::::::::::::::::::


ในระหว่างนั้น...มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ โทรเลข อาวุธ ทุกอย่างถูกปรับทิศทาง เพื่อให้เอื้อต่อการเอาชนะสงครามกลางเมือง

และในที่สุด...มีการผลักดัน “กฎหมาย” ที่ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านแนวคิดชี้นำของท่าน จนกระทั่งกฎหมายเลิกทาสผ่านสภาได้ กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคมในที่สุด

นอกจากนี้คำพูดของท่านที่มีการบันทึกไว้ยังกลายเป็นสุนทรพจน์อมตะอีก

ท่านทำให้ประเทศอเมริกาเกิดการเรียนรู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาจริงๆ ในหลายด้าน ตั้งแต่วิธีคิด ปรัชญา ตลาดแรงงาน เศรษฐกิจ โครงสร้างกฎหมาย สังคม จนกลายเป็นพื้นฐานของประเทศในเวลาต่อมา

สุดยอดครับ น่าดูมากๆ สมควรได้รางวัล

::::::::::::::::::::


#ฝากทิ้งท้าย :

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า...วันหนึ่ง...ประเทศไทยจะมี `ผู้นำประเทศ´ ที่มี Guiding Idea อันเป็นกุศล ไม่ยึดโยงกับผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง

เป็น Guiding Idea ที่สามารถหลอมรวมจิตวิญญาณคนไทย ให้เข้ามามีส่วนร่วม เกิดการระดมความคิด ความร่วมมือที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ ในทิศทางที่ถูกต้อง มีความเจริญก้าวหน้าอันตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม

และยังประโยชน์ให้คนไทยทุกคนมีความสุขอย่างพอเพียงและมั่นคงสืบไป....

::::::::::::::::::::


Credit : ดร. ภิญโญ รัตนาพันธุ์

.........................................................................................................................




$2 to spare?

How to make a beautiful floor with a few pennies sqft.. Approximately 192 pennies/sqft. (144sq.in / 0.75in diameter of a penny)

More at: http://banoosh.com/?p=41392

............................................................................................................................


จาก Status: ตรรกะ
"สาระวันเอี้ยลง เอี้ยลง ๆ สาระวัน .... "

ในที่สุดจ่าก็เล่นจนได้ (เห็นมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน นึกว่าไม่เอาแล้ว)
มารูปนี้ก็คงฉิบหายตายโหงไปอีกเพจ ... ก็คงเหลือแต่พวกใช้แต่ความเชื่อ (believer or fundamentalist) เท่านั้นที่คงตามเพจนี้ต่อไป

ทุกวันนี้ผมยังไม่อยากเชื่อว่ามีเพื่อนผมที่จบป.เอก แม่งแชร์ทุกสเตตัส ของไอ้เพจนี้ มีโพสนึงผมไปทัก (แบบสุภาพแล้วนะว่าข้อมูลมันไม่น่าจะจริงนะ) ตอบว่าเฉยว่า "ถ้าไม่เชื่อก็อย่ามาขวาง"
... อีกหนึ่งตัวอย่างว่า การศึกษาระดับด็อกเตอร์(ในไทย) อย่าคิดว่าจะคิดเป็นนะครับแหม๋

http://drama-addict.com/2013/05/22/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2/


  • จักรพงษ์ จำรูญ ดีนะที่ผมยังไม่จบ ฮ่าๆ


  • Phon Petklai อ่านจบละ ไอ่นี่เป็นพวกไอ่โรคจิตกลุมอากาศสดชื่นมาบตาพุดที่เคยมาป่วน face entaneer เลยนี่หว่า 55

  • Supapong Wanitpongpan แอดมินเขาเป็น วิศวะโยธา ม.ช. เกียร์ 12 อ่ะครับ - -" 
    (เพจทวงคืนพลังงาน กับ กลุ่มอากาศสดชื่นเนี่ย)

  • Phon Petklai ท่าจะตัวแรงน่าดู - -"

  • Supapong Wanitpongpan เลยไม่แปลกใจถ้าเข้ามาในเพจ Entaneer

  • จักรพงษ์ จำรูญ ผมว่าพี่แกเพี้ยนไปละ


...............................................................................................................

...............................................................................................................................


ปัญหาไฟฟ้าดับในภาคใต้ เกิดจากปัญหานิสัยเลวๆ ของคนใต้ที่ไม่มีความรับผิดชอบ

บทความ...ลูกชาวนาไทย

เมื่อคืนวาน วันที่ 21 พฤษภาคม เกิดปัญหาไฟฟ้าดับในภาคใต้ 14 จังหวัดตั้งแต่ 1 ทุ่มจนถึงประมาณ 4 ทุ่ม เป็นการดับในขอบเขตที่ใหญ่คือ ทั่วทั้งภาคใต้

ตอนนี้ผมพอทราบปัญหาแล้ว ผมสรุปคือ "เกิดจากนิสัยความไม่รับผิดชอบของคนใต้ที่ต้องการแต่ประโยชน์ แต่ไม่ต้องการรับภาระความเสี่ยงใดๆ"

ภาคใต้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประมาณปีละ 8% จากความเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โรงแรมและรีสอร์ทต่างๆ ขณะนี้ภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด มีความต้องการใช้ไฟฟ้า 2,200 เม็กกะวัตต์ แต่โรงไฟฟ้าในภาคใต้ สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียง 1,600 เม็กกะวัตต์ เท่านั้น

ดังนั้นภาคใต้จึงต้อง "นำเข้าไฟฟ้า หรือพูดตรงๆ คือ Import ไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านอีก 600 เม็กกะวัตต์ ผ่านระบบสายส่งหลักข้ามภูมิภาค ซึ่งด้านเทคนิคพวกวิศวกรไฟฟ้าเรียกว่าระบบ n-1 คือมีสองสาย

แต่เมื่อวาน กฟผ.มีความจำเป็นต้องซ่อมบำรุงสายส่งหลักอีกสายหนึ่ง พอถึง 1 ทุ่ม ความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้ก็ Peak (ก็โรงแรม รีสอร์ทต่างๆ นักท่องเที่ยวกลับมา ก็ต้องเปิดทั้งแอร์ทั้งไฟ) สายส่งไฟฟ้าที่เหลือก็เลยช็อร์ท ระบบของภาคใต้ที่ผลิตได้เพียง 1,600 MW ก็ไม่สามารถรับ load ที่เข้ามาได้ ระบบก็ต้ดไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ

การแก้ปัญหา กฟผ.ก็ต้องเร่งซ่อม รวมทั้ง Import ไฟฟ้าจากมาเลเซียอีก 270 MW เป็นการฉุกเฉิน กว่าจะดึงระบบขึ้นมาได้ก็ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง

หากเรามองในแง่นักวิเคราะห์ แม้ กฟผ.จะสามารถซ่อมระบบได้ แต่ "ความมั่นคงด้านไฟฟ้า (Electricity Security)" ของภาคใต้ก็ยังเสี่ยงหนักอยู่เหมือนเดิม เพราะปัญหาหลักคือ การ Import ไฟฟ้า ทำให้ระบบไม่มั่นคง ขาดเสถียรภาพอย่างสิ้นเชิง

ทางแก้ไขคือ ต้องสร้างโรงไฟฟ้าในภาคใต้ขึ้นอีก 1,000 MW (รวมสำรองไฟฟ้า 15% เพื่อให้ระบบมั่นคงด้วย)

แต่อย่างที่ผมบอก "คนใต้มีนิสัยเลวๆ (พูดแบบไม่เกรงใจเลยจะได้รู้ตัวเสียบ้าง) คือ "เอาแต่ประโยชน์ไม่เอาโทษ ไม่ยอมรับความเสี่ยง" โครงการสร้างโรงไฟฟ้า โครงการด้านพลังงาน โดนต่อต้านหมดไม่สามารถลงในพื้นที่ได้ กฟผ. มีหน้าที่จัดหาไฟฟ้า ไม่มีทางเลือกอื่น ก็ต้อง Import ไฟฟ้าจากภาคกลางเข้าไป ระบบก็ขาดเสถียรภาพอย่างที่ว่า

นี่คือปัญหาที่นักวิชาการเรียกว่า ปัญญหา NYMBY หรือ ปัญหา Not in my Backyard คือ "อย่าสร้างใกล้บ้านฉัน แต่ฉันต้องการใช้ไไฟ้ฟ้าด้วย

ตอนนี้คนใต้ต้องเลือกแล้ว ว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 1,000 เม็กกะวัตต์ (อาจสร้างสองสามโรงก็ได้) ด้วยพลังงานอะไร ทางเลือกมีแค่ "ถ่านหิน กับ Renewable เท่านั้น ส่วนแก้สธรรมชาตินั้นทำไม่ได้ เพราะต้องเดินท่อไป และแก้สจากอ่าวไทยก็ไม่พอ หากจะใช้แก้สต้องเป็นการนำเข้า LNG เท่านั้น (ราคาแพงกว่าแก้สบ้านเรา 5 เท่า)

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็ต้องใช้เวลา 12-15 ปี ไม่ทันใช้แน่

ทางเลือกแน่ๆ จึงมีเพียง "โรงไฟฟ้าถ่านหินเท่านั้น" ทางเลือกอย่างอื่นเดินได้ยากมาก

แต่อาจเสริมด้วยพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ (หากจะประหยัดพื้นที่ก็น่าจะทำ Offshore ชายทะเลตื้นๆ ได้) พลังงานจากคลื่น พลังงานน้ำขึ้นน้ำลง (Tidal ซึ่งบริเวณปากแม่น้ำอาจมีศักยภาพ) พลังงานจาก Biomass (โรงไฟฟ้าชุมชนขนาด 1 MW)

ไม่เลือก ก็จะเจอปัญหานี้อีกแน่ และจะกระทบการท่องเที่ยวอย่างหนักด้วย เพราะนักท่องเที่ยวหากไฟฟ้าดับบ่อยๆ ก็ไม่มีใครอยากมา ด่า กฟผ.ก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา เพราะ กฟผ.ก็ทำได้แค่นั่งระวังสายส่งสองสายนั่น

สถานการณ์ที่สมุย ยิ่งทุเรศพอๆ กันคือ คนสมุยไม่ต้องการให้สร้างโรงไฟฟ้าใดๆ บนเกาะทั้งสิ้น ต้องเอาไฟฟ้าจากแผ่นดินใหญ่เข้าไป แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะสมุยโตเร็วมาก ระบบก็ต้องเดินเคเบิลใต้น้ำ ก็ปัญหาอย่างที่เจอทั้งภาคใต้เมื่อวานนี้ แต่เจอไปก่อนหน้าแล้วในปีที่แล้ว ตอนนี้เจอร่วมกันทั้งภาค

สรุปคือ "ปัญหาไฟฟ้าดับภาคใต้" เกิดจากนิสัยที่เห็นแก่ตัวของคนใต้ ที่ผมได้ยินเลยคือ "มรึงสร้างกูเผา" แม่งไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผลประโยชน์จะเอา กับทัศนะคติแบบนี้

กฟผ.ก็ทำได้แค่ ระวังไม่ให้สายส่งมันมีปัญหาเท่านั้น แต่อะไรๆ มันก็เกิดได้ หากระบบมันไม่มีเสถียรภาพ

ปล.ผมเขียนบทความนี้ด้วยความไม่เกรงใจคนใต้ พูดด้วยภาษาสวยๆ โวหารเพราะๆ เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่คิดกัน มัวแต่หลงคารมโวหารกัน โดยไม่มองภาพรวมทั้งระบบ

..........................................................................................................................


ตัวต้านทาน
ประภาส ชลศรานนท์
..............................
คำถาม
ดิฉันเพิ่งได้งานที่เป็นชิ้นเป็นอันหลังจากเรียนจบ ในตำแหน่งเลขานุการที่บริษัทสถาปนิกแห่งหนึ่ง เจ้านายก็ดูเป็นคนใจดี ที่ตั้งบริษัทก็อยู่ไม่ไกลบ้าน เงินเดือนได้ตามสมควร และดิฉันสนใจที่จะได้ทำงานที่เกี่ยวกับการออกแบบ เมื่อรู้ว่าได้งานดิฉันก็มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะทำงานเต็มที่
แต่แล้วดิฉันก็ได้ทราบจากคนรู้จัก เค้าเคยเป็นสถาปนิกที่บริษัทแห่งนี้ เค้าว่าเจ้านายขี้เหนียวและเอาเปรียบ เค้าไม่ได้เงินค่าออกแบบตั้งหลายหมื่น ทำได้ 6 เดือนก็ลาออกแล้ว ยอมรับค่ะว่าหลังจากได้ฟังก็บั่นทอนจิตใจพอสมควร รู้สึกกังวล กลัวว่าจะไม่เต็มที่และอคติไปก่อนที่จะได้ทำงานจริง
คุณประภาสว่าดิฉันควรมีวิธีคิดอย่างไรดี งานจะเริ่มเดือนหน้าแล้วค่ะ ดิฉันยังอยากมีความรู้สึกเต็มร้อยก่อนไปทำงานเหมือนเดิม เหมือนก่อนที่จะได้ยินได้ฟังมา ขอบคุณค่ะ
พัดชา
......................................

คำตอบ

สมมุตินะครับสมมุติ
เจ้าของบริษัทที่กำลังจะเป็นเจ้านายของคุณบอกคุณว่า เขารู้จักนายสถาปนิกคนที่คุณรู้จักดี

แน่นอนคุณก็คงคิดในใจว่า ก็ต้องรู้จักอยู่แล้วนี่ ก็เคยทำงานด้วยกัน
แล้วเขาบอกคุณต่อว่า “ผมรู้จักมันดีกว่าใครทั้งหมด เพราะมันโกงผม”
หูชักผึ่งแล้วใช่ไหมครับ ใครโกงใครกันแน่ คุณคงคิดในใจ ก็คุณฟังมาจากสถาปนิกคนนั้นแล้วนี่ เจ้านายอย่ามาเฉไฉเบนเรื่องไปหน่อยเลย

ฟังผมสมมุติต่อไปเรื่อยๆแล้วกัน

แล้วเจ้านายที่คุณจะทำงานด้วยก็ระบายความในใจต่อ “มาทำงานแค่ 6 เดือน มันไปโฆษณากับคนข้างนอกเสียใหญ่โตเลยว่าเป็นคนออกแบบงานทุกชิ้นเองทั้งหมด”

ตัวเลข 6 เดือนเหมือนกับที่สถาปนิกคนนั้นพูดกับคุณไม่ผิด เอ...หรือเจ้าของบริษัทคนนี้ก็คงไม่โกหก สถาปนิกคนนั้นก็ทำไม่ถูกนะ ผลงานของบริษัทจะไปเหมาไปอ้างว่าเป็นผลงานของตัวเองคนเดียวได้อย่างไร
แต่เรื่องค่าออกแบบที่เจ้านายยังไม่จ่ายเขาละ เจ้านายไม่เห็นพูดถึงเลย

“มีอย่างที่ไหน” เจ้านายเหมือนรู้ใจคุณ “ทำงานกินเงินเดือนตั้งเท่าไร ยังจะขอค่าออกแบบเพิ่มอีก มีสำนักงานไหนเขาทำกัน คุณไปถามดูเลย”
เออ..จริงสิ คุณคงเริ่มเห็นด้วยแล้ว ยิ่งประโยคสุดท้ายท้าให้ไปถามเขาดูเลย
“คุณรู้ไหมว่า เขาได้เงินเดือนเท่าไร เข้ามาครั้งแรกขอเงินเดือนมากกว่าผมอีก”
อย่างนี้ก็เกินไปแล้ว คุณคงคิดในใจ
“หนำซ้ำ มันยังจะไปฟ้องสภาสถาปนิกอีก มันกะจะดีสเครดิตผมนะนี่ ผมลดเงินเดือนเลย แล้วเป็นไงล่ะ ก็ต้องลาออกไปเอง”
ขี้เหนียวและเอาเปรียบ เออ..ก็พูดตรงกับที่สถาปนิกคนนั้นเล่านี่ แต่คุณเริ่มคิดแล้วใช่ไหมครับว่า เจ้านายคุณเขาก็มีความชอบธรรมพอที่จะทำอย่างนั้น เพราะอีกฝ่ายหนึ่งเล่นแรงก่อน

สมมุติต่ออีกดีกว่า

สมมุติว่าสถาปนิกคนที่คุณรู้จักคนนี้ เข้าไปบอกเจ้าของบริษัทว่า เขารู้จักเลขานุการสาวที่กำลังจะมาทำงานบริษัทนี้เป็นอย่างดี

หูผึ่งอีกแล้วใช่ไหมครับคุณพัดช
อยากรู้ใช่ไหมครับว่า เขาพูดว่าถึงคุณว่าอย่างไร บังเอิญผมนั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย สมมุตินะครับสมมุติ

“น่ากลัวนะครับผู้หญิงคนนี้” เขาขึ้นประโยคแรกอย่างนี้เลย
“เห็นพูดจาไพเราะ เงียบๆขรึมๆอย่างนี้ก็เถอะ ลับหลังชอบนินทาคน” เจ้านายคุณก็เริ่มคิดตามแล้ว เออ..มันก็มีความเป็นไปได้อยู่นะ เพราะคุณเองก็ชอบปรึกษาหารือกับคนอื่น
“เป็นคนไม่ค่อยไว้ใจใคร”
เจ้านายคุณเริ่มคล้อยตามแล้ว

อย่าว่าแต่เจ้านายคุณเลย ผมเองฟังอยู่ยังคล้อยตามเลย เพราะถ้านำมาเทียบกับจดหมายที่คุณเขียนมาแล้วก็ดูจะมีมูลความจริงอยู่ ทั้งๆที่การไม่ไว้ใจใครง่ายๆนี่ มันก็มองได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบ แต่น้ำเสียงของคนเล่าอาจมีอิทธิพลทำให้คนฟังมองเป็นแง่ลบได้
“เป็นคนไม่ค่อยมีไฟหรอกครับ ทำงานไปวันๆ ผู้หญิงคนนี้” ใส่ร้ายกันชัดๆ
“และเห็นเรียบร้อยๆอย่างนี่ เสือผู้ชายนะนี่ คบผู้ชายหลายคนเลยพร้อมๆกัน ” ประโยคสุดท้ายนี่ สถาปนิกคนนั้นเล่นแรงเลยครับ คุณคงอยากเถียง ก็อีแค่มีผู้ชายมาจีบหลายคน และเราก็ยังไม่ปลงใจกับใครนี่ กลายเป็นเสือผู้ชายไปแล้วหรือนี

ใครฟังก็ต้องให้คะแนนลบหมดละครับประโยคแบบนี้ แล้วจะเอาหลักฐานที่ไหนมาพิสูจน์ เรื่องไม่ดีที่เขาโยนมาให้คุณมันก็ล้วนเป็นนามธรรมทั้งนั้น หาหลักฐานจับต้องยาก

แต่ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องสมมุตินะครับสมมุติ

แต่คุณพัชรารู้อะไรไหมครับ เรื่องประเภทเดียวกับที่ผมสมมุติขึ้นมาให้คุณฟังนี้ มันมีอยู่จริงในสังคมเรา ผมมักไดัยินคำปรึกษาเรื่องทำนองนี้บ่อยๆ รวมไปถึงต้องเจอด้วยตัวเองก็ไม่น้อย เจอหนักๆเข้าแล้วหาความจริงไม่ได้ หรือบางทีมันก็เหนื่อยใจเกินไปที่จะหาความจริง ผมก็ใช้วิธีนี้แหละครับมาตอบโจทย์

นั่นคือผมจะลองสมมุติต่อในมุมของคนอื่นดู สมมุติแรงๆเลยครับ จากนั้นก็จะถามตัวเองกลับว่ารู้สึกอย่างไรที่โดนบ้าง

ถึงตรงนี้ คงต้องขออนุญาตถามคุณพัชรากลับเลยนะครับว่ารู้สึกอย่างไรกับการสมมุติของผมข้างบน

คนส่วนใหญ่ที่ใจยังไม่กว้างพอ มักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ให้คนอื่นๆเป็นดาวเคราะห์คอยหมุนรอบ นั่นคือไม่ว่าจะมีกรณีอะไรเกิดขึ้น ก็จะสรุปออกมาโดยยึดเอาตัวเองเป็นพระเอกเป็นนางเอก แล้วก็ให้คนอื่นสวมบทเป็นตัวอิจฉาหมด

ใครที่เคยมีประสบการณ์ฟังความจากคนที่ทะเลาะกันก็คงจะนึกออก ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครพูดโกหกเลย แต่ฟังแล้วอีกฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ร้ายแทบทุกกระเบียดนิ้ว

คนโบราณจึงสอนว่าอย่าหูเบา เพราะเดี๋ยวหูมันจะบินลอยตามเรื่องที่เขาเล่าจนกลายเป็นคนไม่มีหูไปเสีย

ยิ่งพวกที่ยกเมฆเก่งๆนี่ หูคนฟังจะลอยถึงเมฆเอาง่ายๆ

ที่เล่ามาทั้งหมดทั้งปวงนี่ไม่ใช่หมายความว่าผมจะมาชวนให้คุณพัดชาไม่ฟังคำเตือนของใครนะครับ อย่างไรก็ต้องฟังครับไม่ว่าจิ้งจกทักหรือตุ๊กแกเตือน เพียงแต่อย่าเพิ่งกังวลไปล่วงหน้าจนขาดแรงใจที่จะทำงาน

ถ้าใจคุณพัดชาอยากทำงานที่นั่นแล้วก็ไปทำเถิดครับ อย่าให้แค่เรื่องเล่ามาหยุดความตั้งใจของเราเลย คุณพัดชาก็บอกเองอยู่แล้วว่าเจ้านายดูเป็นคนใจดี ลองเชื่อสามัญสติตัวเองดูบ้าง ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน

ทำไปแล้ว ไปพบว่าเจ้านายขี้เหนียวหรือเอาเปรียบจนทนไม่ได้ ก็ลาออก แล้วก็ถือเป็นประสบการณ์ดีๆอันหนึ่ง เพิ่งเรียนจบมาได้ทำงานได้เจอคนหลากหลายประเภทก็ไม่เลวนะครับ

ฝึกจัดการกับมันให้ได้ไอ้ความกังวลนี่ นักจิตวิทยาเขาว่ามีนิดๆหน่อยจะช่วยให้เราไม่ประมาท

เหมือนตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้าเลยครับ นั่นคือมันเป็นสิ่งจำเป็นอันหนึ่งในวงจรเลยทีเดียว หน้าที่ของมันก็คือไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลเข้าหลอดไฟมากเกินไป เพราะจะทำให้หลอดขาดได้

กังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นนี่ ถ้าเป็นมากๆก็เหมือนมีความต้านทานที่มีค่าสูงๆนั่นแหละ ใส่เข้าไปในวงจรมากๆหลอดไฟมันจะไม่สว่างเอา

เดี๋ยวกลายเป็นคนไม่มีไฟจริงๆ อย่างที่เขานินทาในเรื่องที่ผมสมมุติไว้ไม่รู้ด้วย
............................................................

...........................................................................................................................


โปรดดูกราฟฟิคประกอบ ที่แสดงที่ตั้งโรงไฟฟ้า ระบบสายส่งตั้งแต่ 500/230/115/69 KV ....สาเหตุไฟฟ้าดับ ! เกิดจากสายส่งไฟฟ้า(เส้นสีม่วง)แรงสูงขนาด 500KV ที่เชื่อมโยงภาคกลางไปภาคใต้ขัดข้อง ซึ่งเกิดขึ้นที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงบางสะพาน 2 (รูปหกเหลี่ยมสีม่วง) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตบอกว่า demand ไฟในภาคใต้ มีมากกว่า supply ของโรงไฟฟ้าที่มีอยู่คือ จะนะ710+800 MW(พลังความร้อนร่วม)กระบี่(พลังความร้อน340MW) ขนอม(พลังความร้อนร่วม 678 MW) ไม่รวมจากเขื่อนพลังน้ำอีกนิดหน่อย ดังนั้นจึงต้องส่งไฟฟ้าผ่านระบบสายส่งจากภาคกลางมาให้ภาคใต้ ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้มาช้านาน (ไฟในกรุงเทพบางทีก็ส่งมาจากแม่เมาะ บางทีก็มาจากราชบุรี ขึ้นอยู่กับการบริหารไฟผ่านระบบสายส่ง) แต่วันนี้บังเอิญดวงแตก สายส่ง 500KV เกิดลัดวงจรระบบเลย trip 1 วงจร อีกวงจรเกิดโอเวอร์โหลดเลยทริปหมดทุกวงจร ไฟจากภาคกลางที่ส่งให้ภาคใต้เลยขาดตอน ไฟเลยดับนาน 1-3 ชั่วโมงทุกพื้นที่ 100% (ยกเว้นที่ไหนมีเครื่องปั่นไฟ)

วิธีแก้ ง่ายๆไม่ต้องคิดมากคือ เพิ่มกำลังการผลิตไฟจากโรงไฟฟ้าใหม่ที่ต้องสรา้งในภาคใต้เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับระบบไฟฟ้าในภาคใต้เสียที มิฉะนั้นต้องใช้วิธีบริหารกำลังไฟด้วยการส่งไฟจากภูมิภาคอื่นมาเลี้ยงแบบนี่แหละ

แต่ในโลกแห่งความจริง การสร้าโรงไฟฟ้าใหม่ทำไม่ง่าย มีมิติที่ต้องพิจาณรากันหลายด้านโดยเฉพาะการต่อต้านจากคนในพื้นที่และนักอนุรักษ์ มิพักต้องพูดถึงความคิดที่จะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์(ขนาดญี่ปุ่นยังเอาไม่อยู่กรณีสึนามิที่โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ)เอาเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินยังสรา้งไม่ได้

วันนี้คงต้องมีเสียงวิพากษ์แบบดุดันว่า รัฐบาลกับการไฟฟ้าสมคบคิดกันทำให้ไฟดับเพื่อเป็นข้ออ้างที่จะเรียกความชอบธรรมในการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในภาคใต้

ลองเอาสะดือตรองดูเถิดว่า เราจะมาร่วมแก้เรื่องนี้กันอย่างไร (เอาสมองเก็บไว้คิดเรื่องอื่นๆก็ได้นะ 555)

...............................................................................................................




สิ่งที่เรียกว่า ผี

ผี มันก็ เกิดมาจากกระแส ที่เต็มไปด้วย อานุภาพอันหนึ่งอันเกิดมาจาก กำลังความเชื่อแห่งจิตของคนเกือบทั้งประเทศ หรือ ทั้งโลก เชื่อกันเช่นนั้นอำนาจนั้นๆมันแผ่ซ่าน ไปครอบงำจิตของคนทุกคน
ให้สร้าง ผีในมโนคติ ตรงกันหมดและทำให้เชื่อ ในเรื่องผียิ่งขึ้น และผีก็มีชีวิต อยู่ในโลกนี้ได้

จนกว่าเมื่อใด เราจะหยุดเชื่อเรื่องผี หรือ เรื่องหลอกนี้กันเสียทีให้หมดทุกๆคน ผีก็จะตายหมดสิ้นไปจากโลกเอ

จึงกล่าวได้ว่า ความกลัวที่เรากลัวกันนั้น เป็นเรื่องหลอก ที่ใจสร้างขึ้นเองด้วยเหตุผล อันผิดๆ เสียหลายสิบเปอร์เซ็นต์

ความกลัว เป็นภัยต่อความสำราญ เท่ากับความรัก โกรธ เกลียด หลงใหล และอื่นๆหรือบางที จะมากกว่าด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่า

ธรรมชาติ ได้สร้างสัญชาตญาณ อันนี้ให้แก่สัตว์ ตั้งแต่ เริ่มออกจากครรภ์ ทีเดียว,ลูกนก หรือ ลูกแมว พอลืมตา ก็กลัวเป็นแล้ว แสดงอาการหนีหรือป้องกันภัย ในเมื่อเราเข้าไปใกล้

เด็กๆ จะกลัวที่มืด หรือการถูกทิ้ง ไว้ผู้เดียวทั้งที่ เขายังไม่เคยมีเรื่องผูกเวร กับใครไว้อันจะนำให้กลัวไปว่า จะมีผู้ลอบทำร้าย เพียงแต่ผู้ใหญ่ ชี้ไปตรงที่มืด แล้วทำท่ากลัว ให้ดูสักครั้งเท่านั้นเด็กก็จะกลัว ติดอยู่ในใจไปได้นานคนโตแล้วบางคน

นั่งฟังเพื่อนกันเล่าเรื่องผีเวลากลางคืนมักจะค่อยๆขยับๆ จนเข้าไป นั่งอยู่กลางวง โดยไม่รู้สึกตัวและยังไปนอนกลัวในที่นอนอีกมาก กว่าจะหลับไปได้

เดินผ่านป่าช้าโดยไม่รู้เพิ่งมารู้และกลัวเอาที่บ้านก็มี
สำหรับบางคน ทั้งหมดนี้ เป็น เครื่องแสดงว่าความกลัว เป็นเรื่องของจิต มากกว่า วัตถุ ผู้ใด ไม่มี ความรู้ ในการควบคุม จิตของตน ในเรื่องนี้ เขาจะถูกความกลัวกลุ้มรุมทำลายกำลังประสาทและความสดชื่นของใจเสียอย่างน่าสงสาร

ในทำนอง ตรงกันข้าม สำหรับผู้ที่มีอุบายข่มขี่ความกลัวย่อมจะได้รับความผาสุก มากกว่ามีกำลังใจ เข้มแข็งกว่าเหมาะที่จะเป็น หัวหน้าหมู่ หรือ ครอบครัว

หลวงพ่อ พุทธทาสภิขุ

...................................................................................................................




รูปถ่ายหรือภาพวาดย่อมเกิดจากความอุตสาหะในการสร้างสรรค์ของผู้สร้างสรรค์ ซึ่งกฎหมายจะให้ความคุ้มครองผลงานทันทีที่สร้างสรรค์หรือเผยแพร่แล้วแต่กรณีโดยไม่ต้องจดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

แม้คุณจะประกาศให้รับรู้ว่าคุณไม่ใช่เจ้าของรูป พร้อมข้ออ้างต่างๆ แต่ถ้าหากข้ออ้างเหล่านั้นไม่เข้าข้อยกเว้นของกฎหมาย อีกทั้งยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วยแล้ว การเซฟรูปแล้วนำไปโพสใหม่ในเพจของตัวเองย่อมเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

ในทางตรงกันข้าม การเซฟรูปมาโพสใหม่โดยได้รับอนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์แล้ว หรือกดปุ่ม 'Share' รูปจากเพจเจ้าของผลงานโดยตรงย่อมไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

www.matralaw.com

..........................................................................................................................




สาวๆ ที่ชอบกินโยเกิร์ตดูทางนี้ อย่าเพิ่งทิ้งถ้วย

มา DIY เอาไว้ใส่ดอกไม้ช่อเล็กๆ หรือต้นไม้ขนาดน่ารักๆ
ไว้วางบนโต๊ะทำงานกันดีกว่า


..................................................................

Credit :Greenista Society, Tried and True Blog

...................................................................................................................................




กล่องข้าวน้อยฆ่าชาติ

เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวสำคัญในไต้หวัน เกี่ยวกับเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2556 เรือประมงของไต้หวันเข้าไปจับปลาในเขต (ที่ฝั่งไต้หวันอ้างว่าเป็น) น่านน้ำสากล แต่ถูกยามชายฝั่งของฟิลิปปินส์ยิงปืนกลเข้าใส่ จนมีผู้เสียชีวิต ทั้งนี้เรื่องราวยังลุกลามบานปลาย เป็นปัญหาระหว่างประเทศที่ซับซ้อน (ค้นดูข่าวในไทย มีกูรูเขียนวิเคราะห์กันมากมาย)

เรื่องดังกล่าวถูกสื่อของทั้งสองประเทศประโคมข่าวกันยกใหญ่ แต่เรื่องที่ผมอยากนำมาเล่า เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเฟซบุ๊ค

กล่าวคือเมื่อวานนี้มีคำศัพท์คำหนึ่งผ่านตาผมหลายที คำนั้นคือ 便當文 "เปี้ยนตังเหวิน" แปลว่า "บทความข้าวกล่อง" ผมก็เอะใจว่าเป็นศัพท์เกิดใหม่ในอินเทอร์เน็ตหรือเปล่า จึงเข้าไปค้นดู ที่แท้มันเป็นบทความหนึ่งที่ผมเคยอ่านเจอมาก่อนหน้านี้แล้ว


มันเป็นบทความที่แชร์ต่อกันมา เล่าว่าผู้เขียนบทความ (ผู้หญิง) เจอกับแรงงานชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่งในไต้หวัน ยืนอยู่ที่หน้าร้านข้าวกล่อง เขาคนนั้นเข้ามาทักเธอโดยขอให้เธอช่วยซื้อข้าวกล่องแทนให้หน่อย เพราะเจ้าของร้านยืนกรานไม่ขายให้คนฟิลิปปินส์ และบอกว่าเขายืนรออยู่ชั่วโมงกว่าแล้ว แต่ไม่มีใครยอมช่วยซื้อให้เขาเลย

ผู้เขียนบทความเข้าไปซื้อให้ โดยเล่าว่าเจ้าของร้านได้ออกตัวว่าหากซื้อให้คนฟิลิปปินส์นอกร้าน ตนจะไม่ขาย แต่สุดท้ายก็ต้องขายให้สองกล่อง เพราะผู้เขียนอ้างว่าเธอซื้อกินเอง

แต่หลังจากได้ข้าวกล่องแล้ว เธอก็กล่าวตำหนิเจ้าของร้านว่าทำเกินไป และเฉลยว่าเธอซื้อข้าวกล่องให้คนฟิลิปปินส์ข้างนอกนั่นแหละ ใครจะทำไม แล้วเดินออกมา ยกข้าวให้คนฟิลิปปินส์ทั้งสองกล่อง
เธอนำมาเล่าต่อเพื่อบอกกล่าวสังคมอินเทอร์เน็ต ว่าจงแยกแยะระหว่างเรื่องราวที่เกิดขึ้น กับแรงงานฟิลิปปินส์ในไต้หวัน ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่


บทความดังกล่าวถูกแชร์ต่อออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียงสองสามวัน ก็เกิดการแชร์มากถึงแปดหมื่นกว่าแชร์ จนกระทั่งสื่อกระแสหลัก (สองเจ้า) นำมาขยายความ

และที่สำคัญ มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ และสื่อฝั่งฟิลิปปินส์ก็จับไปเป็นประเด็น ทำให้ปัญหาบานปลายหนัก ภาพลักษณ์ของประเทศไต้หวันดูเลวร้าย ชาวไต้หวันที่อยู่ในฟิลิปปินส์ต้องเดือดร้อนกันทั่วหน้า และการเจรจาเรื่องข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก

ขณะเดียวกัน ชาวไต้หวันจำนวนหนึ่งเริ่มสงสัยในข้อเท็จจริงของเนื้อหาในบทความ รวมทั้งนักเขียนหนุ่มชื่อดังคนหนึ่งในไต้หวัน (Giddens) ลุกขึ้นมาตั้งสเตตัสเรียกร้องให้สืบหาความจริง โดยยังให้สัมภาษณ์ทางทีวีว่า หากเจ้าของร้านข้าวกล่องต้นเรื่องยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นความจริง เขายินดีซื้อข้าวกล่องเจ็ดร้อยกล่องแจกจ่ายฟรี

สเตตัสดังกล่าวร้อนถึงเพื่อนคนหนึ่งของผู้เขียนบทความ (คนเขียนแซ่ต่ง เพื่อนคนนี้แซ่เกา) คุณเกาติดต่อมาว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง และการตั้งสเตตัสและให้สัมภาษณ์ของคนดังอย่างกิดเดนส์ ทำให้เพื่อนของเธอเดือดร้อนมาก เพราะเกิดขบวนการล่าแม่มด มีการโทรศัพท์ก่อกวน ข้อมูลส่วนตัวถูกเปิดเผย และสร้างปัญหามากมาย ทั้งต่อตนเอง ที่ทำงาน และครอบครัว และเธอเองก็ไม่อยากให้เจ้าของร้านดังกล่าวเดือดร้อน (เธออ้างว่าภายหลังการแชร์แปดหมื่นกว่าแชร์ เธอได้กลับไปเล่าให้เจ้าของร้านฟัง และเจ้าของร้านก็สำนึกผิดต่อการกระทำของตนเองแล้ว และขอร้องให้เธอปกปิดที่อยู่ของร้าน)

ภายหลังคุณเกากับกิดเดนส์ก็ได้คุยกัน และกิดเดนส์ได้สรุปลงบนหน้าเฟซของเขาว่า ขณะนี้เขากำลังขออาสาสมัครสิบคน ที่ยอมปิดปากสนิท เก็บความลับได้ ร่วมเดินทางเป็นสักขีพยาน ไปพบเจ้าของร้านคู่กรณี และหากเป็นจริงดังที่บทความว่าไว้ เขายินดีซื้อข้าวกล่องเจ็ดร้อยกล่องเป็นการขอโทษ ตามที่ประกาศ

แต่ยังไม่ทันที่กลุ่มอาสาจะเคลื่อนไหว ก็มีข่าวว่า คุณต่งถูกตำรวจตามตัวจนพบจาก IP Adress และเชิญไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ด้วยข้อหา "ปล่อยข่าวลือ" อันเป็นสาเหตุให้เกิดความไม่สงบภายในประเทศ

คุณต่งสารภาพออกสื่อว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เธอ "ฟังเขามาอีกที"

กิดเดนส์ก็เดือด แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยการมองมุมกลับ ว่าอาจเป็นเพราะความอยากเป็น "ฮีโร่" ในโลกเสมือน และการที่เรื่องราวลุกลามใหญ่โต คงเป็นเรื่องที่เธอ "ไม่คาดคิดมาก่อน" ซึ่งสุดท้ายเพื่อให้เรื่องราวจบลงด้วยดี โดยเขาให้สัมภาษณ์ว่า เขาจะยังซื้อข้าวกล่องแจกจ่ายผู้คนเจ็ดร้อยกล่องตามเดิ

ข่าวคราวยังไม่จบเท่านี้ ประเด็นเรื่อง "กล่องข้าวน้อย" มีผู้เขียนบทความถึงสามคนด้วยกัน หนึ่งคือคุณต่ง สองคือนักข่าวของหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งแซ่เจิ้ง (ซึ่งเขียนลงเฟซบุ๊คส่วนตัว) โดยมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน แต่หนักข้อกว่าตรงที่เจ้าของร้านโยนข้าวกล่องลงบนพื้น แล้วให้คนฟิลิปปินส์คลานเข่ากิน (ต้นฉบับของบทความนั้นผมไม่ได้อ่าน)

เรื่องราวดังกล่าว เป็นข่าวใหญ่ไม่แพ้กัน แต่ก็มีผู้ออกมาชี้จุดโหว่ว่าไม่น่าจะจริง จนกระทั่งนักข่าวเจิ้ง พาคุณจาง ผู้เป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ (ที่ตนทำงานอยู่) ไปพบกับเจ้าของร้านต้นเรื่อง ว่ามีตัวตนจริงๆ ซึ่งเจ้าของร้านคนดังกล่าวก็ยอมรับผิด

ทำให้คุณจางบรรณาธิการออกมาช่วยยืนยันอย่างแข็งขันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องจริง และตนได้ไปพบกับเจ้าของร้านต้นเรื่องมาแล้ว

และภายหลังที่คุณต่งออกมาสารภาพเพียงวันเดียว ก็มีการขุดคุ้ยไปยังเรื่องของนักข่าวเจิ้ง และได้ความว่าเป็นเหตุการณ์ "ฟังมา" เหมือนกัน โดย "เจ้าของร้าน" คนที่บรรณาธิการของตนมาพบนั้น เป็นตัวปลอม เป็นการเตี๊ยมกัน เป็นการจัดฉาก ให้เรื่องราวดูสมจริง

หลังจากเรื่องราวเปิดเผย นักข่าวเจิ้งถูกไล่ออก และทางหนังสือพิมพ์ก็ออกแถลงการณ์ขอโทษ (แม้ข่าวจะไม่เคยตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์หรือสื่ออื่นๆของหนังสือพิมพ์ แต่เกิดขึ้นบนเฟซบุ๊คส่วนตัวของนักข่าวเท่านั้น)

สำหรับวันนี้ เรื่องราวจบลงแค่นี้ก่อน (ยังไม่รู้ว่าเรื่องที่สามลงเอยยังไง) รวมทั้งก็ไม่รู้ด้วยว่า ทั้งเหตุการณ์ที่หนึ่ง และเหตุการณ์ที่สอง แท้ที่จริงเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง เป็นเรื่องจริงที่ทั้งสองคนถูกกดดดันให้ต้องกลับคำพูด เพื่อยุติความขัดแย้งที่กำลังบานปลาย หรือเป็นเรื่องแต่งที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นแค่คนอยากโหนกระแส อยากดัง โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ที่แน่ๆ คนกลางสองคน คุณเกา กับคุณจางบรรณาธิการ กลายเป็นหมาหัวเน่า
และกิดเดนส์ ได้หน้าไปฟรีๆ

และแปดหมื่นกว่าแชร์กับอีกไม่รู้กี่ล้านไลค์ กลายเป็น "เครื่องมือ" ไปโดยปริยาย "โชว์โง่" ไปโดยปริยาย รวมทั้งหากเกิดเหตุทำร้ายชาวไต้หวันในฟิลิปปินส์ เพราะการเห็นบทความที่ยังไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงนี้แล้วของขึ้น คนไลค์คนแชร์เหล่านี้ ก็คือผู้ร้ายคนหนึ่งใน "ทฤษฎีสมคบคิด" โดยหนีความรับผิดชอบไม่พ้นอย่างแน่นอน

โปรดระวัง "ปรากฏการณ์ข้าวกล่อง" ไม่ได้อยู่ไกลตัวอย่างที่เราคิด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สังคมมันซับซ้อน โลกนี้อยู่ยาก ขอให้มีปัญญาอยู่เสมอ อยากจะบอกมิตรสหายที่รักกันว่า เราใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือ จงอย่าทำให้ตัวเองตกเป็นเครื่องมือ ที่รับใช้ความโลภ โกรธ หลง ของผู้อื่นเลย

(ภาพข่าวจากเว็บสำนักข่าว ETTV 圖/東森新聞)

............................................................................................................................

.............................................................................................................................



ได้ไปอ่านเจอข่าวประชาสัมพันธ์นี้เลยเก็บมาฝากเพื่อนๆค่ะ 


ใช้ WIfi ฟรี เพียงเข้าไปลงทะเบียน
ใช้ได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ไปตามลิ้งค์ต่อไปนี้ได้เลย

***ฝากแชร์ต่อด้วยนะคะ***

ลิงค์สำหรับลงทะเบียน ICT Free WiFi
ลิงค์สำหรับลงทะเบียน ICT Free WiFi

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล http://vip.totwifi.com/ict-metro1
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล http://vip.totwifi.com/ict-metro2
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล http://vip.totwifi.com/ict-metro3
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล http://vip.totwifi.com/ict-metro4
กาญจนบุรี http://vip.totwifi.com/ict-kanchanaburi
จันทบุรี

............................................................................................................................

...........................................................................................................................




That's awfully generous.

Credit: David Thorne

......................................................................................................................




สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่เรื่องการจับการขาย LPG ผิดประเภท ทำให้กองทุนน้ำมันสูญเสียสองพันล้านบาท แต่แหล่งข่าวไม่สามารถระบุชื่อบริษัทผู้ต้องสงสัย 4 รายใหญ่ ทั้งตำรวจและกระทรวงพลังงานปิดเป็นความลับสุดยอด

พ่อค้าหาโอกาสทำกำไรเป็นเรื่องธรรมดา แต่เป็นหน้าที่รัฐที่จะหลีกเลี่ยงการกำหนดนโยบายที่สร้างแรงจูงใจให้มีการฉ้อราษฎรบังหลวง และเมื่อมีการทำผิดกฎระเบียบก็ต้องลงโทษตามกฎหมาย

แต่มีข่าวว่าถ้าผ
ู้กระทำผิดคืนเงินแก่กองทุนก็จะพ้นผิด ....ผู้ค้าที่มีตัวเลขการจำหน่าย “ผิดปกติ” ก็เป็นบริษัทใหญ่ๆทั้งนั้น บางบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์และมีผู้มีอิทธิพลเป็นประธานและกรรมการ เช่น คนนามสกุลเดียวกับผู้มีอำนา

....การใช้ “ผิดประเภท” ในรถยนต์และโรงงานอาจไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้น้ำมันเบนซินที่ต้องซื้อน้ำมันแพงขึ้น รัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาด้วยการขึ้นราคา LPG แบบแยกส่วน แทนที่จะปรับขึ้นทั้งหมด แต่กลับทำให้เกิดการใช้ LPG “ผิดประเภทแบบผิดกฎหมาย”(ข้ามภาคส่วน)ในขณะที่การลักลอบส่งออกก็ยังดำรงอยู่

....แม้ว่าการอุดหนุนราคา LPG เป็นกรณีทั่วไปทำให้ราคาขายปลีกต่ำกว่าที่ควร ทั้งเป็นภาระแก่กองทุนและประชาชนที่ใช้น้ำมันชนิดอื่น แต่อย่างน้อยผลประโยชน์ตกอยู่กับประชาชนที่ใช้ก๊าซฯ แต่การหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินกองทุนจากการจำหน่ายข้ามประเภทถือว่าเป็นการฉ้อราษฎรบังหลวง เพราะผลประโยชน์ตกอยู่กับผู้ค้าน้ำมัน จึงเป็นเรื่องที่รัฐจะต้องดำเนินการถึงที่สุดที่จะเอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมาย

....โครงสร้างอุดหนุนราคา LPG ที่โรงกลั่น การนำเข้า เพื่อให้ = โรงแยกก๊าซ => โครงสร้างเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อแยกราคาLPG 3 ภาคส่วน ครัวเรือน < รถยนต์ < โรงงาน …
....ปิโตรเคมี ไม่เกี่ยวกับประเด็นนี้ แต่เป็นอีกปัญหาที่ต้องไขต้องแก้ต่อไป


# อ่านบทความเต็ม (สั้นๆ) ที่ https://www.facebook.com/notes/อานิก-อัมระนันทน์/โกง-lpg-ใครผิดรับโทษ/10201210404448351

........................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น