วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

11/05/2556



ทรงพระเจริญ !


http://www.facebook.com/photo.php?v=635788689768487



เป็นคลิปที่สุดยอดจริงๆ

Kseniya Simonova ศิลปินชาวยูเครน
วาดทรายเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระมหากษัตร­ิย์ไทย

เป็นคลิปที่อยากให้คนไทยทุกคนได้ดู


Ahiru Ped shot เป่าทรายนี้เว่อโคด
.........................................................................................................................




ชื่อปรีดี พนมยงค์
จักดำรง อยู่คู่ สังคมไทย
คือผู้ อภิวัฒน์ ประชาธิปไตย
คือผู้ ประกาศชัย สามัญชน

ปานจิต จันทรา

11 พฤษภา วันชาตกาลท่านปรีดี พนมยงค์ (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 — 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526)

.....................................................................................................................




11 พฤษภาคม วันคล้ายวันเกิดของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ แกนนำคณะราษฎรผู้ปฏิวัติสังคมทำให้ พวกเราที่สำนึกถึงความมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ได้เป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าภายใต้หลักการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง (หลุดพ้นจากความเป็นทาส ไพร่ฟ้า)

เช้านี้ผมออกไปกินข้าวแถวหอพัก บริเวณชุมชนประตูจีน อำเภอพระนครศรีอยุธยา วิทยุชุมชนเล่าข่าวเช้าเจ้าประจำพูดเรื่อง ชีวประวัติของปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ผมฟังตอนที่พอดี ลุงแกเล่าถึง "การไม่ขอรับเกียรติยศใดใด" ของท่านผู้หญิงและเล่าถึงการถูก "ใส่ร้ายป้ายสี" ทางการเมืองตลอดชีวิต กระทั่งอ.ปรีดี ต้องหนีไปต่างประเทศจากกรณี ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการ "สวรรคต" ของในหลวงอานันท์ร.8 (แน่นอนจากแผนการของนักการเมืองพรรคเก่าแก่ ประชาธิปัตย์นั่นเอง)

ผมแปลกใจกับรายการเล่าข่าวเช้าของวิทยุชุมชนของผมวันนี้มากทีเดียว ที่ลุงเอาเนื้อหาสาระของปรีดีมาเล่าในรายการ แต่ก็คิดว่าคนอยุธยาอย่างไรเสียก็ต้องรู้จักอ.ปรีดี พอสมควร เพราะชื่อของท่านได้ถูกนำมาเป็นชื่อสะพาน "ปรีดีธำรง" และชื่อถนนปรีดี พนมยงค์ และเป็นคนเก่าแก่ของที่นี่ โดยเฉพาะในยุคคณะราษฎรได้มีการบูรณะเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา พัฒนาไปกว่าก่อนหน้ามาก มีศาลากลางหลังเก่าที่สร้างโดยสถาปัตยกรรมคณะราษฎร , โรงเรียนของจังหวัด คือ อยว. ก็มีห้องเก็บข้าวของเครื่องใช้และเรื่องราวของ อ.ปรีดี , มีอนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ ที่ธรรมศาสตร์สร้างขึ้นริมน้ำใกล้วัดพนมยงค์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้กระมังที่แวดล้อมบรรยากาศของที่นี่ คนเก่าคนแก่ยังไงก็ยังคงจดจำเรื่องราวของท่านได้ แต่เสียดายเวลาผมคุยกับนักศึกษาในตอนแรกแทบจะไม่มีใครรู้จัก "ปรีดี พนมยงค์" ว่าท่านเป็นใครมีความสำคัญอย่างไร ถึงเอามาตั้งชื่อสะพาน

หลังจากลุงเล่าเรื่องราวของอ.ปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุขจบ ก็เปิดเพลง "โปรดช่วยรักษาคนดี" ที่แต่งโดยครูสลา คุณวุฒิต่อ ...ผมกินข้าวเช้ามื้อนี้ ด้วยความรู้สึกตื้นตันขึ้นมาทีเดียว คนที่อินก็อินนะครับ คนไม่อินทำไงก็ไม่อิน

.................................................................................................................................


เชิงบันไดทำเนียบฯ : การยุบโรงเรียน กับบทเรียนของการรับสื่อในโลกไซเบอร์



@เชิงบันไดทำเนียบ

ช่วงนี้ข่าวเว็บไซต์สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีถูกแฮ็คกำลังเป็นที่สนใจ นักข่าวจึงชวนไปชมสมรภูมิการเมืองในโลกอินเตอร์เน็ตกันบ้าง

กระแสที่ร้อนแรงที่สุดในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาคือ ประเด็น “ยุบโรงเรียนขนาดเล็ก”

กระแสนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 8 พ.ค. จากข่าวซึ่งโพสในสำนักข่าวออนไลน์แห่งหนึ่ง 

โดยมีพาดหัวว่า ′พงศ์เทพ′สั่งยุบร.ร.ขนาดเล็กทั่วปท. และโปรยข่าวว่า ′พงศ์เทพ′ สั่งยุบร.ร.ขนาดเล็กทั่วปท. ยันช่วยประหยัดงบฯ-ไม่กระทบนร. พร้อมมอบนโยบาย ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา ปรับลดเนื้อหารับเปิดเทอมปี56



วันที่ 9 พ.ค. 

ข่าวดังกล่าว นำไปสู่กระแสความโกรธแค้น ชาวเน็ตผู้มีความตื่นตัวทางการเมืองสูง ได้เริ่มออกมาเป็นหัวหอกของการแสดงความคิดเห็น

จ่าพิชิต ขจัดพาลชน ซุปเปอร์เสเลบแห่งโลกไซเบอร์ แอ็ดมินของเว็บรวมข่าวคนทะเลาะกันทั่วโลกไซเบอร์ drama-addict.com เจ้าของวลีประจำตัว “วันนี้ไม่มีดราม่ามันส์ๆ เบย” ได้ออกมา แสดงความคิดเห็นว่า

“มิน่า มันคิดกันอย่างนี้นี่เองถึงจะยุบ รร ขนาดเล็ก เพราะมันมองว่าจำนวนนักเรียนคือตัวชี้วัดคุณภาพของ รร ไสหัวไปตายให้หนอนแทะซะไป๊ไอ้ รมต (เซ็นเซอร์) (ท่าน)เคยเรียน รร ที่ห้องนึงอัดนักเรียนหกสิบคนมั้ย การเรียนการสอน(เซ็นเซอร์)ก็ได้แต่อ่านตำราไปวันๆ ครูสอนนักเรียนไม่ทั่วถึงเพราะนักเรียนอัดจนแทบล้นห้อง เลิกเรียนเด็กก้อต้องไปเรียนพิเศษกันอุตลุด แบบนี้เหรอวะคือ รร ที่มีคุณภาพคับแก้วของ(ท่าน)”


และในวันเดียวกันยังเริ่มเกิดการถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการ ซึ่งคลิกอ่านได้ที่นี่(คลิก)



วันที่ 10 พ.ค.

ผู้คนเริ่มแชร์รูปชายซึ่งอ้างว่าเป็น "บิลลี่ โอแกน" กำลังชูกระดาษเขียนข้อความว่า

“เราต่อต้านการยุบโรงเรียน 16000 แห่งทั่วประเทศ โปรดอย่ารังแกเด็ก ที่ต้องการโรงเรียนและการศึกษา รัฐมีหน้าที่จัดหา ไม่ใช่ทำลาย”


หลายคนเริ่มแชร์ข้อความแสดงความคิดเห็นของนักการเมืองบางท่าน ยกตัวอย่างเช่น ความเห็นของรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ คุณติ่ง มัลลิกา บุญมีตระกูล ซึ่งได้โพสลงในเพจ Mallika Boonmeetrakool ของตนว่า

ยุบโรงเรียน : "ฆาตรกรรมอนาคตของเด็กไทยที่ด้อยโอกาส" เหี้ยมจริงไรจริง 

นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ยุคนอมินีทักษิณ ยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เธอทำได้และทำลงไปแล้ว

โรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในข่ายต้องยุบ คือมีนักเรียนน้อย ด้อยคุณภาพ มีโรงเรียนใกล้เคียงที่มีคุณภาพรองรับ เป้าหมายการยุบก็คือ โรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า 60 คน รวม 8,962 แห่ง มีเด็กนักเรียนเกี่ยวข้องนับหมื่นคน เหตุผลก็คือ รัฐบาลไม่มีกำลังและงบประมาณพอ 

วันนี้กำลังถกเถียงทั้งข้อดี ข้อเสีย กับสื่อมวลชนที่พะเยา 100% ไม่เห็นด้วยและทุกคนบอกว่า "มัลลิกาช่วยทำอะไรสักอย่างได้ไหม" ดิฉันคิดว่ารัฐบาลชุดนี้มีปัญหากับคนจน รังเกียจคนรากหญ้า ไม่เข้าใจปัญหาของชาติ และคงไม่เคยรู้ว่าโรงเรียนที่ถูกยุบเหล่านั้น 

"เด็กๆที่ด้อยโอกาส ห่างไกลอยู่แล้ว เขาต้องดิ้นรนหาทางไปโรงเรียนด้วยวิธีใด ต้องหาจักรยานขี่ไปเรียน ไป-กลับ 40 กิโลต่อวันใช่ไหม ทั้งไปไปกลับ พ่อแม่ลำบากไม่มีช่องทางอื่นก็ต้องออกจากโรงเรียน" เอาแบบนั้นใช่ไหม รู้บ้างไหมว่ากำลังทำลายโอกาสคน

การยุบรวมโรงเรียนที่เกิดขึ้น มีการเอาเงินเป็นตัวตั้งเพราะเงินไม่พอ ยิ่งเฉพาะรัฐบาลใช้เงินมหาศาลในสารพัดโครงการก่อสร้าง แต่กลับบอกไม่มีเงินลงทุนด้านการศึกษา

ดิฉันไม่แปลกใจเพราะรู้ถึงวิสัยทัศน์เท่าหางอึ่งของยิ่งลักษณ์และบริวาร ตั้งแต่ตอนเข้ามา 3 เดือนแรกก็ตัดงบประมาณกู้ยืมเรียนของเด็กยากจนไป 50% จากที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งไว้ ที่น่าเศร้าใจ คือ สส.พรรคเพื่อไทยเขตคนยากจน "ยกมือในสภาฯ"ตัดงบเด็ก อย่างไร้มนุษยธรรม 


ชาวเน็ตต่างพากันแสดงความโกรธแค้นอย่างเต็มที่ ยกตัวอย่างความเห็นเช่น

“เอาแท็ปเล็ตคืนไป เอาโรงเรียนคืนมา”

“กู้ 2 ล้านๆ แต่บอกว่าไม่มีเงินสร้างโรงเรียน”

“มันกลัวเด็กฉลาด รู้ทันคนโกง”


นอกจากนั้นยังมีการวาดภาพล้อเลียนแชร์ไปกันสนุกสนาน อาทิเช่น

ภาพจาก ห่วยตูน



ภาพจาก เฮ้ย! นี่มันตัดต่อชัด ชัด




กระแสเทไปที่การถล่ม นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 

จนกระทั่ง เพจ Go6 TV Community Page ได้นำข้อความจากผู้ที่ใช้ชื่อว่า Twentytwo moon มาแชร์  ซึ่งจากการตรวจสอบความน่าเชื่อถือ พบว่าเป็นข้อความจากเฟสบุคของนักข่าวประจำกระทรวงศึกษาธิการของสำนักข่าวแห่งหนึ่งจริงๆ

ข้อความดังกล่าวมีความโดยสรุปว่า ในฐานะที่เป็นผู้ทำข่าวนี้เอง คุณ Twentytwo moonขอบอกว่าข่าวถูกขยายไปจนบิดเบือน จริงๆ เรื่องนี้เป็นประเด็นมานานแล้ว และจะปิดเฉพาะโรงเรียนที่เล็กมากๆ และมีโรงเรียนที่มีมาตรฐานอยู่ใกล้ๆ เพื่อรองรับนักเรียนจากโรงเรียนที่กำลังจะถูกปิดเท่านั้น พร้อมทั้งถามหาจรรยาบรรณของสื่อ ที่เสนอข่าวดังกล่าว


จากนั้นกระแสก็เริ่มกลับทาง...

เพจ ไฟเขียวประเทศไทย ได้โพสกราฟฟิก ซึ่งอ้างข้อความตอนหนึ่งของแถลงการครูรากหญ้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 2 ว่า

"...หลายฝ่ายอาจจะอ้างว่า การลงทุนทางการศึกษา เป็นบริการสาธารณะ เป็นการสร้างจิตวิญญาณของคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่ควรคิดถึงความคุ้มทุน แต่ให้คิดถึงการบริการ การให้ 
แต่ถ้าเราเห็นอยู่ทนโท่ว่า มีวิธีการที่ดีกว่า คุ้มทุนกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า ทำไมไม่ช่วยกันคิดช่วยกันทำให้ดีขึ้น
อย่างกับโรงเรียนที่จังหวัดศรีสะเกษ ที่เป็นข่าวมีนักเรียน 3 คน มีครู 2 คน แต่ไม่มีใครกล้ายุบ รัฐลงทุนต่อหัวไปเท่าไหร่ ต้องบอกว่าบ้ากันทั้งประเทศแล้ว"



เพจ Just another Info. ได้โพสอินโฟกราฟฟิก อธิบาย "แนวคิดปฏิรูปยกระดับโรงเรียนขนาดเล็ก ด้วยการควบรวม" ว่า

1. เพราะปัจจุบันโรงเรียนขนาดเล็ก มีนักเรียน ต่ำกว่า 60 คนครูเพียง 2-3 คน ต้องสองทั้ง ป.1 - 6 ทำให้ต้องสอนรวมกันเป็นห้องเดียว ตามมีตามเกิด ขาดประสิทธิภาพ

2. แนวคิดปฏิรูปยกระดับโรงเรียนขนาดเล็ก ด้วยการควบรวม คือการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก 3-4 โรงเข้าด้วยกัน เพื่อให้มีนักเรียนโรงเรียนละ 200 กว่าคน สามารถแบ่งเรียนได้ตามรำดับชั้น มีครูดูแลมากกว่า 10 คน และมีอุปกรณ์การศึกษาครบถ้วน

3. จากการสำรวจโรงเรียนที่ควบรวมกันจะไม่ห่างกันมากนัก รัฐบาลจะจัดให้มีรถรับส่งเด็กฟรี

4. นักเรียนทุกคนจะได้เรียนในชั้นเรียนเดิม หลักสูตรเดิม และจะได้รับการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น



พร้อมกันนั้นเพจ เชิญมาเป็นชาว "คิด" ยังได้เผยแพร่เอกสาร "การดำเนินงาน รวมโรงเรียนขนาดเล็ก เพื่อรองรับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง" ของสํานักนโยบายและแผน การศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ หรือ สพฐ. (ดูเอกสารคลิกที่นี่)

เมื่ออ่านจากเอกสารดังกล่าว ประกอบกับสัมภาษณ์ รมต.พงศ์เทพในวันที่ 9  ทำให้เราได้ทราบว่าโครงการดังกล่าวเป็นตามที่กราฟฟิกอธิบาย นอกจากนั้นยังระบุชัดในเอกสารว่าโครงการนี้เริ่มขึ้นโดยมติ ครม. วันที่ 27 ตุลาคม 2552

นักข่าวคงไม่จำเป็นต้องบอกว่าสมัยนั้นใครเป็นรัฐบาล... เรื่องนี้นักข่าวจะไม่ยุ่ง... ขอเชิญคุณมัลลิกาไปเคลียร์กับหัวหน้าพรรคให้เรียบร้อย...

กระแสทั้งสองทางยังถูกแชร์อย่างดุเดือดในโลกไซเบอร์ ทั้งดราม่าของคนที่โกรธแค้นรัฐบาลที่คิดสั้นตัดโอกาสการศึกษาของเด็ก และดราม่าจากฝั่งที่โกรธแค้นกับสื่อปั่นกระแสและผู้คนที่รับสารโดยไม่กรองก่อน

โครงการควบรวมโรงเรียนของกระทรวงศึกษาธิการจะเดินหน้าไปต่อได้หรือไม่ รัฐมนตรีพงศ์เทพจะอยู่ครบวาระหรือเปล่า ก่อนโพสคุณมัลลิกาได้พูดคุยกับหัวหน้าพรรคบ้างมั้ย และกระแสการเมืองในโลกไซเบอร์จะเป็นอย่างไร ยังต้องจับตามองต่อไป

สุดท้ายนี้อยากจะทิ้งท้ายว่า "(ได้เห็นจ่าล้อฟรี)ดราม่านี้มันส์จุงเบย"


Phon Petklai 555 อย่างว่า ออกข่่าววันแรกเหมือนตั้งใจให้สื่อด่า ไม่มีรายละเอียด ไม่มีหลักการ 2 วันพึ่งมีคนเอามาชี้แจง ด่าไปซะละ 55
.............................................................................................................................

ยังมีความจริงที่เธอไม่รู้ ฉันคงลืมบอกเธอ ....เงิบ


http://www.facebook.com/media/set/?set=a.452155874878172.1073741827.100002512913494&type=1
.........................................................................................................................


"มันเป็นเรื่องง่ายมากจะพูดว่าคำสั่งยุบโรงเรียนขนาดเล็กในต่างจังหวัดกว่า 6,000 แห่งเพื่อรวม 3-4 โรงเรียนเข้าด้วยกันนั้นนั้นทำลายคุณภาพการศึกษา

แต่มันเป็นเรื่องที่ยากมาก

ที่จะอธิบายต่อไปว่าการมีอยู่ของโรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ส่งผลดีต่อคุณภาพการศึกษาในปัจจุบันอย่างไร

เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่โรงเรียนซึ่งมีนักเรียนไม่ถึง 50 คน จะมีห้องสมุด มีห้องคอมพิวเตอร์ มีสื่อการสอน และสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆที่ดีเทียบเท่าโรงเรียนขนาดกลาง-ใหญ่ ที่มีนักเรียนเป็นร้อยเป็นพันคน

ไม่ต้องพูดถึงปัญหาขาดแคลนครูอันเกิดจากโรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมากที่ต้องการครูที่ดูแลนักเรียนเพียงไม่กี่คนคน ไม่สามารถแยกชั้นปี หรือแยกความเชี่ยวชาญเฉพาะวิชาได้

หรือหากไม่ใช่เพราะในปัจจุบัน คุณภาพของโรงเรียนขนาดเล็กนั้นน้อยจนมองไม่เห็นอนาคตว่าเด็กที่เรียนจะสามารถแข่งขันกับโรงเรียนอื่นๆได้

นอกจากนี้ ความจำเป็นของโรงเรียนขนาดเล็กลดน้อยลงไปทุกทีเมื่อทุกวันนี้เรามีถนนที่ดีขึ้น มีขนส่งมวลชน (เช่นรถสองแถว) มีมอเตอร์ไซค์ และต่างๆอีกมายที่ส่งผลให้คนในชุมชนนิยมส่งลูกไปเรียนโรงเรียนใหญ่ๆจนโรงเรียนใกล้บ้านมีนักเรียนเหลืออยุ่น้อยนิดแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม
แม้ข้อโต้แย้งบางประการจะดูฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย อาทิการที่โจมตีว่ารัฐบาลไม่มีเงินอุดหนุนโรงเรียนแต่มีเงินแจก tablet (เราต้องการให้รัฐบาลเอาเงินไปละลายแม่น้ำกับโรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่มีอนาคตและบั่นทอนโอกาสของเด็กๆด้วยความไร้คุณภาพของโรงเรียน หรือเราจะเอา tablet ที่เป็นอนาคตของการศึกษาเพราะโลกก็จะพัฒนาไปในทางนี้)

แต่ข้อโต้แย้งในรายละเอียดบางประการก็น่ารับฟัง
อาทิ เราจะพัฒนาการขนส่งนักเรียนด้วยรถโรงเรียนอย่างไรเพื่อไม่ให้มีนักเรียนตกหล่นในบางพื้นที่ รถตู้ 1,000 คันจะเพียงพอหรือไม่

และถึงที่สุดแล้วมีโรงเรียนไหนไม่ควรถูกยุบ

โดยส่วนผมมีโอกาสได้รู้จักโรงเรียนเล็กๆแห่งหนึ่งในป่าชายเลนที่หมู่บ้านขาหย่าง อ.ขลุง จ.จันทบุรี ที่มีนักเรียนเพียง 30 คน ทั้งหมดนี้เป็นนักเรียนที่มาจากครอบครัวที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนการเดินทางมหาศาลวันละหลายร้อยบาทเพื่อการส่งลูกเรียนบนฝั่ง ในกรณีนี้ถ้าหากโรงเรียนบ้านขาหย่างถูกยุบ ครอบครัวชาวประมงกว่า 30 ครอบครัวออกจากโอกาสในการศึกษาที่อาจต้องรออีกหลายปีหรือหลายเจเนเรชั่นของตระกูลถึงจะมีเงินเพียงพอที่จะส่งลูกเรียนบนฝั่งได้

แต่ในภาพรวมทั้งหมด
การยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กเป็นสิ่งที่ต้องทำ มันเป็นหนทางหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาเพื่อยกคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้น

จริงๆแล้วนโยบายนี้มีการนำเสนอมาหลายยุคหลายสมัยครับ
แต่รัฐมนตรีบางท่านไม่กล้าตัดสินใจเพราะกังวลคะแนนนิยมทางการเมืองจะลดหายลงไป

.. เพียงแต่รัฐมนตรีคนปัจจุบันนี้แค่ตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้นเอง
... ตั้งแต่เรื่อง "ยกเลิกทรงผมเกรียน" แล้วครับ"

มิตรสหายท่านหนึ่ง

.....................................................................................................................


ผมสงสัยมาตั้งนาน
ว่า "ปฏิบัติธรรม" คืออะไร


.............................................................................................................................

http://www.facebook.com/photo.php?v=10200266045244686



ภาพยนตร์แอนิเมชันตัวอย่างเรื่อง อโยธยา ผลงานอ.ชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์อาร์ต คณะดิจิทัลอาร์ต
จากดำริของดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เมื่อ 4 ปีก่อนท่านได้เดินทางไปชมพระราชวังของรัสเซีย ซึ่งความจริงได้ถูกทำลายลงเมื่อสมัยสงครามนาซี แต่มาบูรณะใหม่ในภายหลังโดยการ research ข้อมูลศิลปกรรม สถาปัตยกรรมทุกอย่าง ดร.อาทิตย์ กล่าวว่า พระราชวังแห่งนี้ทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจจนอยากกลับไปเยือนอีก มีคำถามว่า ถ้าเป็นอยุธยา นักท่องเที่ยวอยากกลับมาชมอีกไหม ซึ่งทุกวันนี้มีแต่ ซากปรักหักพัง และความเสื่อมโทรม จึงมีดำริให้ เนรมิตความเจริญรุ่งเรืองของอยุธยากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เพื่อส่งเสริมเรื่อง ศิลปวัฒนธรรม การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยทำได้ไม่แพ้ชาติใด

.................................................................................................................................


"เหยดดดด แม่งมีคนมาด่าแล้วว่า ที่คนรู้จักแอดมิชชั่นไม่ติด ก็เพราะมีนโยบายยุบ ร.ร.ขนาดเล็ก"

--- มิตรสหายท่านหนึ่งว่าไว้

..................................................................................................................................



เปรียบเทียบกันไปเลยของ โปรโมชั่น Package Internet 3G ของทั้งสามค่ายไม่ว่า AIS, True move H, และ Dtac รักใครชอบใคร เลือชมและพิิจารณากันเองนะครับ
http://www.thaigogenius.com/index.php/it-update/item/3439-compare_pro_internet_3_brand



Kraren Current 3ิิbb น่าใช้สุดนะครับแหม๋


.....................................................................................................................




ดีไซเนอร์หัวใสกับรถไอติมสีสดพลังแสงอาทิตย์

รถคันนี้นอกจากจะฝากข้อคิดเล็กๆ ที่กระตุ้นการใช้พลังงานทางเลือกแล้ว ยังมีจุดเด่นคือ แม้ไม่มีแสงอาทิตย์รถคันนี้ก็วิ่งได้ ผลิตหวานเย็นได้ โดยใช้พลังงงานจากแบตเตอรี่ที่ถูกชาร์ตเก็บไว้เมื่อตอนมีแสงนั่นเอง

............................................................................................................................




นิสัยใจคอ...
อมรากุล อินโอชานนท์

การที่คนเราจะชอบพอหรือคบใครสักคนได้ยาวนานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับนิสัยใจคอของทั้งสองฝ่าย แต่ละฝ่ายมีนิสัยที่ตรงใจ จับใจกันและกันมากกว่าส่วนเสียหรือไม่ รวมทั้งต่างก็ยอมรับและทนกับ 'นิสัยเสีย' ของอีกฝ่ายได้อย่างไม่ทุกข์ทรมานเกินไปนัก

ส่วนใหญ่เท่าที่แตกหักกันไป ก็เพราะความรู้สึกไม่อยากจะทน และการถือเอาข้อเสียของอีกฝ่ายมาเป็นเรื่องใหญ่โดยไม่ยอมมองผ่านๆ ไป ที่สำคัญคือ นิสัยส่วนเสียที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดทางกายหรือทางใจ อย่างเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยาต้องหักสะบั้นลง ถ้าฝ่ายหนึ่งมีนิสัยก้าวร้าว ชอบลงมือลงไม้จนอีกฝ่ายทนไม่ไหว หรือมีความก้าวร้าวทางวาจา ที่ฟาดฟันใจให้เจ็บระบมไม่รู้วาย หรือสร้างความกดดันใจ จนอีกฝ่ายรู้สึกว่า ความภาคภูมิใจในตนเองถูกลดทอนลงเรื่อยๆ

ดังนั้น การที่จะคบใครสักคนเพื่อเป็นเพื่อนรักหรือคู่รักก็ตาม ควรเข้าใจทั้งตัวเองและเข้าใจในตัวอีกฝ่ายหนึ่งให้ถ่องแท้ ในทางจิตวิทยาจะให้ความสำคัญกับ 'ความเก่ง' ในการรักษาสัมพันธภาพได้ยาวนาน มากกว่า 'ความเก่ง' ในการสร้างสัมพันธภาพค่ะ เพราะแค่ยิ้มให้กัน พูดทักทาย พูดจาดีๆ ต่อกันก็เป็นการผูกมิตรแล้ว แต่จะผูกพันให้ยาวนานชนิดต่างคนต่างเรียนจบและจากกันไป หรือเคยทำงานด้วยกันแล้วแยกย้ายกันไป จะด้วยหางานใหม่ทำ หรือเกษียณอายุก็ตาม แล้วยังคงติดต่อ ส่งข่าวคราว ไปมาหาสู่ ยังคงมีความปรารถนาดีหรือคอยช่วยเหลือกันนั้น ต้องอาศัยสายใยรักที่แน่นเหนียวจริงๆ บางคนบอกว่าต้องใช้ใจซื้อใจค่ะ แต่การจะได้ใจใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาพิสูจน์ใจยาวนาน ต้องรู้จักใจของตนเองดีจริงๆ รวมทั้งเข้าใจหัวจิตหัวใจของคนอื่นด้วย

นายแพทย์ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล จิตแพทย์จากกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงนิสัยพื้นฐานของคนเราที่มีความแตกต่างกัน 4 ปัจจัย ได้แก่...

ปัจจัยแรก พื้นฐานของการเป็นคนชอบเข้าสังคม VS ชอบความสันโดษ คนที่ชอบเข้าสังคมจะมีความสุขกับการพบปะพูดคุยกับคนอื่นๆ สนใจคนรอบข้าง ชอบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแสดงอารมณ์ได้อย่างเปิดเผย ในขณะที่คนชอบความสันโดษ มักจะชอบอยู่กับตัวเอง มักเก็บกักความคิดและอารมณ์ของตนเอง จะเปิดเผยก็กับคนสนิทรู้ใจกันจริงๆ เท่านั้น ชอบถ่ายทอดด้วยการเขียนมากกว่าการพูด มีปราการปกป้องตนเองและคอยรักษาระยะห่างกับผู้อื่นไว้เสมอ จึงทำให้เข้าถึงยาก

ปัจจัยที่สอง พื้นฐานของนิสัยการรับรู้ข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม VS รับรู้ข้อมูลจากสิ่งที่อยู่ภายในใจตนเอง พวกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมภายนอก มักจะเป็นคนช่างสังเกต ใส่ใจกับสิ่งที่เป็นรูปธรรม ข้อคิดที่ผ่านการพิสูจน์และการปฏิบัติมาแล้วมากกว่าสิ่งที่เป็นแค่ความคิดเห็น ในขณะที่คนที่สนใจกับข้อมูลภายในจะชอบคิดจินตนาการ คิดเชื่อมโยง ชอบคิดค้นอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ และสร้างหลักคิดของตนเอง

ปัจจัยที่สาม พื้นฐานในการตัดสินใจด้วยเหตุและผล VS การตัดสินด้วยใจ พวกที่ชอบตัดสินด้วยเหตุผลก็เปรียบเสมือนการใช้หลักกฎหมาย ที่ใช้การคิดวิเคราะห์ เน้นข้อมูล หลักฐาน และหลักการในการตัดสิน ส่วนพวกที่ชอบตัดสินด้วยใจ จะเปรียบเสมือนการใช้หลักรัฐศาสตร์ คือ คำนึงถึงความรู้สึกของคนเป็นหลัก ใส่ใจคนมากกว่าปัจจัยภายนอก และมักจะเอาตัวเข้าไปพัวพันกับเรื่องที่ต้องตัดสินใจจนแยกกันไม่ออก จนบางครั้งก็ไม่สามารถก้าวผ่านอคติ หรือฉันทาคติของตนเองได้

ปัจจัยที่สี่ พื้นฐานนิสัยในการจัดการกับชีวิตอย่างมีระบบ VS จัดการชีวิตแบบไร้รูปแบบ คนที่มีระบบระเบียบในการจัดการกับชีวิต มักมีเป้าหมายชัดเจน มีการวางแผนทั้งแผนหลัก แผนรอง แผนสำรอง ชอบคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วคิดวิธีจัดการเอาไว้เสร็จสรรพ เป็นลักษณะของคนที่ชอบความมั่นคง ส่วนคนที่จัดการชีวิตชนิดไร้รูปแบบนั้น เป็นลักษณะของคนที่ชอบความท้าทาย สนุกกับความแปลกใหม่และมีความยืดหยุ่นในตัวเองสูง เป็นลักษณะของคนที่ชอบใช้ไหวพริบปฏิภาณ

คนเรามีลักษณะพื้นฐานทั้ง 4 แบบ ขึ้นอยู่กับว่ามีแบบไหนมากกว่ากัน แล้วผสมผสานรูปแบบทั้งสี่ขึ้นมาเป็นบุคลิกภาพของแต่ละคน ซึ่งแบ่งออกมาเป็นบุคลิกภาพแบบนักอนุรักษ์ นักผจญภัย นักคิด และนักสร้างสัมพันธ์ แต่ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกภาพแบบใด แต่ละแบบย่อมมีจุดดี จุดด้อยในตัว เจ้าของบุคลิกภาพต้องรู้วิธีเสริมจุดเด่น ขจัดจุดด้อยของตนเอง และรู้กลยุทธ์เชิดชูจุดเด่นและช่วยลดจุดด้อยของคนอื่นด้วย จึงจะเป็นการคบกันแบบกัลยาณมิตรค่ะ และการคบกันแบบกัลยาณมิตรนี่แหละ จะช่วยทำให้สัมพันธภาพยืนยาวและยั่งยืน

คอลัมน์ Happiness, อมรากุล อินโอชานนท์
กรุงเทพธุรกิจ-กายใจ, ๙ มีนาคม ๒๕๕๑

.......................................................................................................................


ประเด็นไปไกลแล้วครับ
สุดกู่จริงๆ คนที่ไม่คิดอะไรไกลๆ ก็โพสกันไป

วันนี้ ล่าสุด เมื่อข้อมูลออกมาชัดเจน
ว่า "การรวบ รวมโรงเรียน" เกิดขึ้นทั้งในสมัยรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์
และ มีลงพื้นที่ สำรวจ แก้ไข ปรับขนาดโรงเรียนกันมา กว่า "๒๐ ปี" แล้ว

เค้าไม่ยุบ "โรงเรียนห่างไกลความเจริญ" แม้มีเด็กแค่ 5-10 คนก็ตาม

แรกๆ ก็ออกมาด่ากัน
ว่า "ยุบโรงเรียน" ทำไม บลาๆ ๆ ๆๆๆ
นึกว่าเป็นนโยบายรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์

ตอนนี้ พอทราบข้อมูล ก็ออกมา "แถ" อีกแบบ

ว่า "เนี่ย...รู้ว่าไม่ดี แล้วทำไมไม่หยุดโครงการ ทำไมถึงทำต่อ..ยุบต่อ.."

บอกอะไรให้นะครับ
"นักการเมือง" พรรคที่เค้ามาจาก "ประชาชน"
เค้าไม่ "เล่นการเมือง" อย่างเดียว

อะไรที่ "มันมีแนวทางที่ดีอยู่แล้ว" ในสายตาเค้า
เค้าก็ "ทำต่อ" โดยไม่มานั่งดิสเครดิต "รัฐบาลเก่า" หรอกครับ

สมัยท่านยุบเอาๆ เค้ายังไม่โวยวายเลย หากเป็นนโยบายที่จำเป็น
และทำเพื่อเพิ่มศักยภาพการศึกษา ไม่ใช่ลดศักยภาพ

-------------------------------------------------

ลองใช้วิจารณญาณ และความเป็นจริง ในการมองอะไรๆ

หรือง่ายๆ เริ่มจาก
ลองคิดว่าต้องส่ง "ลูกหลาน" ไปเรียน
ในระดับโรงเรียนประถม ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง
ในโรงเรียนที่ใกล้กัน ไม่ไกลกันมาก
โดยที่ โรงเรียนหนึ่ง มีครู 2 คน เด็ก 8 คน
อีกโรงเรียน มีครู 5 คน เด็ก 50 คน มีขนาดใหญ่กว่า

คิดแบบไม่อคติ ก็ตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ง่ายๆครั
"ครูส่วนใหญ่" ของประเทศ ทราบดีครับ
ความเป็นมา ที่มาที่ไป
ของเรื่อง "การปรับขนาดสถานศึกษา" และ "รวบโรงเรียน"
----------------------------------------------------

......................................................................................................................




มาตรวจสอบกันว่า เพื่อนๆมีโอกาสเสี่ยง
เป็น "มะเร้งลำไส้ใหญ่" หรือไม่
รู้ก่อน ปลอดภัยกว่าค่ะ

เครดิตตามภาพ

คลินิกจันทน์ ตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนจี
https://www.facebook.com/ChinMed/app_137541772984354

...........................................................................................................................


จำได้ว่าสมัยเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เคยนั่งฟัง ASTV คลื่น 97.75 fm (เราเป็นแฟนพันธุ์แท้แป๊ะลิ้มมาก่อนนะ ฮ่าๆ) มันเคยยกตัวอย่างเมือง Rio de Janeiro ของบราซิลบอกว่าผู้ว่าการเมืองริโอมาจากการเลือกตั้งตลอด แต่เมืองนี้คนจนเยอะ ทำให้ผลเลือกตั้งออกมาแบบโง่ๆ ได้ผู้ว่าฝ่ายซ้าย ประชานิยม การบริหารเมืองล้มเหลว เมืองมีสลัมมากมาย เหมือนทักษิณที่มาจากการเลือกตั้งบลาๆๆๆ .... วันนี้พอดีเจอเพื่อนของเพื่อนที่เป็นคน Brazilian ที่มาเรียน marine science ที่นี่ เค้าบอกช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาเมือง Rio de Janeiro พัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดดมาก คนในสลัมมีชีวิตดีขึ้นมาก real estate ย่านสลัมมีมูลค่าสูงขึ้นแบบเท่าตัว เพราะมีการปรับปรุงพื้นที่ และการรักษาความปลอดภัย ประกอบกับตรงย่านที่เป็นสลัมมันตั้งอยู่บนเนินเขา ทำให้มีวิวที่สวยด้วย ... พอฟังจบปุ๊ป มานึกถึง กรุงทเพฯ เมืองที่หลายคนพยายามบอกว่า คนดี คนมีการศึกษาเป็นเสียงส่วนใหญ่ แต่สลัมเป็นแบบไหนก็เป็นแบบนั้นไม่เปลี่ยน หุๆ

.......................................................................................................................


มุมมอง ทูต "มองโกเลีย" ต่อสปีชสุดฮอตของ "นายกฯยิ่งลักษณ์"


เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม นายชิมิดดอร์จ บัตทูเมอร์ (H.E. Mr. Chimeddorj Battumur) เอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงกรณีการเยือนมองโกเลียล่าสุดของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยว่า สำหรับตนนั้นไม่สามารถให้ความเห็นต่อสปีชของนายกรัฐมนตรีไทยได้ นายกรัฐมนตรีไทยไปเยือนมองโกเลียอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของการประชุม ซึ่งนอกจากนายกฯไทยแล้ว ทางรัฐบาลมองโกเลีย ซึ่งทำหน้าที่ประธานก็ได้เชิญตัวแทนรัฐระดับสูง และนักการเมืองที่มีชื่อเสียงไปร่วมงานด้วย

"แต่แขกสำคัญที่มาร่วมการประชุมเวทีประชาคมประชาธิปไตยเหล่านี้มาพูดถึงสถานการณ์ประชาธิปไตยในประเทศของตนเอง มาแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับประชาธิปไตยร่วมกัน เพราะแต่ละประเทศมีปัญหาภายในของตนในการเดินไปสู่ประชาธิปไตย ตัวแทนพม่ามาก็บอกสถานการณ์ในประเทศพม่า ไนจีเรียก็พูดเรื่องประเทศของตน จอร์เจียก็พูดสถานการณ์ของเขา เราแค่ต้องการเป็นตัวกลางแชร์ปัญหาเหล่านี้
"นายบัตทูเมอร์กล่าว


ต่อประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองของไทยที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศของไทยหรือไม่ ท่านทูตกล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 10 เดือนที่มาเป็นทูตที่นี่ ยังไม่เห็นว่าความขัดแย้งทางการเมืองในไทยจะเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศของไทย และไม่คิดว่าเป็นปัญหาต่อการพัฒนาของไทยในเชิงเศรษฐกิจด้วย

"ที่จริงการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทำให้ระบอบประชาธิปไตยเติบโต นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดาของระบบประชาธิปไตยที่ต้องมีฝ่ายหนึ่งออกมาวิพากษ์ หรือมีฝ่ายหนึ่งออกมาตรวจสอบหรือถ่วงดุล ระบบจึงจะแข็งแรง"เอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทยกล่าว

ส่วนคำแถลงการณ์ตอบโต้ และชี้แจงของพรรคประชาธิปัตย์ ต่อกรณีคำกล่าวสุนทรพจน์ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายชิมิดดอร์จกล่าวว่า ไม่ได้ประหลาดใจอะไรกับเอกสารชี้แจงดังกล่าวที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะได้เห็นแล้วจากข่าวว่าจะมีจดหมายมาถึง ทั้งนี้ ได้รับเอกสารแล้วตั้งแต่วานนี้ ซึ่งมีเนื้อความ 2 หน้า โดยในจดหมายดังกล่าว ได้ขอให้ทางสถานทูตส่งต่อไปยังรัฐบาลมองโกเลีย และตนก็ได้ส่งเอกสารไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วานนี้ (9 พ.ค.)

ทั้งนี้ เขาระบุว่า มองโกเลีย ภาคภูมิใจในการเป็นประธานการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 4 ของเวทีประชาคมประชาธิปไตยที่ผ่านมามาก ในฐานะประเทศประชาธิปไตย นี่คือหน้าที่ที่สำคัญมาก เพราะได้ต้อนรับแขกระดับสูงจากทั่วโลกมาพูดเรื่องประชาธิปไตยในประเทศของเรา และเป็นเจ้าภาพงานเวทีระดับนานาชาติที่มีคนมาร่วมราว 3,000 คน และมีตัวแทนมาจากประเทศต่างๆ มากถึง 110 ประเทศ
....................................................................................................................


หน้าที่ของผู้บริโภคสื่อ ฉลาดให้มากกว่าคนทำสื่อ 10 เท่า

..................................................................................................................




(May 9) คำต่อคำ "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าฯธปท.เข้าชี้แจงต่อ กรรมาธิการพิจารณาร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท : หมายเหตุ – นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศพ.ศ. ....หรือ พ.ร.บ.การกู้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ที่มีนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีเนื้อหาที่กรรมาธิการของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านซักถาม และคำตอบจากผู้ว่าการ ธปท.ที่น่าสนใจดังนี้

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ถาม – การกู้เงินในระยะเวลา 7ปี เฉลี่ยปีละ 3แสนล้านบาท ซึ่งจะมีการเริ่มกู้จริงในปลายปี 2556 ตามที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)บอกว่าไม่กระทบการจัดงบประมาณสมดุลตามแผนที่วางไว้นั้น ในมุมมองของธปท.ประเมินผลกระทบในเรื่องนี้อย่างไร รัฐบาลจะจัดสมดุลงบประมาณได้จริงหรือไม่

นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ถาม – การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจะกระทบต่อสภาพคล่องในระบบหรือไม่ ถ้าสภาพคล่องเปลี่ยนแปลงจะมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอย่างไร สมมติฐานภาระดอกเบี้ยของสบน.ที่ 5% ต่อปีจะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะในอดีตถ้าเศรษฐกิจมีการขยายตัว(จีดีพี)ดีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อาจจะเพิ่มเป็น 8% หรือ9% หรือ 10% ก็ได้ มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่การขาดทุนของธปท.จะเพิ่มมากไปถึง 1 ล้านล้านบาท

นายประสาร ตอบ - การดูแลสภาพคล่องของธปท. ตามหลักจะดูแลปริมาณเงินให้สมดุลกับเศรษฐกิจจริง เพราะถ้าปล่อยให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มมากเกินไป เงินเฟ้อหรือราคาอาจจะเปลี่ยนแปลง สินค้าจะเพิ่มขึ้น ธปท.จึงต้องดูแลให้เหมาะสม ในทางกลับกันถ้าสภาพคล่องขาดธปท.ก็จะคลายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งธปท.จะทำแบบตั้งรับ คือ ให้น้ำหรือปริมาณเงินในระบบเอ่อล้นขอบสระ ไม่ใช่ตั้งเครื่องสูบน้ำดูด เพราะธปท.ไม่ใช่ภาคธุรกิจเอกชนหรือธนาคารพาณิชย์ที่ต้องหากำไรเป็นหลัก

ธปท.จะรอจนสิ้นวันธนาคารปิด ดูว่ามีเงินเหลือหรือล้นมาจากขอบสระหรือไม่ แล้วค่อยดูดซับสภาพคล่องเฉพาะส่วนที่ล้นออกจากขอบสระเท่านั้น โดยการออกพันธบัตร ธปท.มาดูดซับระยะ 7 วัน 3 เดือน ฯลฯ เพื่อไม่ให้สภาพคล่องมีมากเกินไปจนเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ปัจจุบันธปท.ก็ดูดซับไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อรักษาสมดุล

ถ้ามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น มีการลงทุนจริง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อซื้อสินค้าในประเทศ หรือซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่ต้องนำเข้า ก็มีส่วนช่วยในการดูแลปริมาณสภาพคล่องในระบบเช่นกัน ยิ่งในช่วงที่ปริมาณเงินไหลเข้ามามากการลงทุนจะช่วยสร้างสมดุลเงินไหลเข้าได้

แต่กิจกรรมที่พูดถึงนี้ คือ การลงทุนการซื้อไป ต้องเป็นไปเพื่อก่อให้เกิดผลิตผล ซึ่งการกู้เงินเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของประเทศเป็นเรื่องที่ดี ในหลักการนี้ธปท.เห็นด้วย แต่การใช้การใช้เงินลงทุนให้มีประสิทธิภาพก็ต้องดูให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในที่นี้ ในระยะ 10 -50 ปี สมมติฐานดอกเบี้ยที่ 5% จะเป็นไปได้หรือไม่นั้น คงไม่มีใครทายได้แม่นยำ แต่ถ้าจะดูพอเป็นแนวทางก็พอดูได้ ซึ่งถามว่าดอกเบี้ยที่สมมุติฐาน 5% หากดูจากอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว 48 ปี ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่บริษัทประกันชีวิตเป็นผู้ลงทุนนั้น มีอัตราดอกเบี้ยผลตอบแทนอยู่ที่ 4.27% ถ้าวันนี้ซื้อพันธบัตรล็อคดอกเบี้ยผลตอบแทนยาวไว้ 48 ปี ก็จะได้ดอกเบี้ยที่ 4.27%

ฉะนั้น การใช้สมมติฐานดอกเบี้ย 5% ก็พอคิดได้ มีที่มาที่ไป ถ้าถามว่าพอใช้ระยะเวลากู้ 50 ปี ดอกเบี้ยนี้จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ต้องยอมรับว่ามีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสูงขึ้นและต่ำลง เพราะหากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจเปลี่ยนไปกลัวว่าเงินเฟ้อในอนาคตจะสูงขึ้นได้อีก เขาก็อาจจะไม่พอใจดอกเบี้ยที่ 4.27% ก็ได้ เพราการซื้อลงทุนยาว 48% เหมือนซื้อสัญญาล่วงหน้าจากความเชื่อมั่น แต่ถ้าไม่เชื่อมั่นมันย่อมเปลี่ยนแปลงได้

การที่นักลงทุนจะมองดอกเบี้ยไปในทางสูงขึ้น คือ มองเศรษฐกิจโตดีตามคาด เศรษฐกิจมีวินัยทางการเงิน ก็มีโอกาสที่ดอกเบี้ยจะสูงเกิน 5% ได้อย่างมากกมาย หรือถ้าตลาดการเงินมีสัญญาณมากระทบนักลงทุนขาดความน่าเชื่อถือในเศรษฐกิจและการคาดการณ์เงินเฟ้อข้างหน้าว่าอาจจะไม่อยู่ในระดับที่คาด ดอกเบี้ยก็อาจจะกระโดดจาก 4.27% ได้เช่นกัน แต่ขอเรียนว่าภาวะการเงินในปัจจุบันมีความเชื่อมั่นสูงและตราบใดที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ โครงสร้างเศรษฐกิจ และภาวะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยระยะยาวก็อาจจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

ส่วนดอกเบี้ยนโยบาย 1 วันเป็นดอกเบี้ยระยะสั้น ที่ส่งสัญญาณต่อตลาดการเงิน แต่ดอกเบี้ยไว้กู้ลงทุนจะเป็นการดอกเบี้ยระยะยาว ซึ่งการลดดอดเบี้ยระยะสั้นไม่ได้แปลว่าดอกเบี้ยระยะยาวจะลดลง ถ้าคำอธิบายไม่ดี เช่น ถ้าเศรษฐกิจร้อนแรงไปลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ถามว่าว่าดอกเบี้ยระยะยาวจะลงไหม มันน่าจะขึ้นมากกว่า ฉะนั้น สิ่งสำคัญเราต้องรักษาความเชื่อมั่นให้ได้เพราะเป็นสิ่งที่นักลงทุนมองและให้ความสำคัญ

นายเจือ ราชสีห์ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ถาม - ถ้าเป็นสถาบันการเงินการจะให้กู้โครงการนี้หรือไม่ ดูจากอะไรเป็นสำคัญ และโครงการ 2 ล้านล้านบาท ที่จะเอาไปลงทุนเช่นนี้ ถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือน่าจะให้กู้หรือไม่

นายประสาร ตอบ - การให้กู้เงินสิ่งสำคัญที่สถาบันการเงินจะเลือก คือ เลือกเงื่อนไขที่ดีที่สุด ให้ได้เงินคืนและได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ อย่าไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาเงินทุนไหลเข้ามาในไทยเยอะ ถ้าเอาเงินนี้มาใช้ก็น่าจะช่วยแบ่งเบาภาระการดูแลสภาพคล่องของธปท.ได้ด้วย แต่การจะเอามากู้ลงทุนหรือไม่ คงต้องดูต้นทุนการกู้ที่เหมาะสมด้วย แต่สำหรับผมการจะกู้มาลงทุนหรือไม่ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ประโยชน์และประสิทธิภาพที่จะได้จากการลงทุนที่จะมาเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิผลของประเทศ การยกระดับการแข่งขันของประเทศมากกว่า

ทั้งนี้ ในปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจโลกมีหลายดุลยภาพ พอแบ่งได้ 3 ดุลยภาพ คือ 1.กลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวในระดับที่ดี เช่น ไทย จีน ที่ยังสามารถเติบโตได้ 2.กลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่เติบโต 0% เช่น ยุโรป และ3.กลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว อย่างสหรัฐ และญี่ปุ่น ที่โตระดับ 1-2% ในภาวะนี้ที่โลกมีดุลยภาพที่แตกต่างกัน

ไทยก็อยู่ในกลุ่มแรกทำให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลมาไม่น้อย การจะทำให้เงินทุนไหลเข้ามาน้อยลง การจะให้ดอกเบี้ยรับภาระตรงนี้อาจจะไม่ได้ผล การรับมือควรมีการผสมผสานหลายเครื่องมือ ซึ่งในส่วนนี้กระทรวงการคลังและธปท.ไม่ได้เห็นแตกต่างกัน เพียงแต่การให้น้ำหนักในแต่ละเครื่องมือ อาจจะแตกต่างกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วโลก

ในภาวะนี้จะใช้ดอกเบี้ยหรือมาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้าเป็นเครื่องมือในการดูแลให้เกิดสมดุลเงินทุนไหลเข้าออกไม่ให้กระทบอัตราแลกเปลี่ยนั้น ต้องดูให้เกิดความสมดุล เพราะโลกแยกเป็น 3 ดุลภาพ และดอกเบี้ยถูกใช้ให้รับภาระกิจสำคัญในการดูแลดุลยภาพในประเทศ การจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่านั้น อย่าลืมว่า แม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง ที่จะสามารถใช้ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้ายได้

แต่ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยมีภาระหนักที่จะต้องดูแลเศรษฐกิจในประเทศ และถือเป็นความยากลำบากของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ที่ปัจจุบันต้องพยายามรักษาดุลยภาพในประเทศ ขณะเดียวกันเงินทุนไหลเข้าก็ถูกมองให้เป็นภาระหนักของดอกเบี้ยด้วย เพราะต้องไปดูแลเงินทุนไหลเข้าด้วย

อย่างไรก็ตาม เงินทุนเคลื่อนย้ายต้องดูจากหลายปัจจัย ดอกเบี้ยก็เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน แต่มองว่าเรื่องการเข้ามาเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนคิดเป็นเปอร์เช็นต์ผลตอบแทนเทียบกับดอกเบี้ยแล้วสูงกว่ามาก

ส่วนการกู้มาลงทุน 2 ล้านล้านบาทควรกู้ในประเทศหรือต่างประเทศนั้น อาจจะไม่แตกต่าง เพราะดอกเบี้ยในประเทศไม่ได้ต่างจากดอกเบี้ยในต่างปนะเทศมากนัก หากต้องบวกการซื้อสัญญาความเสี่ยงล่วงหน้าจากอัตราแลกเปลี่ยนจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกเข้าไปด้วย เหมือนที่ธุกิจขนาดใหญ่ยอมซื้อป้องกันความเสี่ยงการไปลงทุนในธุรกิจขนาดใหญ่ในสิงคโปร์เป็นต้น ซึ่งคิดว่าการกู้ต้นทุนที่เหมาะสม สบน.น่าจะดูต้นทุนและทางเลือกที่เหมาะสมอยู่แล้ว

นายสมชัย จิตสุชน ผอ.วิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ถาม – การกู้เงินตามพ.ร.บ.ดังกล่าวนี้จะมีผลต่อสภาพคล่องในระบบและอัตราดอกเบี้ยอย่างไร และ การเข้าสู่สมดุลตามแผนที่สบน.ชี้แจงนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะภาระดอกเบี้ยจากการกู้อาจจะเพิ่มขึ้นได้

นายประสาร ตอบ - สำหรับการกู้เงินจำนวนมากจะเป็นภาระกับงบประมาณประจำหรือไม่ ทำให้การจัดงบเข้าสู่สมดุลไม่ทำงบขาดดุลได้หรือไม่นั้น ถ้ามีการกู้และใช้งบประจำก็ยังทำได้ตามแผน แต่ถ้าไม่ได้ตามที่คาดก็อาจจะเกิดการผิดคาดได้ ส่วนจะเกิดการเบียดแย่งสภาพคล่องเงินกู้ระหว่างรัฐกับเอกชนหรือไม่นั้น ธปท.ยังไม่ได้ดูละเอียดต้องขอไปดูในรายละเอียดก่อน

สำหรับระดับหนี้สาธารณะ ถ้าดูจากแผนการลงทุนที่จะกู้เงินเฉลี่ยปีละ 3 แสนล้านบาท ในระยะเวลาประมาณ 7 ปี ตามที่ สบน.บอก ขณะนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่ากังวลอะไร แต่ถ้าเรามีรายจ่ายอื่นในอนาคตที่ไม่ปรากฏหรือที่เรียกการคลังแอบแฝง เช่น การประกันสุขภาพถ้วนหน้าในวันข้างหน้าอาจจะต้องจัดงบเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทิภาพการรักษาในส่วนนี้ หรือการที่ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งส่วนนี้อาจจะมีงบประมาณชดเชยให้ ซึ่งตัวเลขระดับหนี้อาจจะเปลี่ยนได้ ขณะที่ผลการจัดเก็บงบประมาณก็เปลี่ยนได้ ซึ่งปัญหานี้เคยทำให้บางประเทศมีภาวะคาดไม่ถึงมาแล้วก็มี เช่น สหรัฐที่เดิมมีหนี้สาธารณะเพียง 46% ของจีดีพี แต่มีปัญหาเลเมนบาร์เทอร์หนี้พุ่งเป็นเกิน 80%กว่า จนต้องมีเครื่องมือการเงินพิเศษมาใช้ถึงทุกวันนี้

นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถาม – หลังจากมีเงินทุนไหลเข้าจำนวนมากแล้ว มีโอกาสหรือไม่ ที่เงินทุนต่างชาติจะไหลออก และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบันที่จะพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตของประเทศควรลงทุนในด้านใด และธปท.คิดว่าการลงทุนจะช่วยมีผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศปีนี้อย่างไร

นายประสาร ตอบ - เงินทุนมีโอกาสเคลื่อนย้ายได้เสมอ เป็นไปตามความเชื่อมั่น ตราบใดที่นักลงทุนยังเชื่อมั่นเงินทุนอาจจะยังไม่เคลื่อนย้ายแก ส่วนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศมีการลงทุนดีๆในหลายด้สย ธปท.อาจจะมีความรู้จำกัด แต่ทุกอย่างที่เพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับการพัฒนาประเทศถือเป็นเรื่องที่ดี เช่น การพัฒนาการศึกษา ระบบขนส่ง ฯลฯ

ส่วนผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศอาจจะยังไม่เห็นในปีนี้ เพราะโครงการน่าจะเริ่มได้ประมาณปลายปี และในปี 2557 ตามที่สบน.บอก เพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มดำเนินการ

นายชัย ชิดชอบ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ถาม - ปัจจุบันเงินสำรองประเทศมีจำนวนเท่าไร เพียงพอหรือไม่ ธปท.สามารถอนุมัติเบิกจ่ายได้เท่าไหร่ และมีกฎหมายให้นำเงินสำรองฯออกมาใช้ลงทุนทำถนนพัฒนาประเทศได้หรือไม่ และเงินคงคลังของหลวงตามหาบัวฯปัจจุบันมีเท่าไหร่

นายประสาร ตอบ - สำหรับเงินสำรองฯปัจจุบันไม่รวมภาระซื้อล่วงหน้ามีประมาณ 1.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และทองคำในทุนสำรองมีประมาณ 150 ตัน และทองคำของหลวงตามีประมาณ 13 ตัน การรักษาทุนสำรองประเทศมีการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และถือในสกุลหลัก6 สกุล เพื่อจากเดิมที่ถือ 4 สกุล คือ เงินเหรียญสหรัฐ ยูโร ปอนด์ และเยน และเพิ่มมาถือดอลลาร์ออสเตรีย และดอลลาร์แคนนาดาด้วย เพราะ 4 สกุลหลักที่ถืออยู่เดิมผลตอบแทนต่ำ ลงทุนปัจจุบันได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ประมาณ 3%

ส่วนเงินสำรองจะเอามาใช้ได้หรือไม่นั้น ถ้ามีเงินมาแลกก็เอาไปใช้ได้ เพราะสินทรัพย์ที่ธปท.ถืออยู่เป็นสินทรัพย์ต่างประเทศ ปัจจุบันมีกรรมสิทธ์ที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้น พันธบัตร หรือลงทุนโดยตรงรวมทั้งหมดที่แลกเป็นเงินบาทเข้ามามีประมาณ 3 แสนล้านบาท ส่วนสำรองที่หนุนหลังธนบัตรออกใช้มีประมาณ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ถามว่าถ้าเกิดวิกฤตจะรับไหวหรือไม่ เข้าใจว่าถ้าเกิดจริงในส่วนของ 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐคงไม่ออกพร้อมกันทันที เพราะส่วนที่เป็นโรงการเป็นธุรกิจลงทุนโดยตรงที่ต่างชาติเข้ามคงไม่สามารถขายกิจการเอาเงินออกได้ทันที ฉะนั้น เงินออก 1 ใน 3 น่าจะรับ

ส่วนบัญชีเงินสำรองของรัฐบาลที่เปิดบัญชีฝากไว้ที่ธปท. ส่วนใหญ่จะมีจำนวนที่ค้างไว้ไม่มาก เพราะเหมือนบัญชีเผื่อเรียก จะเข้ามาฝากมากเฉพาะช่วงที่มีเก็บภาษีได้มาก

อย่างไรก็ตาม ปริมาณเงินสภาพคล่องหมุนเวียนในระบบมีเพียงพอ เพราะถ้าจีดีพีโต 5% บวกเงินเฟ้อที่ 3 % ก็เท่ากับว่าเศรษฐกิจจริงจะมีความต้องการเงินเพิ่มขึ้น 8% ซึ่งธปท.จะดูแลให้เพียงพอกับเศรษฐกิจจริงเท่นั้น เพราะถ้าให้มีมากไปก็กระทบต่อเศรษฐกิจในอนาคตได้

การช่วยให้ดอกเบี้ยพันบัตรไม่เพิ่ม ให้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.27% จะช่วยลดต้นทุนรัฐบาลได้มากทีเดียว แต่ในความเป็นจริงดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กบความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งสิ่งที่ธปท.ทำได้ คือ รักษาความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้มีความน่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้การคาดการณ์ดอกเบี้ยหรือเงินเฟ้อในอนาคตเปลี่ยนแปลงมากเกินไป

อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับความสมดุลของดีมานด์และซัพพลายของเงินในอนาคตด้วย ซึ่งถ้านักลงทุนเชื่อมั่น เศรษฐกิจมีวินัย ดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 48 ปี ก็อาจจะอยู่ที่ระดับ 4.27% ได้ แต่โอกาสก็เป็นไปได้น้อย แต่ดอกเบี้ยระดับนี้ถือว่าต่ำ ถ้าเทียบการเติบโตที่ระดับ 5% และบวกเงินเฟ้อที่ระดับ 3% เพราะเศรษฐกิจมีโอกาสเติบโตได้ในระยะต่อไป เช่นเดียวกันการที่เศรษฐกิจดีค่าเงินบาทก็มีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้น อย่างเมื่อปี 2539 -2540 ที่ค่าเงินบาทอยู่ที่ 50 กว่าบาท แต่ปัจจุบันผ่านไป 15-16 ปี เงินบาทกลับมาอยู่ที่ 28- 29 บาทใกล้ระดับที่เคยอยู่ที่ 27 บาทกว่าๆเมือนก่อนวิกฤตปี 2540 ก็เป็นไปได้ เพราะเงินมันสวิงได้ เปลี่ยนแปลงได้

ไม่แน่ว่าอีก 15 ปีข้างหน้า มีผู้ว่าการคนใหม่ที่ไม่ใช่ผมแล้วอาจจะมานั่งชี้แจงการเปลี่ยนของค่าเงินในลักษณะนี้อีกก็เป็นได้ ดังนั้น สิ่งที่ธปท.ทำได้ดีที่สุดคือการรักษาความน่าเชื่อถือทางการเงินเพื่อไม่ให้คนหรือนักลงทุนคาดการณืไปมากกว่าความจริงจนเกิดการรืเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป

Source: Posttoday

.................................................................................................................

จากความเห็น: คุณ Kittima Mekhabunchakij 

สำหรับประเด็น เรื่องยุบรวม... เป็นผลมาจากแผนปฎิบัติการ ตั้งแต่ปี 2550 (หน้า 127 ข้อ 4):

แผนพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก... รร.ขนาดเล็ก-ประเภทยุบรวม เพราะ 
[1] ประชาชนขาดศรัทธา
[2] ไม่คุ้มทุน
[3] มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า

(วิทยานิพนธ์ ป.เอก - รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงงเรียนขนาดเล็ก)
http://www.thapra.lib.su.ac.th/objects/thesis/fulltext/snamcn/Khattiya_Duangsamran_Doctor/Fulltext.pdf 

และมีการศึกษามากมาย ในเรื่องปัญหาและทางเลือกที่ดีกว่า... ที่นี่ค่ะ
http://www.prapasara.co.uk/EducationalAdministrationResearch1.html

-----

การปฏิรูปการศึกษา (Edu Reform) ต้องการ :- 
(1) คนคุณภาพ (เพื่อทิศทางที่ดีที่สุด)
(2) ความรอบรู้ (+การแก้ปัญหา เพื่ออนาคตในระยะยาว ที่ implementable)
(3) คนกล้า (โดนด่าก้อยอม.....)
#Catalyst-for-Change ค่ะ (ไม่ใช่ ประเภทที่อ่านสองบรรทัดแล้ว สร้างนิยายเป็นวา เหมือน สองวันที่ผ่านมา.......)
.............................................................................................................................

555++



Medgo Nateeprasittipon คิดอยู่ตั้งนาน ว่าผิดตรงไหน....

0/0 ไม่ใช่จำนวนตรรกยะนี่นา ดังนั้นกำหนดให้ 0/0 = 100-100 / 100-100 ไม่ได้

เพราะว่าจำนวนตรรกยะต้องเขียนในรูปเศษส่วนที่มีตัวส่วนมากกว่า 0 ได้


....รึเปล่าครับ



Supapong Wanitpongpan สำหรับจำนวนจริง 0/0 ไม่นิยามอ่ะครับ 
แต่เห็นล่าสุดมีเรื่องอะไรจำไม่ได้ละ 0/0 ได้ด้วย 
เพิ่มความซับซ้อนขึ้นมาอีก



Ahiru Ped ไอ้ตอนที่ใช้ผลต่างกำลังสอง
a2 - b2 = (a + b)(a - b)

มันมีนิยามที่บอกว่า a กับ b ต้องไม่เท่ากันหรือเปล่านิ



Supapong Wanitpongpan ไม่เคยได้ยินว่ามีข้อจำกัดนี้นะ




Ahiru Ped ผมว่า ตรงนี้น่าสงสัยที่สุด




พิชิต แสผักแว่น ตกลงตอบ 2 นี่ถูกไหมครับ หรือว่ากำลังหากันว่าทำผิดตรงไหน




พิชิต แสผักแว่น จากความคิดของผมนะครับ ถ้าดูจากขั้นตอนการทำผมว่าการแทนที่ 0 ด้วย 100-100 น่าจะเป็นไปได้ครับเพราะคำตอบที่ได้เท่ากับ 0 แต่น่าจะผิดในขั้นตอนการตัดตรงบรรทัดที่3มากกว่า เพราะว่า 10.10 - 10.10 มันมันต้องมีวงเล็บเเบบนี้ (10.10) - (10.10) ด้วยรึเปล่า (ผมลองทำไปทำมาก็ไม่ได้ 2 ซะที ถ้ารู้คำตอบช่วยเฉลยด้วยนะครับ) .....แต่หลังจากที่ผมลองใช้วิธีหารยาว(คิดไรไม่ออก) มันก็เลยคิดได้ว่าเป็นไปได้ไหมที่คำตอบจะเป็นอินฟินิตี้เพราะ 0 คูณจำนวนใดๆก็เท่ากับศูนย์ แต่ไม่ทราบว่ามันจะขัดแย้งกับนิยามเลขศูนย์ที่ว่าศูนย์ไม่สามารถเป็นตัวหารได้ รึเปล่า ข้อมูลที่ผมมีเป็นข้อมูลเก่าๆนะครับ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลอะไรไหม่ก็ช่วยบอกด้วยครับ



Ahiru Ped เพจนี้ ชอบหาอะไรมาให้คิดแปลกๆ ผมว่าจะตั้งแข่งกะมัน Trust Me, I'm a "Leukemia"


........................................................................................................................


ความทุเรศของม็อบที่สนามหลวง ที่เราพบคือ มีคนมาเจอเราที่จุดบริการของมูลนิธิอิสรชน มาบ่นว่าโดนเพื่อนหลอกนั่งรถไฟฟรีมาจากต่างจังหวัด ทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน ทิ้งให้เคว้งคว้างอยู่ที่สนามหลวงและราชดำเนิน มูลนิธิอิสรชน ประสานงานส่งกลับบ้าน โดยไปส่งขึ้นรถไฟฟรีกลับบ้านที่หัวลำโพงหลายคนแล้วครับ เอาความจริงมาเปิดเผยให้ทราบ

.........................................................................................................................


โรงเรียนบ้านตาชู โคราช มีนักเรียน 3 ครู 1 ชาวบ้านเผยเต็มใจยุบ

 







เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สปริงนิวส์

          อึ้ง! โรงเรียนบ้านตาชู โรงเรียนเก่าแก่  อ.คง จ.นครราชสีมา มีนักเรียน 3 คน ครู 1 คน ชาวบ้านบอกเต็มใจยุบ พร้อมทำเรื่องขอพื้นที่ใช้ประโยชน์อื่น ๆ

          วานนี้ (10 พฤษภาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในพื้นที่ อ.คง จ.นครราชสีมา มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีคุณครูแค่ 1 คน และมีนักเรียนเพียง 3 คนเท่านั้น โดยโรงเรียนดังกล่าวชื่อว่า "โรงเรียนบ้านตาชู"ตั้งอยู่ที่ ม.8 ต.ตาจั่น อ.คง จ.นครราชสีมา ซึ่งอยู่ในสำกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 มีอาคารเรียน 1 หลัง 4 ห้องเรียน 1 ห้องอนุบาล ในพื้นที่ 3 ไร่เศษ
     
          ทั้งนี้ นายไพบูลย์ ขมโคกกรวด อายุ 57 ปี ผู้ใหญ่บ้านตาชู เผยว่า โรงเรียนแห่งนี้ถือว่าเป็นโรงเรียนเก่าแก่ของตำบล ก่อตั้งเมื่อ 70 กว่าปีมาแล้ว และเมื่อ 30 ปีก่อน โรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนราว 150 คน แต่ช่วงหลัง ๆ ผู้ปกครองหลายคนมักส่งลูกหลานไปเรียนที่โรงเรียนที่ใหญ่กว่า ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 3-4 กิโลเมตร เนื่องจากคมนาคมสะดวกสบายกว่าสมัยก่อน จึงทำให้โรงเรียนบ้านตาชู  มีจำนวนนักเรียนลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา เหลือนักเรียนเพียง 11 คน และครู 1 คนเท่านั้น ชาวบ้านจึงได้พากันทอดผ้าป่าการศึกษาขึ้น เพื่อหาครูมาสอนพิเศษเพิ่มอีก 1 คน แต่ท้ายที่สุด ในปี 2556 เหลือนักเรียนเพียง 3 คนเท่านั้น เป็นนักเรียนชั้น ป.4, ป.5 และ ป.6 โดยมีคุณครูธวัชชัย ประเสริฐศรี อายุ 52 ปี เป็นครูสอนเพียงผู้เดียว
     
          ผู้ใหญ่บ้านตาชู กล่าวอีกว่า หลังจากที่ตนทราบข่าวการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก ตนก็ได้นำเรื่องนี้ไปหารือกับชาวบ้าน ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยที่จะยุบโรงเรียนบ้านตาชู โดยผู้ปกครองของนักเรียนทั้ง 3 คน ก็พร้อมที่จะส่งลูกไปเรียนต่อที่โรงเรียนใหญ่กว่า คือโรงเรียนหนองบัวทุ่ง ห่างจากบ้านไปเพียง 3 กิโลเมตร มีนักเรียนประมาณ 40 คน ซึ่งโรงเรียนหนองบัวทุ่งแห่งนี้ ชาวบ้านลงมติกันแล้วว่าจะไม่ยุบโรงเรียนโดยเด็ดขาด

          ส่วนทางด้านคุณครูธวัชชัย ก็พร้อมที่จะไปสอนยังโรงเรียนดังกล่าวทันที หากทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 6 มีคำสั่งให้ย้าย สำหรับพื้นที่โรงเรียนบ้านตาชู หลังจากที่ยุบโรงเรียนไปแล้ว ชาวบ้านก็อาจจะทำเรื่องขอไปที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อใช้ทำเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์อื่น ๆ
................................................................................................................



Patchara Pongcharoenkul มีแต่"ตนบันดาล"




Pipat Posawad มีแต่ "น้ำบาดาล"


..............................................................................................................................




เดี๋ยวนี้คนที่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นชอบอ้างสิทธิส่วนบุคคลกันจังเลย

.........................................................................................................................

http://shows.voicetv.co.th/kid-len-hen-tang/69520.html


แม่พลอยคือคนโง่ จากปากคำของ 'ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช'

รายการ คิดเล่นเห็นต่างกับคำผกา ประจำวันที่ 11 พฤษภาคม 2556
 
ในนวนิยาย เรื่อง สี่แผ่นดิน (Four Reigns) ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของไทย  มีเนื้อหาการต่อต้านประชาธิปไตยในช่วงปี  2475 เป็นการสร้างวรรณกรรมเพื่อล้างสมองประชาชนว่ายังไม่พร้อมกับระบอบประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นทำให้สังคมเลวร้ายลงเป็นอันมาก  มีการเน้นความจงรักภักดี  เชิดชูสถาบัน  และสร้างกลุ่มที่เกลียดชังนักการเมือง หลงรักความดี
 
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ให้สัมภาษณ์กองบรรณาธิการนิตยสารถนนหนังสือ ฉบับที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2528  ว่า " แม่พลอยเป็นคนที่ไม่มีสิทธิของผู้หญิงเลย ไม่เคยเรียก ไม่เคยร้อง แล้วแม่พลอยนี่เป็นคนที่เชยที่สุด คุณจะว่านางเอกก็นางเอก แต่เป็นคนเชยที่สุด แม่พลอยถ้าแกอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ แกก็ลูกเสือชาวบ้าน แกจะไปรำละครบ้าๆ บอๆ ถึงขนาดนั้น"
 
และตอนหนึ่งยังบอกว่า " ที่นี่คนอ่านคนไทย ปลื้มอกปลื้มใจ เห็นแม่พลอยเป็นคนประเสริฐเลิศลอย ก็เพราะคนไทยก็เป็นคนแบบนั้น ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย คนอ่านส่วนมากก็เป็นระดับแม่พลอย โง่ฉิบหายเลย..จะบอกให้..สี่แผ่นดินถึงได้ดัง"
 
จากบทความของ ชญานิน เตียงพิทยากร ที่ตีพิมพ์ใน Siam Intelligence  บอกว่า "พลอย" ถูกยกให้เป็นอุดมคติในฐานะราษฎรไทยผู้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึงการเป็นแม่ที่ดี เป็นผู้หญิงที่ดี แต่พลอยในอวตารร่างใหม่ สินจัย เปล่งพานิช ใน"สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล" ยังจะใช่พลอยผู้อยู่ในหน้ากระดาษของคึกฤทธิ์หรือไม่ เพราะเธอคนนี้กลับมีจุดยืนที่แข็งขันแน่วแน่ ไม่ว่าเรื่องสังคมการเมืองหรือชีวิตคู่ เช่นในฉากที่คุณเปรมแนะนำ "คุณอ้น" แสดงความไม่พอใจที่คุณเปรมมีลูกติด  เธอกลายเป็นผู้เก่ง แกร่ง และบทละครของถกลเกียรติ ได้ให้บทการศรัทธาประชาธิปไตยและคณะราษฎรของอั้น (ลูกชายคนแรกของพลอย) ถูกนำเสนอให้เป็นสิ่งผิด จนถึงกับมีเพลงที่เขาต้องร้องต่อหน้าแม่เพื่อแสดงอาการ "สำนึกบาป" ความสามัคคีปรองดองใน ''สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล'' ฤาจะเป็นความปรองดองจอมปลอมที่บีบบังคับให้ความแตกต่างไม่มีที่ยืน เป็นความสมานฉันท์ที่เรียกร้องให้คนอื่นปรับเข้าหาตนเอง
 
ในบริบทของสายชล สัตยานุรักษ์ สี่แผ่นดินให้ภาพสมัย ร.6 ว่ามีการกินอยู่อย่างฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ ซึ่งขัดแย้งความจริงทางประวัติศาสตร์ ในพระราชนิพนธ์ "ประวัติต้นรัชกาลที่ 6" ที่แสดงถึงความแตกร้าวอย่างมากภายในชนชั้นเจ้ามาตั้งแต่สมัย ร.5  และเอกสารในสมัยรัชกาลที่  7 ระบุว่าราชสำนักรัชกาลที่  6 เป็นที่เกลียดชังอย่างรุนแรง อย่างเปิดเผยและซ่อนเร้น ถูกล้อเลียน ติเตียน จนนำไปสู่เหตุการณ์ รศ.130

......................................................................................................................




มุมหนังสือของบ้านหลังนี้..มันใช่เลย..http://www.iurban.in.th/inspiration/unique-home-with-skylights-and-central-courtyard/

........................................................................................................................


..................................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น