วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

27/05/2556



» วิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่งของแรงจูงใจ (เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร)

เรื่องแรงจูงใจ หรือทฤษฎีแรงจูงใจ (Motivation) เป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในทุกวงการ ทุกศาสตร์ ทางด้านการพัฒนาองค์กร

เพราะ... Motivation is what gets you started. Habit is what keeps you going.

ที่อยากแบ่งปันวันนี้...เนื่องจากทีมงานเราได้ชมคลิปวิดีโอของ TED.com ตอน : "Dan Pink: The puzzle of motivation"

http://www.ted.com/talks/dan_pink_on_motivation.html

พบว่า...เนื้อหาที่ Dan Pink ถ่ายทอดนั้นเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง และเราเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์มาก ๆ หากองค์กรไหน click กับเรื่องนี้...

::::::::::::::::::


เมื่อสี่สิบปีก่อน มีการทดลองง่าย ๆ ให้ผู้เข้าทดลองแก้ปัญหาง่าย ๆ โดยแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม

กลุ่มแรก...บอกว่า นี่พวกคุณช่วยแก้ปัญหานี้หน่อย เราจะเอาเวลาที่คุณแก้ปัญหาได้ ไปเป็นมาตรฐานของคนอื่นๆ

ส่วนอีกกลุ่ม...บอกว่า ถ้าคุณอยู่ในกลุ่ม 25% แรกที่แก้ปัญหานี้ได้เร็วที่สุด คุณจะได้เงิน 5 ดอลล่าร์ แต่ถ้าคุณเป็นคนแก้ปัญหานี้ได้เร็วที่สุด คุณจะได้รางวัลถึง 20 ดอลล่าร์ คิดดู เงินจำนวนนี้เมื่อ 40 ปีก่อน มันมากมายขนาดไหน

สิ่งที่คาดกันก็คือ...กลุ่มที่สอง ซึ่งได้แรงจูงใจเป็นเงิน น่าจะแก้ปัญหาได้เร็วและสร้างสรรค์กว่ากลุ่มแรก แต่รูปการณ์กลับตรงข้าม!

โดยเฉลี่ย...กลุ่มที่มีการกำหนดค่าตอบแทนเป็นเงินกลับแก้ปัญหาได้ช้ากว่ากลุ่มแรก โดยเฉลี่ยสามนาทีครึ่ง เรื่องนี้มีการทดลองซ้ำ ๆ นับร้อยครั้ง กว่า 40 ปี

ตลอดเวลามีการทดลองแบบนี้ในงานต่างๆ 99% เกิดผลลบ ...ถ้าให้ผลตอบแทนเป็นเงิน

แต่ก็เจอเหมือนกัน 1% ว่าให้เป็นเงินแล้วได้ผล มันคืองานที่ไม่ต้องใช้ความคิดซับซ้อน มีกฏชัดเจน เช่น

ลองยกถุงจากจุด A ไปจุด B ถ้าเจอสิ่งกีดขวางให้หลบ นี่แหละครับ งานที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่างานใช้แรง (Mechanistics) ที่มีเป้าหมายเฉพาะหน้า เห็นๆ เห็นกับตาเท่านั้น ถ้าเพิ่มแรงจูงใจด้วยเงิน จะทำให้คนทำงานได้เร็วกว่า

แต่เงินจะไม่ได้ผลกับงานที่เริ่มต้องใช้สมองแก้ปัญหา (Cognitive) มีการทดลองที่ MIT สถาบันชั้นนำของโลก เมื่อไม่นานมานี้ก็ยืนยันครับ นักวิจัยแบ่งงานให้ให้นักศึกษาทำ เป็นงานที่ใช้ทักษะการเคลื่อนไหว (ไม่ต้องคิด) กับงานที่ต้องใช้หัวคิด

ปรากฏว่า...แรงจูงใจให้ผลกับงานที่ใช้ทักษะการเคลื่อนไหว (แบบไม่ต้องคิด) เท่านั้น ส่วนงานคิดสร้างสรรค์ เงินกลับบั่นทอนผลงาน

::::::::::::::::::


น่าตกใจมากที่เรื่องนี้ถูกละเลยมาตลอด ทำไมครับ สังคมทั้งโลกเชื่อว่าหากต้องการให้คนแสดงความคิดสร้างสรรค์ สร้างผลงานดีๆ ต้องให้เงินเดือน แรงจูงใจเป็นโบนัสเยอะ ๆ แต่จริง ๆ แล้วตรงข้าม

ผลการศึกษาในด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน ที่ทำโดยมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกเช่น London School of Economics ที่ผลิตนักเศรษฐศาสตร์ระดับรางวัลโนเบิลไพร๊ซ์กว่า 11 ท่าน ศึกษางานวิจัยที่โยงผลตอบแทนที่เป็นเงินเข้ากับการทำงาน ค้นพบเช่นเดียวกันว่า...

การโยงผลตอบแทนเป็นเงินเข้ากับการทำงาน ให้ผลที่เป็น “ลบ”

คุณแดน พิงค์ คนพูดเรื่องนี้ถึงกับพูดว่า... ตอนนี้เรากำลังยืนอยู่บนซากปรักหักพัง สหรัฐกำลังจะแย่เพราะว่า โลกธุรกิจ ที่ต้องพยายามเอาชนะการแข่งขันด้วยความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม ใช้สมมติฐานที่ผิดในการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และผลงาน เพราะใช้เงินเป็นแรงจูงใจ

แดนบอกว่างานในศตวรรษที่ 21 เป็นงานใช้สมอง เพราะฉะนั้นต้องการอะไรที่มากกว่าเงิน เพราะถ้าเอาเงินมาเป็นรางวัลและการลงโทษ นั่นคือหายนะของธุรกิจ และหมายถึงหายนะของประเทศ

::::::::::::::::::


Q : แล้วอะไรคือทางออก?

จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า ต้องใช้แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) ที่ประกอบด้วย 3 คำ คือ...

1. Autonomy (ความอิสระ ความอยากที่จะควบคุมชีวิตตนเอง)
2. Mastery (ความปราถนาที่ทำงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ )
3. Purpose (ความปรารถนาที่จะอะไรที่มีความหมาย มากกว่าการทำอะไรเพื่อตนเอง)

แนวคิดนี้ เป็นพื้นฐานของวิชาการพัฒนาองค์กร (OD - Organization Development) คุณแดนได้ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Atlassianhttp://www.atlassian.com/

ที่นั่นจะให้เวลาหนึ่งวัน ต่อสัปดาห์ให้พนักงานไปทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่งานประจำ คือประมาณ 20% ของเวลาทำงานทั้งเดือนนั่นเอง

ปรากฏ...กลับเป็นวันที่พนักงานคิดอะไรเจ๋ง ๆ ได้ และสามารถสร้างผลงานจนอยู่เบื้องหลังบริษัทดัง ๆ ของโลกได้

แนวคิด 20% นี้ Google ก็ใช้ คือ ให้พนักงานทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่งานประจำ เลือกงาน เลือกทีม เลือกเทคนิคเอง และก็ค้นพบว่า 50% ของผลิตภัณฑ์ที่ Google คิดได้ มาจาก 20% ของเวลาที่ให้อิสระกับพนักงานนั่นเอง

ตอนนี้มีกลุ่มบริษัทอยู่ 12 บริษัท ที่หันมาเน้นองค์ประกอบสามอย่างนี้ เรียกชื่อกันเองว่า ROWE หรือ Result Only Working Environment

ไม่นาน...ก็พบว่ามีผลผลิตสูงขึ้น พนักงานมีความผูกพันกับองค์กรมากยิ่งขึ้น

::::::::::::::::::


จากแนวความคิดนี้ ทำให้เราเห็นหายนะกำลังคืบคลานเข้ามา ในรูปของสิ่งล่อ คือ ตัวเงิน ที่ถูกนำไปผูกกับ KPI

ยิ่งทำแบบสำรวจความผูกพันในองค์กร ยิ่งพบว่า... องค์กรที่จ่ายหนัก ผลออกมาชัดเจน ...ความผูกพันกลับต่ำจนน่าใจหาย

สรุปแล้ว...การให้สิ่งจูงใจเป็นตัวเงินอย่างเดียว คือสิ่งที่แต่ละองค์กรต้องพึงระวังมาก ๆ เพราะมันจะสร้างผลเชิงลบกับองค์กรในระยะกลางถึงยาว

และควรหันมาพัฒนา Autonomy, Mastery และ Purpose ให้กับพนักงานในองค์กรอย่างจริงจัง

แล้วจะทำอย่างไร ?

ลองใช้วิชาด้านการพัฒนาองค์กร ที่ตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ ได้แก่

- Appreciative Inquiry
- Action Research
- Learning Organization
- Knowledge Management
- Dialogue

หรือ...เรียกรวม ๆ ว่า จิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Science)

เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยพัฒนา Autonomy, Mastery และ Purpose โดยตรง สามารถใช้ผสมผสานกันได้


สุดท้าย...เราเชื่อว่าจะมีองค์กรไทยอีกนับร้อย ที่สามารถเติบใหญ่ก้าวไกลไปถึงระดับโลกได้ทัน ภายในชาตินี้... (ก่อนบอลไทยไปบอลโลก!)


ด้วยความปรารถนาดี

ทีมงาน Life 101

::::::::::::::::::


Credit : ดร. ภิญโญ รัตนาพันธุ์
...........................................................................................................................

จาก Status: คุณ Rood Thanarak
สำหรับผู้ที่สนใจความเคลื่อนไหวที่ใหญ่มากๆในแวดวงโทรคมนาคมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หรือผู้ที่สนใจคำใหญ่ๆอย่าง "ผลประโยชน์ของชาติ" "แปรรูปรัฐวิสาหกิจ" "ความมั่นคงของชาติ" "ทรัพยากรของชาติ" ฯลฯ ควรอ่านเป็นอย่างยิ่งครับ

 ปัญหาทางกฎหมายกรณีการสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน 1800 MHz
http://www.blognone.com/node/44624

Phongsakorn Thavornan ยาวไปสลิ่มไทยไม่อ่าน

...........................................................................................................................

...........................................................................................................................



มาสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง เพื่อเป็นจุดหมายให้เราก้าวไปให้ถึงในเร็ววันกันเถอะครับ ขอให้ Happy Happy ตลอดสัปดาห์เลยนะครับ

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก:SPARK by TMB
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=527461607290683&set=pb.255301091173404.-2207520000.1369210510.&type=3&theater
..............................................................................................................................

เพราะว่า 'LIKE' ช่วยชีวิตไม่ได้

http://fuse.in.th/blogs/trend/4593

Pornnaris Lee Like can save lives...of the page owner

..............................................................................................................................

.............................................................................................................................

............................................................................................................................



การเป็นคนตรงไปตรงมาอาจทำให้คุณมีเพื่อนไม่มากนัก แต่เพื่อนเหล่านั้นจะจริงใจกับคุณเสมอ

John Lennon : The Beatles
....................................................................................................................


โครงการที่ไม่น่าสนใจ
ประภาส ชลศรานนท์
...................
คำถาม
น้องชายดิฉันจบด้านสื่อสารมวลชน ตอนเรียนเขาก็ดูไฟแรงดี พอจบมาแล้วกลายเป็นคนขี้เกียจไปได้ยังไงไม่รู้ พยายามบอกให้เขาลุกขึ้นทำอะไรบ้าง แม่ก็อยากให้ไปทำงานบริษัท เขาก็บอกว่าไม่อยากเป็นลูกน้องใคร บอกให้ลองลงทุนทำอะไรเองหรือไม่ก็คิดเรื่องใหม่ๆ หรือแต่งเพลงออกมาสักม้วนอย่างที่เคยทำสมัยเรียน เขาก็เอาแต่กวนประสาทบอกว่าสมัยนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน คิดอะไรไปก็มีคนทำหมดแล้ว เพลงรักเพลงเพื่อชีวิตก็ถูกแต่งหมดแล้ว ไม่รู้จะแต่งอะไรอีก จะให้ค้าขายอะไรเขาก็บอกว่าอันนี้ก็ทำไม่ได้อันนั้นก็ไม่น่าทำ ฟังแล้วท้อค่ะ บางทีดิฉันมีโปรเจ็คท์ดีๆไปชวนเขาทำ เขาก็เบรคเราเสียเราเองก็ไม่กล้าทำตามเขาไปเลย
พี่ประภาส พอจะมีอะไรแนะนำให้ต่อกรกับคนแบบนี้บ้าง
นุช
......................................

คำตอบ

เคยได้ยินประโยคทำนองนี้กันบ้างไหมครับ บทสนทนาในละครฉากเล็กๆของชีวิตจริง

ลูกชาย – “พ่อ เห็นตึกสี่ชั้นที่อยู่หน้าหมู่บ้านนั่นไหม เขาติดประกาศขายแล้ว ไม่ไกลจากบ้านเราด้วย หน้ามันกว้างดี จอดรถน่าจะได้สองคันสบายๆเลยนะพ่อ”
พ่อ –“ไหน …หลังไหน ร้านหนังสือเก่านั่นน่ะเหรอ ละเมอไปหรือเปล่า อย่างเราจะมีปัญญาไปซื้ออย่างไรไหว”
ลูกชาย –“ลองโทรไปถามหน่อยไม่ดีหรือ เผื่อเอาเข้าแบ๊งค์แล้วขยับขยายร้านได้ใหญ่ขึ้น”
พ่อ –“เสียเวลา เสียค่าโทรศัพท์เปล่าๆ ก้มหน้าก้มตาทำงานไปเถอะ”
………………………………….
สามี –“ไปเที่ยวยุโรปกันไหม กลางๆปีเขาว่าไม่หนาวมาก อยากไปเห็นเมืองนอกบ้าง”
ภรรยา –“ ไปต่างประเทศ คุณจะมีเวลาหรือ แล้วเรื่องเงินอีก ไหนจะค่าตั๋ว ค่าที่พัก แล้วยังต้องซื้อของฝากคนอื่นอีกล่ะ โอย…ยุ่งยากเปล่าๆ อย่าคิดอะไรเกินตัวนักสิ
…………………………………
น้อง –“พินัยกรรมสรุปออกมาแล้ว คุณป้าท่านยกเงินให้เราแสนหนึ่งแน่ะ”
พี่ –“แสนหนึ่ง ค่าทนาย ค่าธรรมเนียม แล้วก็ต้องผ่อนรถที่เหลืออีกสามสี่เดือน จะไปเหลือสักเท่าไร ไม่เห็นน่าดีใจเลย”
………………………………….
อาจารย์ที่ปรึกษา –“อีกอาทิตย์เดียวก็สอบใหญ่แล้วนะ เธอนอนอยู่โรงพยาบาลนานขนาดนั้นขาดเรียนสิบกว่าครั้งอย่างนี้ อ่านทวนเยอะๆหน่อยก็ดี ข้อสอบปีนี้ไม่ง่ายนะ”
นักศึกษา –“ อ่านอย่างไรอ่านก็ไม่ทันแล้วครับ หนังสือตั้งเกือบสิบเล่ม อาทิตย์เดียวจะไปอ่านทันได้อย่างไร… ช่างมันเถอะครับอาจารย์ มันจะตกก็ให้มันตกไป อ่านไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
………………………………….

บางทีผมก็แอบเรียกคนมองโลกในแง่ร้ายอย่างนี้ว่า “นักฆ่าความฝัน”
ในสังคมรอบๆตัวท่านผู้อ่านก็คงมีให้เห็นบ้างละครับ ทั้งแบบนักฆ่าสมัครเล่นที่มองอะไรก็เห็นว่าเป็นไปไม่ได้หมด กับพวกนักฆ่ามืออาชีพ พวกนี้ต่างจากพวกสมัครเล่นก็คือไม่เพียงแต่มองไม่เห็นความเป็นไปได้แค่นั้น พวกนี้ยังออกโรงออกแรงค้านอย่างจริงจังจนทุกโครงการที่นักฝันคนไหนก็ตามเสนอขึ้นมา เป็นหมันตั้งแต่ออกจากปากแล้ว

คุณนุชเขียนมาขอวิธีต่อกรกับพวกฆาตกรความฝัน ยอมรับครับว่าทุกวันนี้ผมก็ยังผจญภัยกับคนเหล่านี้อยู่ วิธีคิดของผมก็คือ อย่ามองเขาเป็นศัตรู มองเขาเป็นเพื่อนมองเขาเป็นฝ่ายค้านที่มาช่วยติงช่วยติ
แต่อย่ายอมให้เขาฆ่าความฝันเราได้นะครับ

ที่สำคัญที่สุดหากเราทำให้ฝันที่เขาคิดว่าเป็นจริงไม่ได้สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างให้เขาเห็นได้บ่อยๆ ต่อไปเขาก็จะไม่กล้าฆ่าความฝันใคร แม้แต่ของตัวเอง

มีกรณีศึกษาจากนักจิตวิทยาที่ผมเคยอ่านเจอ นักฆ่าความฝันพวกนี้มักมีปมในวัยเด็กกับประสบการณ์แย่ๆ เช่น พ่อกับแม่ชอบสัญญิงสัญญาอะไรกับเขาแล้วไม่เคยทำได้สักครั้ง คงเคยเห็นใช่ไหมครับพ่อแม่ที่รับปากลูกไปวันๆ ฝันอันงดงามในความรู้สึกของเด็กจึงกลายเป็นฝันลมๆแล้งๆแทบทุกครั้ง หนักเข้าก็เริ่มไม่วางใจใคร สุดท้ายการมองโลกในแง่ร้ายก็เลยฝังลึกลงก้นบึ้งจิตใจ

ไม่มีอะไรแนะนำมากกว่านี้ครับ นอกจากขออนุญาตเล่าถึงโครงการแปลกๆในอดีตให้ฟังกัน ฝากเอาไปเล่าให้น้องชายคุณนุชฟังอีกต่อด้วยนะครับ
โครงการพวกนี้ล้วนเคยเป็นโครงการที่ไม่น่าสนใจแทบทั้งสิ้นครับ

บิล เลียร์ คิดเรื่องวิทยุติดรถยนต์ขึ้นมาครั้งแรก คนรอบๆข้างเขาต่างรุมถล่มความฝันอันบรรเจิดของเขาอย่างหูดับตับไหม้ ความเห็นที่มองไปทางเดียวกันก็คือ “มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้คนจะติดวิทยุไว้ในรถ เพราะมันจะทำให้คนขับเสียสมาธิได้”ตลกดีนะครับที่คนสมัยก่อนคิดว่าคนเราไม่ควรฟังเพลงหรือฟังอะไรขณะขับรถ
ไม่รู้ว่าเลียร์ไม่หนักแน่นพอหรือนักฆ่าพวกนั้นออกอาวุธหนักเสียจนเลียร์ตั้งตัวไม่ติด เขายอมขายความคิดนี้ให้กับบริษัท โมโตโรลา ไป
หลังจากผลิตวิทยุติดรถยนต์จนร่ำรวย โมโตโรลาก็มาผลิตโทรศัพท์มือถือ

พูดถึงโทรศัพท์ นี่ถ้าเกรแฮมเบลล์ ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์รู้ว่าทุกวันนี้มีคนบนโลกใช้โทรศัพท์อยู่ตลอดเวลาไม่เว้นแต่วินาทีเดียว เขาคงดีใจที่สุด เพราะตอนที่เบลล์ เพิ่งทดลองโทรศัพท์ข้ามแม่น้ำสำเร็จใหม่ๆเมื่อร้อยสามสิบปีก่อน มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งดูแคลนสิ่งประดิษฐ์ของเบลล์ว่า “ของเล่นอันนี้มันก็ดีอยู่หรอก แต่มันจะใช้ทำอะไรได้”

เมื่อก่อนซัมซุงเป็นยี่ห้อสินค้าราคาถูก หมกมุ่นอยู่กับการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับผู้อื่น ทั้งญี่ปุ่นและอเมริกา ในขณะที่สินค้าของตัวเองก็มีราคาถูกมากๆวางขายได้เฉพาะในร้านสะดวกซื้อ โทรศัพท์มือถือรุ่นแรกๆ ของซัมซุงมีคุณภาพแย่มาก ซึ่งโทรศัพท์เหล่านี้จอง ยอง ยุน ประธานบริษัทซัมซุงนำไปแจกจ่ายเป็นของขวัญให้แก่เพื่อนพ้องและพนักงานเพื่อฉลองความสำเร็จของบริษัทในปี 1995 แต่กลับสร้างความผิดหวังอย่างมากให้แก่ผู้รับ เนื่องจากโทรศัพท์ส่วนใหญ่เสีย หลังจากที่ใช้งานไปได้เพียงไม่กี่วัน คำต่อว่าจากบุคคลเหล่านี้ได้โถมเข้าใส่ประธานบริษัทตลอดทั้งวัน
จนวันหนึ่งจองยองอุนได้ทำสิ่งที่ทุกคนคิดว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว

เขาสั่งให้นำสินค้าทั้งหมดในคลังสินค้าของโรงงานจำนวน 150,000 ชิ้นซึ่งมีมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐมากองรวมกันไว้ที่สนามหน้าบริษัท สินค้าดังกล่าวมีทั้งโทรศัพท์มือถือ วิทยุ และเครื่องโทรสาร จากนั้นยอง ยุนก็ประกาศว่า “ของไร้คุณภาพคือมะเร็งร้าย” จากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณให้คนงานทุบทำลายสินค้าเหล่านั้นต่อหน้าผู้บริหารและพนักงานจำนวน 2,000 คน แล้วก็สั่งให้โยนซากทั้งหมดเข้าไปในกองไฟ ผู้บริหารหลายคนช็อคและงงกับคำสั่งบ้าๆของยองยุน แล้วก็ไม่มีใครเห็นด้วยกับเขา วันรุ่งขึ้นเขานำป้าย“จากวันนี้เป็นต้นไป ซัมซุงคือสินค้าคุณภาพ” มาติดตั้งที่บริษัท แล้วก็ชักชวนทุกคนทำงานอย่างหนัก โดยทำตัวเองเป็นตุัวอย่าง

นักพยากรณ์ทางธุรกิจหลายคนพูดกันว่าในอีกไม่กี่ปีจากนี้ บางทีซัมซุงอาจเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของโลก ทุกวันนี้ภาพถ่ายขนาดใหญ่การทุบทำลายและเผาสินค้าไร้คุณภาพแขวนอยู่ในหอประวัติศาสตร์ของซัมซุง เหตุการณ์ในวันนั้นได้กลายเป็นตำนานของซัมซุงที่เล่าขานกันมาจนถึงปัจจุบัน

ปีพ.ศ.2505 บริษัทแผ่นเสียงยักษ์ใหญ่ เดคค้า เรคคอร์ด ปฏิเสธงานของวงดนตรีหน้าใหม่วงหนึ่งด้วยเหตุผลว่า “เพลงที่เล่นด้วยกีต้าร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว” แต่หลังจากคำพูดนั้นมาจนถึงวันนี้ วงดนตรีที่ถูกสบประมาทวงนั้นก็บรรเลงเพลงให้คนทั้งโลกฟังด้วยเสียงกีต้าร์มาตลอดครึ่งศตวรรษอย่างยิ่งใหญ่ หรือใครจะเถียงว่าเดอะบี้ทเทิ้ลไม่ยิ่งใหญ่

มองคำทักท้วงเหล่านี้เป็นมิตรสิครับ แล้วเอาชนะมันให้เขาเห็น

เมื่อ 60 ปีก่อน โทมัส วัตสัน ประธานไอบีเอ็มยังเคยพูดถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเลยว่า “ตลาดของพีซีทั้งโลก น่าจะมีประมาณห้าเครื่องได้มั้ง” ดีนะครับที่สุดท้ายแล้วผู้บริหารรุ่นหลังของไอบีเอ็มไม่ได้เชื่อคำพูดของวัตสัน

ประโยคสกัดดาวรุ่งประโยคสุดท้ายครับ เป็นของนักฝันชื่อดัง บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์

ฟังประโยคนี้แล้วอย่าหัวเราะดังนะครับ บิล เกตส์ พูดไว้เมื่อปี พ.ศ.2511 คนเรานี่บางทีก็เผลอเป็นนักฆ่าความฝันของตัวเองไปเหมือนกัน เขาพยากรณ์ถึงหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในอนาคตว่า

“ 640 k ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับทุกๆคน
.......................................................
...........................................................................................................................



อย่าบิดเบือน ได้โปรด....ถ้าจะเอ่ยชื่อ หรือข้อมูล ของ วาส รบกวน แชร์ มาทั้งหมด นะคะ อย่าเอาแต่รูปมา แล้วมาเขียนเอง สรุปเอง แบบนี้.. วาส ไม่ได้เขียนเรื่องพระบรมฉายาลักษณ์่เลย เพราะมีติด อยู่แล้ว. แต่คนละส่วน เพราะเป็นองค์เหนือหัว. แต่ที่นำเสนอเร่ืองนี้ แต่ อยากชี้ให้เห๋นว่า ตอนนี้ กองทัพ ไม่อืหลักอิเหลื่อ ที่จะติดรูป นายกฯปู ไว้เป็น ผู่บังคับบัญชาสูงสุดของ ทหาร แล่ว จากเดิมที่ เป็น รมว.กลาโหม แล้วแรกๆ หน่วยทหาร ไม่กล้าติดรูปนายกฯปู. อาจเพราะ ไม่มั่นใจในจุดยืน ผู้นำกองทัพ แต่เมิ่อ ทัพภาค1 ทำก่อน จากนั่นก็เริ่มทำกันแพร่หลาย อาจเพราะรู้จุดยืน ผบทบ. แล้ว จึงติดกันทั่ว. วาส แค่จะบอกที่มาที่ไป ว่า เริ่มจาก ติดรูป พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ตอนเป็นนายกฯ เป็นครั้งแรก. จากนั้นก็ เป็นรูป นายกฯปู เลย. จนกลายเป็นระเบียบไปเลยกระมัง. แค่นีี้จริงๆค่ะ รบกวนไปอ่าน ในเฟสบุ๊ค ของวาส นะคะ. เพราะถ้า ตัดตอน ตัดต่อ มาแบบนี้ วาส. แย่แน่. แต่นี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ด่าเช้าด่าเย็นแล้วค่ะ. จะทำงาน ตรวจสอบกองทัพแทนทุกคนลำบากขึ้น เฮ้อ!!! โลกไซเบอร์ นี่ น่ากลัวจริงๆ อย่าเอาวาส ไปใช้ประโยชน์ แบบนี้ เลยนะคะ วาส ก็งง วันหนึ่ง ฝ่ายต้านรัฐบาล เอา วาส ไปใช้ อีกวันหนึ่ง ฝ่ายหนุนรัฐบาล. ก็เอาไปอ้าง..ขอ วาส. อยู่ตรงกลางนะคะ จะได้เป็นนักข่าว ที่ตรวจสอบได้ทุกเรื่อง ไม่ติดยึดขั้วสี ขั้วอำนาจ ยึดตามขัอเท็จจริง มุมมอง มีบวก ลบ มี ชม มีคำหนิ ตามเนื้อผ้า และวิเคราะห์ตามข้อมูล. ประชาขนทุกสีทุกขั้ว อ่านเพจ วาส ได้ทุกคนค่ะ มีทั้งชอบ ไม่ชอบ ถูกใจ ไม่ถูกใจ เป็นธรรมดา. ขอให้เข้าใจ นักข่าว อย่าง วาส คนนี้บ้างก็พอค่ะ..จบข่าว
 
.................................................................................................................


จะว่าไปครูหลายท่านก็เป็นแบบนี้นะครับ แหม่
..................................................................................................................

ประมวลเหตุการณ์วันที่19-05-53 by CTW

http://www.facebook.com/media/set/?set=a.573573436021273.1073741830.570561686322448&type=1

................................................................................................................



โรงเรียนสอนเปียโน

http://portal.settrade.com/blog/nivate/2013/05/27/1293
.........................................................................................................................

ผมชอบเวอร์ชั่นนี้ ^_^

ฮิเดโกะ Hideko Cover | Flute & Guitar

http://www.youtube.com/watch?v=084xqCjVR6A
........................................................................................................................

.....................................................................................................................



Carbon aerogels วัสดุน้ำหนักเบาที่สุดในโลก
มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ประเทศจีน ได้เผยแพร่ภาพก้อนวัสดุสีดำที่มีน้ำหนักเบา ที่สามารถตั้งอยู่บนก้านเกสรดอกไม้โดยไม่เอนเอียง โดยระบุว่า ก้อนวัสดุนี้คือ "คาร์บอน แอร์โรเจล" วัสดุที่เบาที่สุดในโลก สามารถนำไปใช้ป้องกันและแก้ไขปัญหากรณีมลพิษรั่วไหล ด้วยคุณสมบัติที่สามารถดูดซับสารพิษและน้ำมันที่รั่วไหลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศาสตราจารย์เกา เชา หัวหน้าคณะวิจัยพัฒนา กล่าวว่า ในอนาคตวัสดุใหม่ คาร์บอน แอร์โรเจล สามารถดูดซับน้ำมันรั่วไหลได้อย่างรวดเร็ว ขนาด 1 กรัม สามารถดูดซับน้ำมันได้วินาทีละ 69 กรัม นอกจากนี้ยังดูดซับได้ในปริมาณที่มากถึง 900 เท่าของน้ำหนักวัสดุ เปรียบเทียบกับวัสดุซึ่งใช้ดูดซับน้ำมันในปัจจุบันสามารถดูดซับได้เพียง 10 เท่าของน้ำหนักวัสดุเท่านั้
http://www.nextsteptv.com/?p=2860
..............................................................................................................................



ไอ้เรื่องนินทาคนอื่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นสมัยนี้หรือสมัยก่อนมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆครับ พอคนอื่นได้ดีหน่อยๆก็ชอบโดนเอาไปนินทาซะแล้ว ไม่ว่าเรื่องที่เราได้ดีมันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม สมัยก่อนนะผมโดนบ่อยมาก หลายๆครั้งก็โดนใส่ไฟบ่อยๆจนตัวเองกลายเป็นตัวประหลาดไป แต่ก็นะ พอนานๆไปคนอื่นก็เข้าใจผมเองว่าไม่เหมือนกับที่คนอื่นชอบมาใส่ไฟไว้
//แอดพิษเวอร์ชั่นบ่นชีวิตในวันวานช่วงสมัยวัยสรุ่นที่โคตรหล่อจนสาวๆตามจีบแต่เล่นท่ามากไปจนเขาหาว่าเป็นเกย์แอบจิตในโรงเรียนที่ผ่านมานานแล้วแต่ก็ไม่รู้จะคุ้ยขึ้นมาบ่นให้คนอื่นร่วมรำคาญไปด้วยกันทำไมอีก
.............................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น