เปิดปากคำ “ถวิล เปลี่ยนศรี” จุดเปลี่ยน “กองบัญชาการต้านม็อบแดง” สู่จุดจบ “วีรบุรุษ” เป่าคดี 91 ศพ
เขาเคยยืนเคียงข้างรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในนาทีเป็น-นาทีตายของประเทศไทย
เขาเคยอยู่ใน “กองบัญชาการต้านม็อบแดง” ภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.)
เขาเคยสวมหมวก “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)” ทำหน้าที่ “เลขาธิการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)” จึงได้เห็น-ได้ยิน-ได้ฟังเรื่องราวของ “ฝ่ายถืออำนาจรัฐ” ณ ขณะนั้น
ต่อมาเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว เขารอดจากการตกเป็น “จำเลยร่วม” ในคดีการเสียชีวิตของประชาชน ตำรวจ และทหาร รวม 91 ศพ ระหว่างการชุมนุมทางการเมืองในปี 2553 ทว่าไม่อาจรักษาเก้าอี้ “เบอร์ 1 สมช.” เอาไว้ได้
ปัจจุบัน “ถวิล เปลี่ยนศรี” ถูกแขวนไว้ที่ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ แม้เทียบเท่าซี 11 เหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิม
ในโอกาสครบรอบ 3 ปี ของเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม 2553 “สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า” จึงเชิญ “ถวิล” มาร่วมสนทนาเป็นคิวที่ 2 เขาเฉลยหลายปริศนาใน “กองบัญชาการ ศอฉ.” พร้อมเปิดข้อเท็จจริงอีกด้านที่หักล้างชุดข้อมูลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
ใครเป็นคนยุให้สลายการชุมนุม? ใครเป็นคนแย้งเสียงดัง? ใครทำให้ปฏิบัติการกระชับพื้นที่กินพื้นที่เกินคาด?
อะไรทำให้ “อดีตผู้ร่วมวง” หลายคนเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนพฤติกรรม และอาจถึงขั้นเปลี่ยนวิญญาณหลังเปลี่ยนนาย ทว่าเหตุใด “ถวิล” ถึงไม่ยอมเปลี่ยน?
ฤาเขาเห็นบางสิ่งในความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้…
ครบ 3 ปี เวลาก็ไม่มากเท่าไร แต่ด้วยสถานการณ์ ด้วยกรอบความคิดคน รวมถึงการให้ข้อมูลของฝ่ายต่างๆ ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน ก็รู้สึกว่าทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
ไทยพับลิก้า :หมายถึงคนเปลี่ยน หรือข้อเท็จจริงเปลี่ยน
ข้อเท็จจริงคงไม่เปลี่ยน เหตุการณ์คงไม่เปลี่ยน แต่ความคิดของคนมันเปลี่ยน ทหารหรือเจ้าหน้าที่ที่ออกมาระงับเหตุเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ออกมาด้วยความตั้งใจในการรักษาความสงบเรียบร้อย รักษาบ้านรักษาเมือง ไม่มีใครกระเหี้ยนกระหือรือจะเข้าไปทำร้ายร่างกายหรือชีวิตของประชาชน ทีนี้ เมื่อการเมืองเปลี่ยน กลุ่มคนที่ถูกกระทำกลายเป็นผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะพรรคเพื่อไทย (พท.) หรือทางมวลชนของเขา ซึ่งก็คือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลับมาเป็นฝ่ายถืออำนาจรัฐ ทำให้มีการกล่าวหาย้อนกลับไปที่ฝ่ายการเมืองและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เพราะฝ่ายการเมืองรู้ว่าควรต้องยกเว้นคนเหล่านี้ จึงมุ่งไปที่ฝ่ายการเมืองด้วยกัน ซึ่งก็จะไปเข้ายุทธศาสตร์นิรโทษกรรม คือทำให้ทุกคนมีความผิดเพื่อนำไปสู่การนิรโทษกรรมเสีย แต่ขณะนี้ฝ่ายการเมืองซีกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยังไม่ยอม เพราะมั่นใจในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นขณะนั้นว่าเขาไม่น่าจะมีความผิด ซึ่งผมก็ยืนยันว่ารัฐบาลในขณะนั้นทำไปด้วยความรอบคอบรัดกุมพอสมควร เหตุที่เกิดขึ้นซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติขณะนั้นก็พอจะสมเหตุสมผล เพราะการชุมนุมในปี 2552-2553 ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เป็นการชุมนุมที่มีความรุนแรงอยู่มาก
ผมเคยไปให้ปากคำที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พนักงานสอบสวนให้เปรียบเทียบการชุมนุมของเสื้อเหลืองในปี 2551 กับเสื้อแดงในปี 2553 มันค่อนข้างจะต่างกัน เพราะการชุมนุมของเสื้อเหลืองไม่มีอาวุธ ไม่มีกองกำลัง ไม่มีเหตุรุนแรง ไม่มีเผา ไม่มียิง ไม่มีลักษณะการใช้ความรุนแรง ความรุนแรงเป็นความรุนแรงในที คือ ดื้อ ไม่ยอม ซึ่งยังอยู่ในขอบเขตการใช้สิทธิโดยสงบ แต่แน่นอนว่าผลที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายมากพอสมควร เช่น การยึดสนามบิน แต่กรณีของเสื้อแดงเต็มไปด้วยความรุนแรง และตั้งข้อสังเกตว่าการใช้อาวุธไม่ได้กระทำต่อคนที่มาชุมนุม ซึ่งต่างจากสมัยเสื้อเหลืองที่มีบุคคลไม่หวังดีทำร้ายผู้ชุมนุม อันนี้คล้ายๆ กับว่าผู้ก่อเหตุคือเสื้อดำ หรือกลุ่มติดอาวุธ กลายเป็นเนื้อเดียวกับเสื้อแดง หรือเป็นมวลชนคู่ขนานกันไป ซึ่งก็เป็นไปตามที่แกนนำหลายๆ คน เช่น อริสมันต์ (พงษ์เรืองรอง อดีตแกนนำ นปช.) พูดถึงว่าเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ดังนั้นก็เป็นการใช้ความรุนแรงจากผู้ชุมนุมที่กระทำต่อเจ้าหน้าที่
ไทยพับลิก้า : ในเมื่อเป้าหมายของ พท. มุ่งกระทำต่อฝ่ายการเมืองด้วยกัน เหตุใดข้าราชการที่ชื่อ “ถวิล” ถึงเป็นข้อยกเว้น ต้องรับกรรมไม่ต่างจากนักการเมืองซีก ปชป.
เขาไม่เว้นผม เขาคงเว้นแต่ทหารมากกว่า เพราะทหารเป็นคนถืออาวุธ เป็นกลุ่มก้อน เขาก็เลยไม่ค่อยแตะ ส่วนดีเอสไอเขากลับ 180 องศา ก็เลยไม่โดน (หัวเราะ)
ไทยพับลิก้า : เป็นเพราะเลขาธิการ ศอฉ. มีบทบาทใน 2 วง หรือเปล่า คือ วง ศอฉ. ใหญ่ที่มีปลัดและอธิบดี 200 คน เข้าร่วม และวงยุทธการที่ออกคำสั่งเรื่องการใช้กำลังต่างๆ ส่วนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ บอกว่าตัวเองร่วมประชุมเฉพาะวง ศอฉ. ใหญ่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการสั่งใช้กำลัง
มันไม่มี 2 วง ที่ชัดเจนหรอก มันเป็นวงเดียวของ ศอฉ. ซึ่งมีรองนายกฯ (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เป็นผู้อำนวยการ ส่วนนายกฯ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ก็ประชุมในฐานะนายกฯ ดังนั้นก็มีพวก ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. อธิบดี รวมทั้งธาริตและผม มันเป็นวงเดียว แต่วงนั้นคือวงที่เป็นทางการ ก็มีการประชุม รับทราบสถานการณ์ ปรึกษาหารือกัน โดยประชุมวันละ 4 รอบ คือ เช้า เที่ยง เย็น และกลางคืน แต่ตอนหลังมาปรับเหลือ 3 รอบ เมื่อสถานการณ์มันเบาลง ที่บอกว่ามีอีกวงก็คือหลังพูดคุยสถานการณ์ต่างๆ ว่า นปช. ทำอะไรบ้าง เจ้าหน้าที่ทำอะไรบ้าง สถานการณ์เป็นอย่างไร ซึ่งธาริตจะรายงานความคืบหน้าของคดีว่าไปจับกุมใคร ไปค้นที่ไหน ตำรวจก็มารายงานให้ฟัง เมื่อพ้นจากตรงนั้นก็จะมีการดำเนินการเพิ่มเติม รองฯ สุเทพก็จะสั่งการเพิ่มเติมว่าตำรวจไปทำอะไรตรงไหนบ้าง ทหารไปทำอะไรตรงไหนบ้าง ส่วนใหญ่เป็นการพูดกว้างๆ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงลงไป เพราะสถานการณ์ต่างๆ ทุกฝ่ายรู้ดีอยู่แล้ว เช่น ในช่วงที่มีการกระชับวงล้อมที่ราชประสงค์ ก็มีมาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดการสื่อสาร เราก็หารือกัน ก็เรียกไฟฟ้า ประปา กรุงเทพมหานคร (กทม.) เข้ามา เรียกปลัดกระทรวงคมนาคมเข้ามา หลังจากนั้นผู้เกี่ยวข้องก็รับไปสั่งการต่อ ส่วนการใช้กำลังนี่ ทหารเขาก็ไปสั่งทางยุทธการ ซึ่งเป็นเรื่องของเขาอยู่แล้ว
ไทยพับลิก้า : ไม่ต้องออกคำสั่งในวงประชุมใหญ่
มันไม่ต้องมานั่งดู มันดูรู้เรื่องหรือคำสั่งทางยุทธการนี่ มันก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี เพียงแต่ให้กรอบกว้างๆ ทหารรู้ดีอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร แต่อาจจะมีคำสั่งที่ชัดเจน เช่น ที่ราชประสงค์ ทหารต้องไปจุกช่องเอาไว้ เพราะเรามีนโยบายบีบวงล้อมเข้าไป ก็จะพูดกันในที่ประชุมว่าทหารต้องไปวางกำลังทั้ง 4 จุด ทหารเขาก็มารายงานให้ฟังว่าพอไปตั้งแล้วกลางคืนโดนอะไรบ้าง พวกนั้นเอารถปิ๊กอัพและรถมอเตอร์ไซด์มาก่อกวนอย่างไรบ้าง ต้องอยู่ในที่ตั้ง เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ ไอ้ตรงนั้นก็รู้กัน มีคำสั่งชัดเจนว่าห้ามขยับเข้าไปนะ แค่ปิดกั้นไม่ให้มีการส่งเสบียง เอาไม้เอายางไปเสริมค่ายคูประตูกลเท่านั้นเอง
ไทยพับลิก้า : สรุปคือการออกคำสั่งยุทธการเป็นเรื่องที่ทหารจัดการหมด แต่หลังทำแล้วก็กลับมารายงานในที่ประชุม ศอฉ. ใหญ่ที่มีนายกฯ ร่วมรับฟังด้วย
ใช่ๆ เขาก็มารายงาน ช่วงกระชับวงล้อมซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมา วันรุ่งขึ้นก็มารายงานแล้วว่าไม่ได้ไปไหน ไอ้พวกนั้นขนาบผมมา ไอ้ที่อยู่ข้างในก็จะดันออก ไอ้ที่อยู่ข้างนอกก็พยายามจะเข้าไป มันก็มีการปะทะประปรายอยู่ ซึ่งเข้าใจว่าช่วงนั้นก็มีการเสียชีวิตแถวราชปรารภ ดินแดง บ่อนไก่ สวนลุมพินี
ไทยพับลิก้า : ในฐานะที่นั่งอยู่ในราบ 11 ตลอด คิดว่าทั้ง ศอฉ. และ นปช. เริ่มเข้าสู่เรดโซนสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายในช่วงไหน และเห็นกรรมการใน ศอฉ. คนไหนพยายามทัดทานการใช้กำลังตามที่นายธาริตกล่าวอ้างหรือไม่ และสามารถทำได้หรือไม่
คัดค้านหรือ ไม่มีล่ะ ต้องเข้าใจว่าช่วงนั้นกระแสสังคมคล้ายๆ มันเอือม เพราะมันต่อเนื่องมาตั้งแต่มีนาคม-พฤษภาคม ไปไหนมาไหนที นปช. ก็เคลื่อนพลไปปิดที่โน่นไปล้อมที่นี่ตลอด ดังนั้นกระแสสังคมจะออกมาในลักษณะว่ารัฐบาลอ่อนแอ ไม่เอาจริงเอาจัง ไม่กล้า ไม่รักษากฎหมาย ปล่อยได้อย่างไรคนละเมิดกฎหมายขนาดนี้ ทีนี้ก็ต้องเห็นใจว่าขณะนั้นรัฐบาลจะหันไปใช้ตำรวจมันก็นะ… ตำรวจไม่มีบทบาทอะไรเพราะยังติดกับดักเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 อยู่ ก็เลยต้องใช้ทหาร แต่เวลาให้ทหารออกไปทำงานก็ไม่มีคำสั่งให้ไปสลายการชุมนุมนะ คำสั่งสลายการชุมนุมไม่เคยเกิดขึ้นเลย หรือหารือว่าควรมีการสลายการชุมนุมไหม ไม่เคย
มีอยู่ครั้งเดียวที่จำได้ คือ ตอนนั้นอยู่ที่ราบ 11 มีเสียงกดดันรัฐบาลและ ศอฉ. ว่าทำไมไม่สลายการชุมนุม ในการประชุม ครม. บรรดารัฐมนตรีจากพรรคร่วม จากพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคอะไร ก็ตั้งคำถามกับนายกฯ และ รมว.กลาโหม (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ว่าทำไมถึงไม่ปราบ ทำไมไม่เข้าไปสลายการชุมนุม เพราะมันทำให้เกิดความเสียหาย ผมจำได้ว่าท่านประวิตรพูดมาอยู่คำหนึ่งว่า “การสลายการชุมนุมมันก็ไม่ยากอะไรหรอก แต่รับกันได้ไหมว่าทหารลุกขึ้นมาแล้วลุยเข้าไปพรืดเดียว 500 คน นี่รับได้ไหม แล้ว 500 คน ที่ตายนี่ก็ไม่ใช่แกนนำเสื้อแดง หรือกลุ่มผู้ชายที่มีกำลังเข้มแข็ง มีแต่กลุ่มยายแก่ที่รำป้อๆ อยู่หน้าเวทีทั้งนั้น รับได้ไหม” แล้วก็เงียบกันไป มันทำไม่ได้หรอกอย่างนั้น ดังนั้นเรื่องการสลายการชุมนุมนี่ไม่เกิดขึ้น
ไทยพับลิก้า : แล้วปฏิบัติการของทหารในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นมาอย่างไร
จุดมุ่งหมายจริงๆ ของช่วงก่อนวันที่ 19 คือความพยายามจะบีบให้ฝ่อ ให้ออก ไม่ให้คนเข้า เช้าๆ เรามอนิเตอร์ซีซีทีวี เห็นคนหลบแดดอยู่ในอาคารและเต็นท์ต่างๆ มีคนไม่กี่พัน น่าจะ 1,000-2,000 คนนอนอยู่ข้างๆ ฟุตบาธ พอตกตอนเย็นมันระดมกันมาได้เป็นหลายพันเป็นหมื่น ทุกครั้งเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่ามีมวลชนจากทางบ่อนไก่ รวมถึงจากต่างจังหวัดมาหมุนเวียนเป็นประจำ พอสายนั้นไปสายนี้ก็มา เข้าใจว่าเป็นเครือข่าย ส.ส. ที่ระดมคนเข้ามา เพราะขณะนั้นโดยขีดความสามารถของเสื้อแดงเองไม่สามารถระดมคนได้ ต้องอาศัยความสามารถของ ส.ส. ในพื้นที่ ก็เลยมีมาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดรถเรือ
จนกระทั่งวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งมีการเคลื่อนกำลังไปที่สวนลุมฯ อันนี้ก็ไม่ได้หารือกันในที่ประชุม ศอฉ. นะว่าจะมีการเคลื่อนย้ายกำลังไป แต่พวกเรารู้กันอยู่ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นจุดที่มีการตอบโต้มากที่สุด ทั้งตอนไปค้นโรงพยาบาลจุฬาฯ ตอนระดมยิงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสีลม ก็ยิงจากจุดนั้น ตามสายรายงานของตำรวจของสายข่าวระบุว่าจุดนั้นมีการส่องสุมกำลังพวกเสื้อดำ พวกติดอาวุธทั้งหลาย มีอาวุธเอ็ม 79 โดยเฉพาะตรงลานรัชกาลที่ 6 ดังนั้น ในวันที่ 19 เราก็รู้ว่าจะมีการกระชับวงล้อมเข้าไปที่จุดนั้นจุดเดียว จุดอื่นไม่เกี่ยว โดยเหตุผลสำคัญคือมันมีความสูญเสียเกิดขึ้นที่จุดนั้นบ่อยมาก ทั้งประชาชน ทหาร ตำรวจ และผู้ชุมนุมเอง มีการยิงกันอยู่ตลอด เลยคิดว่าต้องเอาทหารไปควบคุมพื้นที่ตรงนั้นให้ได้ ผมคิดว่าในวันนั้นยังไม่ได้มีความคิดที่จะบีบเข้าไปจนกระทั่งให้เลิกการชุมนุม เพียงแต่ความคิดที่คุยกันใน ศอฉ. คือ ถ้าควบคุมตรงนั้นได้ เหตุรุนแรงก็จะไม่เกิดขึ้น พอตรงนี้ไม่มีกำลัง อีกไม่กี่วันก็คงจะเลิกเอง แต่ปรากฏว่าในวันที่ 19 มันได้ผลเกินความคาดหมาย แกนนำเสื้อแดงเองก็ถอดใจ หลังไปยุติฝั่งนี้ได้ สักเวลา 11.00 น. แกนนำทั้งณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ประกาศยุติการชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ทำไม่ถูก คำสั่งที่ออกมาวันนั้นคืออย่าเพิ่งเข้าไปในพื้นที่ราชประสงค์ส่วนอื่นเพราะใกล้จะมืดแล้ว เดี๋ยวจะเกิดความชุลมุนขึ้นมาเพราะยังมีมวลชนอยู่ โดยให้มวลชนออกไปทางด้านสนามกีฬาสนามศุภชลาศัยซึ่งมีการจัดรถไว้แล้ว
จุดสำคัญอีกจุดคือที่วัดปทุมวนาราม ซึ่งได้รับรายงานตลอดว่าเป็นทางเสือผ่าน หมายความว่าผู้ติดอาวุธ พูดง่ายๆ ว่า เสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก) ก็ใช้ช่องทางนั้นน่ะ ก็รู้กันมาตลอด วัดเป็นเขตอภัยทานก็จริง แต่ก็มีบางคนไปใช้เป็นช่องทางเข้าออก มีการถ่ายเทอาวุธ โดยที่เจ้าหน้าที่เราเข้าไปไม่ได้ วันนั้นเลยกลายเป็นว่าเมื่อมีเหตุแทรกซ้อนเข้ามาหลังแกนนำมอบตัว เจ้าหน้าที่เลยลังเลในเรื่องของเพลิงไหม้ ฝ่ายทหารรายงานในที่ประชุมว่ามีการร้องขอให้ทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ เพราะรถดับเพลิงของ กทม. โดนสกัด โดนทำร้าย ไม่สามารถเข้าในพื้นที่ได้ ดังนั้นโดยเหตุที่เราไม่ต้องการให้เกิดความชุลมุน ทหารเข้าไปได้ แต่ก็ไม่กล้าเข้า นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมมันถึงเกิดความรุนแรงขึ้น ทำไมไฟถึงไหม้แบบกรุงศรีอยุธยา เพราะคำสั่งคือเข้าไม่ได้ ถ้าเข้าไปเดี๋ยวจะถูกสวมรอย วุ่นวายกันไปหมด ที่กลัวมากคือเข้าไปติดกับดัก สถานการณ์วันนั้นทหารก็ยุติลง
ต่อมาคณะค้นหาความจริงหลายคณะก็เริ่มเปิดเผยว่า ทั้งเหตุการณ์ 10 เมษายน หรือตายที่บ่อนไก่ สวนลุมพินี ราชปรารภ มีหลายเหตุที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงว่าทหารไปเข่นฆ่าประชาชน เพราะอย่าง 10 เมษายน นี่ชัดเจนว่าทหารเป็นผู้สูญเสีย เมื่อพิสูจน์วิถีกระสุนที่ทหารยิงช่วงถอยร่นก็ยิงแบบมีวินัย ขนาดโดนเอ็ม 79 จากอีกฝ่ายนะ กระสุนไม่ได้ยิงสะเปะสะปะ แต่ยิงขึ้นฟ้า คือไม่ได้หมายให้คนตายจริงๆ ถ้าจำไม่ผิด เหตุการณ์เดียวมีทหารบาดเจ็บร่วมๆ 300-400 คน โดนแบบเต็มๆ เลย และเข้าใจว่าผู้ชุมนุมไม่สามารถทำความเสียหายให้ทหารได้มากขนาดนั้น เพราะผู้ชุมนุมอย่างเก่งก็เอาด้ามธงไล่ตีไล่แทง แต่เพราะมันมีกลุ่มใช้อาวุธ และกลุ่มเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมา จู่ๆ ให้ไปยิงเอ็ม 79 หยิบยังไม่กล้าหยิบเลยเพราะกลัวมันระเบิดใส่ นี่คือกลุ่มที่เราได้ข่าวมาตลอดว่ามีการฝึกอาวุธฝึกการ์ด โดยฝ่ายที่ใกล้ชิดก็เห็นว่ามาจากแหล่งเดียวกัน นายทหารพรานที่ปลดประจำการแล้ว สายไหนสายไหนมันพอมองออก ดังนั้นมันเป็นเรื่องกลุ่มใช้อาวุธที่กระทำการต่อเจ้าหน้าที่ทหาร ไม่ใช่เรื่องกลุ่มประชาชน จึงสรุปได้ว่า 10 เมษายน ต่อให้ทหารถูกยำจนละลายมา แต่ด้วยความมีวินัย หรืออาจด้วยจิตใจที่ไม่ได้ตั้งใจจะออกไปฆ่า มันก็เลยแค่ป้องกันตัว แต่อาจมีบ้างที่ฉุกละหุกขึ้นมา ต้องยิงต่อสู้ แต่เขาก็ระงับยับยั้งพอสมควร มันถึงมีวิถีกระสุนที่ยิงขึ้นไป 180 องศา มากกว่ากระสุนที่วิ่งไปในแนวราบ
ไทยพับลิก้า : แม้ทหารไม่เจตนาฆ่าประชาชน แต่มันมีคนตายถึง 91 ศพ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีตำรวจและทหารติดคุกสักราย แต่คนเสื้อแดงติดคุกไปเยอะแล้ว เลยถูกมองว่ารัฐยังไม่ได้รับผิดชอบอะไรหรือเปล่า
ใช่ๆ ก็อาจจะมองอย่างนั้นได้ แต่อย่าลืมว่าทหารเขาไปด้วยคำสั่ง เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ออกไปรักษาความสงบเรียบร้อย
ไทยพับลิก้า : คนเสื้อแดงเลยยิ่งบอกว่าทหารไม่ได้คิดทำเอง แต่มีคนสั่งให้ไปฆ่า
เรื่องคำสั่งมีแน่นอน แต่สั่งให้ไปฆ่าคงไม่มีล่ะ คำสั่งให้เขาไปปฏิบัติ เขาก็ต้องไปปฏิบัติ และเวลาปฏิบัติเขาก็มีกฎของเขา กฎการยิง กฎการใช้อาวุธก็มีอยู่ บางครั้งเขาต้องป้องกันตัว เขาก็ต้องทำ ทีนี้จะบอกว่าเขาไม่ได้ติดคุก ก็เขาไม่ได้มาชุมนุมเหมือนที่เสื้อแดงมานี่ แต่ทหารมาเพราะได้รับคำสั่ง เหมือนที่คุณนิชา (หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภริยา พล.อ. ร่มเกล้าซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553) เขาบอก ไม่เช่นนั้นทหารก็นอนอยู่บ้าน อยู่ในกรม ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมไปด้วยความสมัครใจ ส่วนกลุ่มผู้ใช้อาวุธก็ไม่สมควรได้รับการยกเว้น เพราะไม่มีหน้าที่ ไม่มีสิทธิใช้อาวุธกับเจ้าหน้าที่
ไทยพับลิก้า : ถ้าเช่นนั้นคนที่ต้องรับผิดชอบแทนทหารทุกกรณีก็คือคนออกคำสั่ง ณ ขณะนั้น
ว่ากันตามจริง ถ้าพูดว่าทหารไปโดยคำสั่งที่ชอบโดยกฎหมาย ดังนั้นผู้ออกคำสั่งต้องรับผิดชอบ แต่โดยตัวของผู้ปฏิบัติ อย่างผมสั่งเจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่ก็ต้องทำตามกรอบอำนาจที่ตัวเองทำได้ ถ้าทำเกินกรอบก็ไม่ได้ เช่น ไปจ่อยิงเขา ไปกระทืบเขา มันไม่ได้ ดังนั้นโดยตัวบุคคลก็ต้องรับผิดชอบด้วย ไม่ใช่พอมีคำสั่งแล้วไล่ฆ่าได้หมด มันไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องไม่เกินกว่าเหตุ หรือเพื่อป้องกันเหตุ ป้องกันอันตรายที่มาแก่ตัวเอง มันก็เหมือนวิสามัญฆาตกรรม ไม่ใช่ว่าพอเป็นโจรแล้วยิงได้หมด ดังนั้นเมื่อคำสั่งออกไป ผู้มีคำสั่งก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ว่าผู้มีคำสั่งมองไม่เห็นตัวนี่ จะไปติดตามตลอดว่าคนนั้นทำอย่างนี้ มันก็ไม่ได้ ดังนั้นคนทำงานก็ต้องรับผิดชอบว่าต้องทำไปตามระเบียบวิธีที่กำหนดไว้ด้วย
ทีนี้ ที่ถามว่าพวกนั้นติดคุก ทำไมตำรวจและทหารไม่ติดคุกบ้าง มันคนละเรื่องกัน เพราะเขาไม่ได้สมัครใจออกไปนี่ เขาออกไปเพื่อระงับเหตุ เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เกินกว่าเหตุ มันก็ติดคุกได้ ไม่ว่าจะประกาศพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กี่ฉบับก็ตาม ผมเคยถามเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา การคุ้มครองมันมี แต่ต้องพอสมควรแก่เหตุ ไม่ใช่ทำทุกอย่างได้ ประกาศเสร็จมีใบอนุญาตฆ่าคนได้ ไม่ใช่อย่างนั้น
ไทยพับลิก้า : วันนี้ดีเอสไอเป็นคนทำคดี 91 ศพ แต่ ณ วันนั้นเคยอยู่ใน ศอฉ. มาก่อน ย่อมต้องรู้ว่าวิธีเป่าคดีช่วยทหาร แล้วเอาผิดเฉพาะฝ่ายการเมือง ถ้าดูจากรูปคดีที่ผ่านมา คิดว่ามีธงเช่นนั้นหรือไม่
มันไม่ใช่มีธงอย่างนั้น สังเกตไหมว่าก่อนหน้านั้นรองฯ เฉลิม อยู่บำรุง ก็บอกว่าทหารไปปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่เอา ซึ่งความจริงมันเอาไม่เอาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ รองนายกฯ มันพูดไม่ได้หรอก ต้องเป็นไปตามกฎหมาย จะผิดไม่ผิดอยู่ที่พฤติการณ์ ที่บอกว่าดีเอสไอเป็นคนทำคดี จะกันใครไว้บ้าง ผมว่าดีเอสไอถ้าไปทำนอกเหนือกฎเกณฑ์กติกานั้น…
ไทยพับลิก้า : เชื่อว่าดีเอสไอจะไม่ทำ
เอ่อ…ในทางพฤตินัยอาจจะมี แต่ในทางกฎหมายมันทำไม่ได้ แต่เนื่องจากรัฐมนตรีเขาสั่งมาอย่างนั้น แต่สั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ธาริตทำได้หรือ แต่โดยทางปฏิบัติอาจไปทำให้รูปคดีออกมาอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็อยู่ที่คนทำน่ะนะ สำนวนจะอ่อนไม่อ่อนมันก็อยู่ที่พนักงานสอบสวนทั้งนั้น พูดง่ายๆ ว่าทำได้ก็แล้วกัน จะเอาใคร จะฟ้องใครให้ติดคุกไม่ติดคุก
ไทยพับลิก้า : ตอนไปให้การในฐานะพยานที่ดีเอสไอ คุณถวิลบอกว่าต้องการให้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่ในทางการเมืองผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติ และตอนนี้ประวัติศาสตร์ทำท่าว่ากำลังจะถูกเขียนใหม่
ผมยังยืนยันนะว่าถ้าผิดมันก็ต้องผิด กรรมการ ศอฉ. ก็ต้องโดนหมดทุกคนน่ะ
ไทยพับลิก้า : รวมถึงนายธาริตด้วย
ด้วย เป็นไปตามโทษานุโทษ แต่ธาริตเขาออกมาในลักษณะว่ามี 2 วง เขาไม่ได้อยู่ในส่วนการตัดสินใจ ไอ้อย่างนั้นมันก็เกินไปนิดหนึ่ง ความจริงกรรมการที่แอคทีฟมากๆ คือธาริต ผมไม่ได้พูดคนเดียวนะ หลายคนพูดอย่างนี้ และเป็นธรรมดาที่เขาจะแอคทีฟ เพราะเขาอยู่ในกรรมการคดีพิเศษ สามารถวางรูปคดีวางอะไรได้ ดังนั้นก็จะมีแง่มุมที่เขาแนะนำว่าเอาอย่างนี้สิ เอาเป็นว่าหลายเรื่องที่รองฯ สุเทพไปแถลง ธาริตเขียนทั้งนั้นแหล่ะ มีพฤติการณ์เข้าข่ายก่อการร้าย ใช้อาวุธ ประทุษร้าย (หัวเราะ)
ไทยพับลิก้า : รัฐบาลชุดนี้ เลยให้นายธาริตเป็นคนแก้
หนามยอกเอาหนามบ่ง
ไทยพับลิก้า : ซึ่งก็น่าจะแก้ได้ เพราะในเมื่อเป็นคนวางกับดัก ก็น่าจะถอดสลักได้
ถึงบอกว่าคนที่ใช้ธาริตทำงานนี้ใจดำจริงๆ อำมหิตมากเลย โทษทีนะ ขยับซ้ายก็โดนอีกฝ่ายด่า ขยับขวาก็โดนอีกฝ่ายด่า ถ้าผมเป็นธาริตนะ ผมไม่ทำคดีนี้ล่ะ ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ลาออก ย้ายไปที่อื่น ไปเป็นผู้ตรวจ เป็นรองปลัด ไม่เอาแล้วอธิบดีดีเอสไอ คือมัน…มนุษย์มันไม่ได้น่ะ มันเดินหน้าแล้วถอยหลัง เดินหน้าแล้วถอยหลัง แล้วต่อไปข้างหน้าแกก็จะถูกข้อหาว่าเป็นมนุษย์หรือเปล่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ นี่ไม่ได้รังเกียจธาริตเลยนะ จริงๆ ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับธาริต เห็นอกเห็นใจมากด้วย ยังคิดเลยว่าถ้าธาริตไม่มาช่วยเอาไว้อย่างนั้นคงยังต้องเหนื่อยกันอีกเยอะ ยังเคยคุยกับบรรดาแม่ทัพนายกองว่านี่ถ้าเราไม่ได้ธาริต เรายังต้องเหนื่อยสะเปะสะปะกันอีกเยอะ
ไทยพับลิก้า : แล้วตอนนี้คุยกับแม่ทัพนายกองว่าถ้าวันนั้นนายธาริตไม่ยุ่ง วันนี้จะเป็นอย่างไร
คงไม่ยุ่งขนาดนี้ (หัวเราะ) ทีนี้เลยสงสารแก เพราะเขาไปดึงแกมา อ้าวเอ็งผูกไว้ เอ็งมาแก้ คนเราจะเดินหน้าพร้อมถอยหลังได้อย่างไรล่ะ เมื่อวานยังเดินหน้า วันนี้มาถอยหลัง มันก็เท่ากับให้แกไปสวนกับความเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์โดยทั่วไปไม่ใช่อย่างนี้ พอเขาบอกให้ถอยหลัง ก็เลยเอามือเดินต่างเท้าไป มันทำให้แกดูตลก ดังนั้นคนที่ทำอย่างนี้ ไม่รู้ใครล่ะ ใจดำมาก พูดจริงๆ ว่าผมสงสารแก ในกลุ่มเสื้อแดงก็เชิดชูว่าเป็นวีรบุรุษ แต่คนเราเป็นวีรบุรุษพร้อมกันหลายสนามไม่ได้หรอก ไม่รู้แกตั้งใจอย่างไร อาจจะมั่นใจในการทำงาน มั่นใจในข้อกฎหมาย แต่ผมมั่นใจว่ากิ้งกือตกท่อ จำได้ไหมว่าคนว่ายน้ำเป็นตายเพราะจมน้ำ รถคว่ำทางเลียบ ไม่ใช่ทางชัน อันนี้ก็เหมือนกัน ที่สุดก็จะสะดุดขาตัวเอง สะดุดวิชาชีพตัวเอง อาจต้องเสียท่าในแง่มุมของกฎหมายซึ่งถือเป็นจุดเด่นของแกในการทำงาน เมื่อเดินสวนไปสวนมาอย่างนี้ มันก็มีสักวันที่พลาด แล้วคนก็จะบอกว่านี่เป็นเพราะเวรกรรม
ไทยพับลิก้า : เลวร้ายที่สุดสำหรับนายธาริตคืออะไร
แกก็โดนหลายคดีนะ แกก็ยังมาบ่นอยู่ว่าทำไม ปชป. ฟ้องแกทุกเรื่อง อ้าวไม่ฟ้องได้อย่างไร ก็เล่นแกล้งเขาทุกเรื่อง เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ยังเอา อย่างคดีบริจาคเงิน ดีเอสไอมาทำคดีอย่างนี้ได้อย่างไร แกก็ว่าคณะกรรมการคดีพิเศษลงมติว่าเป็นคดีพิเศษ ต่อไปคดีเด็กกระโดดกัดใบหูก็เป็นคดีพิเศษสิ มันไม่ใช่อย่างนั้น
ไทยพับลิก้า : 3 ปีผ่านไป สรุปบทเรียนความผิดพลาดของ ศอฉ. อย่างไร
จะเรียกว่าผิดพลาดคงไม่ได้ แต่ผมเสียดาย สถานการณ์ไม่ว่าใครจะใช้อาวุธ ติดอาวุธ แล้วเจ้าหน้าที่ปล่อยให้เข้าไปหรืออะไร แต่ถ้าความต่อเนื่องทางการเมืองมี ไม่ต่อสู้เพื่อเอาชนะทางการเมือง โดยใช้กรณีพวกนี้เป็นเครื่องมือเอาแพ้เอาชนะ ปล่อยให้กระบวนการตามกฎหมายจัดการอย่างตรงไปตรงมา มันจะเริ่มเข้ารูปเข้ารอย เสื้อเหลืองก็เริ่มจะขึ้นศาล เสื้อแดงที่ไปปิดล้อม เผาศาลากลาง ยิงที่ต่างๆ ก็เริ่มติดคุก และจะเป็นประโยชน์แก่รัฐบาลนี้ด้วย เพราะตอนปี 2551 เสื้อเหลืองทำได้ มาปี 2552 เสื้อแดงก็เลยทำบ้าง เขาก็เรียนรู้จากเสื้อเหลือง แต่ยกระดับขึ้นมา พอมาปี 2553 เริ่มมีกองกำลังเข้ามาเลย มันเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ สมมุติถ้ามันไม่ยุติเมื่อปี 2553 ปีต่อๆ ไป อีกฝ่ายที่แพ้ก็จะเอาวิธีเดียวกับเสื้อแดง ไปจัดตั้งมวลชน ตั้งสถานีดาวเทียม สร้างกองกำลัง แต่เอาให้แรงกว่านั้นอีก ถ้าทุกคนยุติที่ปี 2553 ใครทำอะไรไว้ก็รับโทษไป ไอ้ที่จะต่อไปรุนแรงกว่านั้นก็จะไม่กล้าแล้วไง ดังนั้น ถ้ารัฐบาลไม่อคติ ไม่คำนึงถึงการเมืองมากเกินไป ก็จะไม่มีใครกล้ามาท้าทายรัฐบาลชุดนี้ แต่เสียดายตอนนี้มันหยุด ที่จะปรองดอง หรือนิรโทษกรรม พยายามจะช่วยเสื้อแดง พอช่วยเสื้อแดง มันก็ต้องเผื่อแผ่ไปที่เสื้อเหลืองอีก ทุกคนก็ไม่ได้รับบทเรียน ไม่เจ็บ ไม่จำ ทำอะไรก็ได้ ต่อไปมันก็มาอีก ก็เริ่มวงจรใหม่
ไทยพับลิก้า : ถ้ารัฐบาลเพื่อไทย ไม่ช่วยมวลชน ก็เท่ากับเป็นการสาปส่งตัวเอง
มันก็เป็นอย่างนี้ เพราะเขาเติบโตบนมวลชนของเขา ก็เลยเป็นฝั่งเป็นฝา ต้องช่วย ต้องเยียวยาเสื้อแดง มันเลยไม่จบ ความจริงกฎหมายมันควรจะใช้บังคับอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยให้ทุกอย่างเดินไป ก่อแก้ว พิกุลทอง เป็น ส.ส. ก็มีสิทธิเข้าคุกได้ ต่อไปกฎหมายก็เป็นกฎหมาย คนก็กลัว ไม่กล้าทำผิด
ไทยพับลิก้า : หากจะเกิดม็อบรอบใหม่ คิดว่ากลุ่มไหนจะมีศักยภาพในการจัดการ เพราะขณะนี้แกนนำทุกสีล้วนบาดเจ็บและมีคดีติดตัว
ก็ถึงบอกไง ถ้าไม่ไปยุติตรงนี้ ให้คนที่บาดเจ็บเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายให้หมด มันก็ไม่เกิดอีก แต่ถ้าไปตัดตอน ไม่มีใครผิดเลย นิรโทษกรรมกันหมด มันก็จะมีกลุ่มเสื้อสีอะไรไม่รู้มาทำอย่างนี้อีก
......................................................................................................................
.............................................................................................................................
นี่เรียกว่าเป็นเรื่องเกิดม าจากอินเดีย จะเรียกว่า ศาสนาฮินดูเป็นแม่ ศาสนาพุทธเป็นพ่อ ก็ได้ ออกมาจากอินเดียทั้งนั้นแหล ะ ที่เรียกว่าไสยศาสตร์ นั้นก็ไม่ใช่เล่น เราถือไสยศาสตร์กันไปเกือบจ ะหมด ของสำหรับคนปัญญาอ่อน ของสำหรับเด็กๆ
เด็กๆไม่อาจจะรู้สูงได้ก็ถื อไสยศาสตร์ไปก่อน ฉะนั้นเด็กๆจึงได้รับคำสั่ง สอนให้เชื่อถืออย่างไสยศาสต ร์ นับถือผีสางเทวดา ภูตผีปีศาจกันไปก่อนแล้วจึง ค่อยมาถืออย่างสูงขึ้นมาเป็ นพุทธะล้วนๆ ไสยศาสตร์จึงฝังอยู่ในจิตใจ มาตั้งแต่เล็ก เรื่องของไสยศาสตร์มันทำให้ หายกลัวได้
ถ้าไม่มีความรู้อย่างพุทธศา สนา แล้วไสยศาสตร์ก็ไม่มี คนนั้นมันก็ว้าเหว่ มันจะเป็นบ้าเอาก็ได้ ไม่มีอะไรจะช่วยระงับความกล ัว ไสยศาสตร์แม้เป็นเรื่องงมงา ยอะไรก็เป็นที่พึ่งแก่คนปัญ ญาอ่อน หรือเป็นที่พึ่งแก่เด็กๆ ที่ในบ้านในเมืองไหนก็ตาม ประเทศไหนก็ตามเถอะ คนปัญญาอ่อนต้องมีมากมาย ดังนั้นไสยศาสตร์ต้องเก็บไว ้ เลิกไม่ได้นะ เอาไว้ให้คนปัญญาอ่อน เขาจะได้อุ่นอกอุ่นใจ แล้วก็ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้า ไสยศาสตร์มันช่วยคุ้มคนปัญญ าอ่อน
พุทธศาสตร์ก็จูงคนปัญญาแก่ก ล้าไป ฉะนั้นยังต้องเก็บไสยศาสตร์ ไว้ให้คนปัญญาอ่อน มันจึงเลิกไม่ได้ เลิกไม่ได้จนกระทั่งเดี๋ยวน ี้ แม้ในกรุงเทพฯ ก็ต้องเก็บไสยศาสตร์ไว้เยอะ แยะสำหรับคนปัญญาอ่อน จะได้ใช้เป็นที่พึ่ง
คัดลอกบางส่วน ท่านพระพุทธทาส ภิกขุ
หนังสือ "ลิขิต พุทธทาส ถึงน้องชายโดยธรรม กรุณา กุศาสัย"
เด็กๆไม่อาจจะรู้สูงได้ก็ถื
ถ้าไม่มีความรู้อย่างพุทธศา
พุทธศาสตร์ก็จูงคนปัญญาแก่ก
คัดลอกบางส่วน ท่านพระพุทธทาส ภิกขุ
หนังสือ "ลิขิต พุทธทาส ถึงน้องชายโดยธรรม กรุณา กุศาสัย"
.........................................................................................................................
...........................................................................................................................
.............................................................................................................................
สวัสดีครับ เราจบจากตอนที่แล้วที่การแนะนำประเภทของแท่นขุดเจาะชนิดต่างๆ ที่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเป้าใต้พื้นดินพื้นน้ำ ตามที่เพื่อนนักธรณีวิทยากำหนดมาให้ ตอนนี้เราก็จะมาว่ากันต่อหลังจากเลือกประเภทของแท่นได้แล้วเราทำอะไรกัน
ขอแนะนำอุปกรณ์สำคัญมากๆ 2 ชิ้น คือ หัวเจาะ (drill bit) และท่อหรือก้านเจาะ (drill pipe)
หัวเจาะ
หัวเจาะมี 2 แบบใหญ่ๆ แบบแรกเรียกว่า Roller cone bit แบบที่สองเรียกว่า Fixed-cutter bit หรือ PDC (Polycryterized Diamond Compact – พูดง่ายๆคือเพชรเทียมนั่นแหละครับ) ชื่อก็บอกโต้งๆ ว่าแบบแรกใบมีดตัวเจาะหมุนได้ ตัวที่สองใบมีดหมุนไม่ได้ (จริงๆหน้าตาไม่เหมือนใบมีด แต่ขอแปลอย่างนี้ไปก่อน เพื่อความเข้าใจแบบง่ายๆ)
ทั้งสองแบบมีที่มาที่ไป ข้อดีข้อด้อย และ การใช้งานที่ต่างกัน ผมจะไม่ลงลึกนะครับ โครงสร้างหัวเจาะคือ ตัวมัน ถ้าไม่ทำด้วยเหล็กก็โลหะผสมหล่อ ข้างในจะกลวงให้น้ำโคลน (mud) ไหลเข้า แล้วไปออกที่รู (ที่ปรับความกว้างได้) ทางปลายหัว รูที่ว่านั่น ไม่มีชื่อเรียกแปลเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษเราเรียกว่า nozzle ที่ถ้าจะดันทุรังแปลกัน น่าจะแปลว่ารูจมูกมังครับ
- Roller cone bit
นี่ครับแอนิเมชันจำลองการทำงานของเจ้าหัวเจาะแบบ roller cone bit หรือบางที่เรียกว่า Tri-cone bit เนื่องจากมันมี 3 cone ปุ่มๆ นั่นทำด้วย Tungsten carbine นะครับ ขนาดและรูปทรงแตกต่างกันตามการใช้งาน พอตัวมันหมุน เจ้า 3 cone มันก็หมุนขบกันตามไป ด้วยอัตราส่วนรอบที่ผมลืมไปแล้วว่าคำนวนยังไง
แอนิเมชันการทำงานของหัวเจาะชนิด Roller cone
- Fixed-cutter bit
และนี่ครับ แบบ Fixed-cutter bit หรือ PDC (Polycryterized Diamond Compact) หน้าตาคล้ายๆ มะเฟืองเนอะ ผมเรียกมันว่าหัวมะเฟือง จำนวนกลีบ (blade) และ ใบมีด (cutter) ก็ว่ากันตามการใช้งานนะครับ พอแค่นี้ก็แล้วกันสำหรับหัวเจาะ อยู่กันมาเป็นสิบปี ผมยังรู้จักไม่หมดเลย ไว้ตอนหน้าจะพูดถึงกลศาสตร์แบบต่างๆ ของหัวเจาะพวกนี้ครับ ตอนนี้ดูแต่รูปไปก่อนนะครับ
ก้านเจาะ
อุปกรณ์ไฮเทคชิ้นต่อมาเรียกว่าท่อเจาะ หรือ ก้านเจาะ (drill pipe) มันก็คือท่อเหล็กดีๆ นี่เอง ด้านหนึ่งเป็นตัวผู้ อีกด้านหนึ่งเป็นตัวเมีย ขนาดท่อก็แตกต่างกันไปตามการใช้งาน ส่วนใหญ่ก็ 3.5 นิ้ว 4 นิ้ว หรือ 5 นิ้ว ท่อนละประมาณ 10 เมตร หนึ่งท่อ เรียกว่า 1 ซิงเกิ้ล (single – ไม่ใช่ที่แปลว่าแผ่นเสียงหรือแปลว่าโสดนะครับ) จับ 3 ท่อ ขันเกลียวตัวผู้เข้ากับตัวเมีย (เอาด้านตัวผู้ปักหัวลง เอาด้านตัวเมียหงายขึ้น) เรียก 3 ท่อที่ต่อกันเรียบร้อยแล้วว่า 1 แสตน (stand) จับตั้งขึ้น เอาด้านตัวผู้ทิ่มลงบนพื้นแล้วพิงไว้กับโครงปั่นจั่น (derrick)
นี่ไงครับ รูปท่อเจาะ หรือ ก้านเจาะ (ผมขอเรียกว่าก้านเจาะ จากนี้ไปนะครับ)
นี่ครับ จับต่อเป็นสแตนแล้วตั้งพิงแบบนี้
แล้วเวลาจะเอามันลงหลุมก็ต่อกันแบบนี้ (คลิปประมาณ 5 นาทีเศษ) ผมมักจะตอบน้องๆ ว่า ไปหาประสบการณ์โดยเริ่มจากศูนย์ ก็งานประเภทนี้แหละครับ จริงๆ นี่ยังไม่ศูนย์เท่าไร เพราะหลายปีอยู่ กว่าเขาจะให้มาต่อท่อแบบที่เห็นในคลิป ก่อนหน้านั้นเป็นลูกมือ จัดของ ล้างแท่น ซ่อมปั๊ม อะไรไปโน่นก่อน
เสร็จแล้วเราก็เอาหัวเจาะมาต่อกับก้านเจาะ เราเรียกชุดที่ต่อแล้วว่า Drill string (แปลเป็นไทยให้สื่อความหมายไม่ได้จริงๆ ครับ จะแปลว่า “เส้นขุด” ก็จั๊กกะจี้) ปั๊มน้ำโคลนลงไปผ่านทางก้านขุดไปออกทางรูจมูก (nozzle) ของหัวขุด ปั่นหมุนก้านขุดที่ปลายด้านบนแท่น เอามาต่อกันที่ละแสตน บรรจงหย่อนมันลงไปบนขุดชั้นหิน
น้ำหนักที่กดลงบนหัวเจาะ (Weight On Bit หรืิอ WOB) = น้ำหนักของน้ำโคลนใน drill string “ก่อน” หัวเจาะแตะชั้นหิน - น้ำหนักของน้ำโคลนใน drill string “ขณะ” หัวเจาะแตะชั้นหิน
สมการซับซ้อนมากเลยใช่ไหมครับ พูดง่ายๆ ก็คือน้ำหนักส่วนที่หายไปนั่นแหละครับ ดูรูปด้านล่างประกอบ ภาพซ้าย ไม่ต้องสนใจตรงที่เขียนว่า drill collar นะครับ คิดซะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของก้านเจาะ ส่วนปลายสุดเป็นหัวเจาะครับ ภาพขวาจะเห็นชัดขึ้นครับว่าตรงปลายสุดมันเป็นยังไง
การคำนวนที่ต้องรู้
เอาล่ะครับ ดูรูปมาเยอะแล้ว มาเข้าทฤษฎีกันหน่อยดีไหมครับ เดี๋ยวจะมีแต่น้ำไม่มีเนื้อ
พลังงานที่เราใช้เจาะเนื้อหิน = [แรงบิด (Torque) x ความเร็วรอบของก้านเจาะ (RPM) ทั้งสองอย่างวัดที่บนแท่นนะครับ ไม่ได้วัดที่หัวขุด] - ความสูญเสียเชิงกลทั้งหมดในระบบ
แล้วเราควบคุมอะไรได้บ้างล่ะเนี่ย
- อย่างแรกล่ะ RPM ถ้าปั่นก้านเจาะเร็ว ค่า RPM ก็มาก
- อย่างต่อมา เราจะควบคุมแรงบิดได้ไง เราทำโดยตรงไม่ได้ครับ ทำได้ทางอ้อม (ทำนองว่าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา) ทางอ้อมที่ว่าคือ WOB (น้ำหนักที่เราปล่อยให้กดลงบนหัวเจาะ) ครับ ก็ง่ายๆ หย่อนน้ำหนักลงไปมาก WOB ก็มาก แรงบิดก็สูง แต่หย่อนน้ำหนักมากไป ก้านเจาะก็งอพับไปพับมา (buckle) ขุดไม่ได้อีก
- อัตราการไหลของน้ำโคลน (flow rate) จะมากจะน้อยเท่าไร ขึ้นกับหลายปัจจัยมากๆ ส่วนความดัน (pressure) เป็นผลของอัตราการไหล กับ ความต้านทานการไหลในระบบ
ตกลงที่เราบังคับควบคุมได้มี 3 อย่าง WOB, RPM, Flow rate
WOB + RPM ทำให้เกิด TorqueFlow rate + ความต้านทานการไหลในระบบ (บางอย่างเราคุมได้ บางอย่างคุมไม่ได้) ทำให้เกิด ความดันที่ก้านเจาะด้านบน (Surface Stand Pipe Pressure)
ถ้าให้ WOB (น้ำหนักที่เราปล่อยให้กดลงบนหัวเจาะ) เท่ากัน บนชั้นหินเหมือนกัน หัวเจาะแต่ละประเภท (roller cone หรือ PDC) ก็ให้แรงบิดที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการออกแบบและธรรมชาติของหัวเจาะแต่ล่ะประเภท ซึ่งไม่ขอลงลึก เดี๋ยวจะงงกันไปใหญ่
โครงสร้างของหลุมเจาะ
เอาล่ะ รู้จักหัวเจาะ ก้านเจาะ และ กลไกการขุดขั้นพื้นฐานแล้ว ต่อไปเรามาดูการขุดเจาะจริงๆ ว่ามี สถาปัตยกกรรมของหลุม (well architecture) เป็นอย่างไร
สถาปัตยกกรรมของหลุมมีได้หลายแบบมากๆ เหมือนใครสักคนจะบอกว่าสถาปัตยกรรมของบ้านเป็นอย่างไร มันก็ยากที่จะพูดให้คลุมให้หมดจด เพราะบ้านมันมีหลายแบบ ตั้งแต่ บ้านเดี่ยวไม่มีเล่าเต๊ง (ชั้นเดียว) ไปยัน ทาว์นเฮาส์ โฮมออฟฟิต ดอนโด ตึกสำนักงาน ผมคงอธิบาย สถาปัตยกกรรมของหลุม ได้ไม่ครบถ้วนหมดจดเช่นกัน แต่จะยกตัวอย่างแค่แบบเดียว พอให้เห็นภาพคร่าวๆพอ (เหมือนกับบอกว่า บ้านเดี่ยวชั้นเดียวหน้าตาเป็นไง ยังงั้นล่ะครับ)
ขนาดของหลุม = ขนาดของหัวเจาะ (จะบอกทำไมเนี่ย ใครๆ ก็รู้) ขนาดของหัวเจาะมาตราฐานโดยทั่วไปมีตั้งแต่ 5 7/8 นิ้ว 6 1/8 นิ้ว 8.5 นิ้ว 12.25 นิ้ว 17.5 นิ้ว 26 นิ้ว ขนาดอื่นก็มีนะครับ ไม่ได้มีแค่นี้
เราจะเจาะด้วยขนาดใหญ่ก่อน แล้วค่อยๆ ลดขนาดลง ดังรูปด้านขวา ส่วนจะเริ่มที่ขนาดไหน ไปจบลงที่ขนาดไหน เป็นทั้งศาสตร์ ศิลป์ ประสบการณ์ และ กึ๋น โดยทั่วไปเราจะเริ่มที่ขนาดที่เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไปจบที่ขนาดที่ใหญ่ที่สุดเท่านี่เป็นไปได้ งงไหมล่ะครับ
เหตุผลง่ายๆ คือ หลุมยิ่งใหญ่ ค่าใช้จ่ายในการเจาะต่อหนึ่งหน่วยความยาวหลุมยิ่งมาก ($/m) แต่ที่ตอนจบต้องการใหญ่ที่สุด นั่นเป็นเพราะ ยิ่งใหญ่ ยิ่งดี มีทางให้น้ำมันหรือก๊าซไหลได้เยอะ และยิ่งใหญ่ ขนาดความหลากหลายเครื่องไม้เครื่องมือที่จะหย่อนลงไปทำงาน (ในหลุมช่วงสุดท้าย) ก็มากขึ้น ถ้าขนาดของหลุมเล็กก็จะมีข้อจำกัดเรื่องขนาดของเครื่องไม้เครื่องมือเหล่านี้ (well intervention) และอีกเหตุผลหนึ่งคือ ถ้าหลุมมันป่วยมันเสีย ไม่ผลิต หรือผลิตน้อยลงกว่าที่คาดไว้ เราสามารถที่จะเจาะต่อไป (extend) หรือเจาะแถ (side track) จากช่วงนั้นได้เลย ในขณะที่ถ้าหลุมช่วง สุดท้ายเล็กเกินไปเราทำอย่างนั้นไม่ได้ ต้องทิ้งหลุม ไปหาที่เจาะใหม่ เพราะเล็กกว่านี้ก็ไม่มีหัวเจาะอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นโดยปกติเราจะออกแบบกันเหนียวไว้ 1 ขนาดเสมอ เช่น ถ้าเราจะจบที่ขนาดหลุม 6.125 นิ้ว เป็นขนาดสุดท้าย ตอนเราออกแบบเราก็จะออกแบบไว้ให้ขนาดสุดท้ายเป็น 8.5 นิ้ว เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เราก็ยังใช้หัวเจาะที่มีขนาดเล็กกว่านี้เจาะลงต่อไปได้ แต่ถ้าเราออกแบบไว้เป็น 6.125 นิ้ว แล้วเกิดอะไรขึ้น ก็จะใช้หัวเจาะขนาดเล็กกว่านี้เจาะไม่ได้ เพราะสุดท้ายจะไม่ได้หลุมตามขนาดของท่อผลิต (production tubing) ที่ออกแบบไว้ อาจจะต้องนับหนึ่งจ่ายตังค์เจาะหลุมใหม่กัน
ขนาดหัวเจาะนั้นสำคัญ
คืออย่างนี้ครับ ดูภาพด้านขวาประกอบ
ถ้าวิศวกรแหล่งผลิต (reservoir engineer) คำนวนแล้วบอกว่า ให้ใช้ท่อผลิต (production tubing) ได้ขนาดเล็กที่สุดคือ 3 1/2 นิ้ว นั่นแปลว่าขนาด ท่อกรุ (casing) ที่ใช้ครอบท่อผลิตเพื่อเพิ่มความแข็งแรงต้องมีขนาดใหญ่กว่าอย่างต่ำ 5 นิ้ว เล็กกว่านี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเอาท่อผลิตใส่ไม่ลง คือมันมีข้อจำกัดทางเทคนิคอื่นด้วย ไม่ใช่แค่เอาตัวเลขมาลบกัน เอ๊ะ 5 นิ้วมากกว่า 3 1/2 นิ้ว นี่ทำไมใส่ไม่ลง คือมันมีเรื่องความหนาของท่ออีก 5 นิ้ว เป็นขนาดภายนอกครับ ขนาดภายในจะเล็กกว่านี้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องขนาดช่องว่างระหว่างท่อขั้นต่ำเพื่อความปลอดภัย และ โน้นนี่นั่นอีกมากมาย
ถ้าท่อกรุขั้นต่ำต้องมีขนาด 5 นิ้ว ดังนั้นขนาดหลุม (ซึ่งเท่ากับขนาดหัวเจาะ) ก็ต้องมีขนาดใหญ่กว่าอย่างต่ำ 6.125 นิ้ว นั่นแปลว่า ถ้าเราออกแบบหลุมให้จบที่ 6.125 นิ้ว แล้วขณะขุดเกิดปัญหาขึ้น ก็ต้องเอาหัวเจาะขนาดเล็กกว่า 6.125 นิ้ว ลงไปเจาะ จริงไหมครับ เพราะหลุมเราจะขุดจากปากหลุมใหญ่ไปหาก้นหลุมที่เล็กกว่าปากหลุมเสมอ
พอต้องใช้หัวขุดขนาดที่เล็กกว่า 6.125 นิ้ว ท่อกรุ และ ท่อผลิต ที่ต้องใส่ตามมามันก็ต้องมีขนาดเล็กตามไปด้วย อ้าว พี่วิศวกรแหล่งผลิต ก็บอกว่า รับไม่ได้ หลุมจะผลิตไม่ได้ตามเป้าที่คำนวนไว้ แล้วจะไม่คุ้มทุนตามแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ (economic model)
นี่แค่กรณีเดียวนะครับ ยังไม่พูดถึงที่ถ้าขุดไปแล้ว ผลิตไปแล้ว วันดีคืนดี อยากจะขุดต่อให้ลึกไปอีกล่ะ หัวเจาะมันก็ต้องเล็กลงอีก ถ้าไม่เผื่อขนาดไว้ วันหน้าถ้าอยากเจาะต่อจะทำไง แต่เรื่องนี้วิศวกรขุดเจาะอย่างผมต้องคุยกับฝั่งนักธรณีวิทยาให้ชัดว่า จะขุดเผื่อขุดต่อไหม (หลุมจะแพงหน่อย) หรือจะเอาแบบจบกันแค่นี้ (ก็จะถูกหน่อย) แต่ส่วนมากก็นะ ตอนแรกบอกไม่ขุดต่อนะ ขอหลุมถูกๆ อีกห้าปีถัดมา ทำการประมวลผลข้อมูลคลื่นไหวสะเทือนใหม่ (seismic reprocessing) เจอของดี(น้ำมัน) ที่ลึกลงไปอีก หรือมีการคิดแบบจำลองโครงสร้างใต้ดินมาใหม่ ก็เสียดายว่า ทำไมไม่ออกแบบหลุมไว้เผื่อ ทำให้ต้องเสียเงินนับหนึ่งขุดหลุมใหม่
เห็นไหมครับ ว่ามันเกี่ยวพันยุ่งกันไปหมด
ดังนั้น โดยมากพวกผมจะเผื่อขนาดหัวเจาะไว้ 1 ไซด์ เหมือนซื้อรองเท้าหรือเสื้อเผื่อตัวใหญ่ไว้ก่อนน่ะครับ เช่นในตัวอย่างนี้ ผมก็จะออกแบบหลุมให้จบที่ 8 1/2 นิ้ว ใส่ท่อกรุ 7 นิ้ว แต่ ใส่ท่อผลิต 3 1/2 นิ้ว ตามเดิม ดังนั้น ถ้าระหว่างขุดด้วยหัวเจาะขนาด 8 1/2 นิ้ว แล้วผมเจอปัญหา ผมยังจะใช้หัวเจาะขนาดเล็กเจาะไปต่อได้ โดยที่ตอนจบของหลุม ผมยังใส่ท่อผลิตขนาด 3 1/2 นิ้ว ตามที่วิศวกรแหล่งผลิตกำหนดได้
ทวนความรู้
ทบทวนกันหน่อยว่ามีถึงตรงนี้แล้ว เรารู้อะไรบ้าง เราเริ่มที่เป้าใต้พื้นดิน (subsurface targets) ที่พี่ๆน้องๆ นักธรณีให้มา เรารู้จักแท่นเจาะแบบต่างๆ รู้จักหัวเจาะ ก้านเจาะ กลศาสตร์การเจาะแบบน้ำจิ้มๆ ติดปลายนวมนิดๆ หน่อยๆ แล้วมาจบตอนที่สถาปัตยกกรรมของหลุมแบบพื้นๆ ว่าถึงตอนหลุมเสร็จหน้าตาหลุมมันจะเป็นอย่างไร แต่ไม่โลดโผน ถึงขั้นเป็นหลุมเอียง (deviated well) เจาะแนวนอน (horizontal well) หรือ เจาะกันแบบแตกปลายหลายหลุมย่อย (multilateral well)
ยังครับ ซีรี่ส์นี้ยังไม่จบง่ายๆ ครับ … (โปรดติดตามตอนต่อไป) ตอนนี้ขอจบไว้ตรงนี้ก่อนครับ …
............................................................................................................................
"ผมเปลี่ยนตำแหน่งคนให้ถูกก
เป็นส่วนหนึ่งของงาน ผมฝึกอบรมพนักงานทุกคน และผมดูแลพวกเขา
เหมือนครอบครัว"
เจมส์ เอช.เฟอร์รี (James H.Ferry) จากคอลั่มน์ The Creative
http://
..............................................................................................................................
งานออนไลน์ ที่ดีที่สุด ทํางานผ่านเน็ต 100%
ทำได้อย่างไร? นศ. 21 ปี ซุ่มทำงานออนไลน์
ทำเงินได้มากกว่า 190,000 บาทด้วยเวลาเพียง 8 เดือน!
โดยไม่ได้ขายสินค้าแม้แต่ชิ
มากกว่า 35,000 บาท/เดือน แม้ว่าจะไม่ได้ทำอะไรเลย!!
...........................................................................................................................
หลายคนคงจะสงสัยว่า ท่านนี้คือใคร ผมจะเฉลยตอนนี้เลยครับ ว่าท่านนี้ คือ พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 1 หรือคาเมฮาเมฮามหาราช ผู้ก่อตั้งราชอาณาจักรฮาวาย
สารภาพครับ ครั้งแรกที่รู้ผมงงเป็นไก่ต าแตกเลย ผมว่าหลายท่านคงจะงงเหมือนก ัน ความเข้าใจของผมตลอดมาเกี่ย วกับฮาวายนะครับ คือ เป็นหมู่เกาะห่างไกลในมหาสม ุทรแปซิฟิก เพิ่งถูกคนพบโดยสหรัฐอเมริก า ผมคิดอย่างนั้นจริงๆนะ เพราะผมคิดว่ามันห่างไกลมาก จนสเปน โปรตุเกส หรือแม้แต่อังกฤษกับฝรั่งเศส ในยุคล่าอาณานิคมยังหาไม่เจ อ(คิดไปได้) พอเข้าสู่ยุคใหม่ ที่สหรัฐอเมริกาเป็นใหญ่ ก็เพิ่งจะพบ และเข้าไปบุกเบิก โดยมีชนพื้นเมืองชาวเกาะที่ ล้าหลังอาศัยอยู่ แต่หารู้ไม่ว่า เค้ามีการตั้งราชอาณาจักรกั นมาก่อนแล้วที่นั่น เป็นเรื่องใหม่สำหรับผมจริง ๆครับ ในเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เราไปรู้จักกับ “ราชอาณาจักรฮาวาย” กันเลยครับ
ราชอาณาจักรฮาวายก่อตั้งขึ้ นโดย พระเจ้าคาเมฮาเมฮามหาราช ในปี 1810 หลังจากที่พระองค์ทรงชนะสงค รามที่ยาวนาน พระองค์ได้ปราบดาภิเษกตนขึ้ นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ แรก หมู่เกาะฮาวายจึงเปลี่ยนผ่า นจากยุคโบราณมาเป็นยุคที่เร ิ่มมีการจัดระบบระเบียบในสั งคม ช่วงเวลาตั้งแต่ 1810 ถึง 1893 ราชอาณาจักรฮาวายปกครองโดยร าชวงศ์ 3 ราชวงศ์ ราชวงศ์คาเมฮาเมฮา คาลีมามาฮู และ ราชวงศ์คาลาคาอัว มีรายนามกษัตริย์ดังนี้
ราชวงศ์คาเมฮาเมฮา
1.พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 1 (1782-1819 รวมระยะเวลาที่สู้รบรวบรวมอ าณาจักรก่อนปี 1810)
2.พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 2 (1819-1824)
3.พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 3 (1825-1854 เปลี่ยนระบอบการปกครองจากสม บูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นราช าธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ)
4.พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 (1855-1863)
5.พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 5 (1863-1872)
ราชวงศ์คาลีมามาฮู
1.พระเจ้าลูนาลิโล (1873-1874 ราชวงศ์นี้มีพระองค์เดียว)
ราชวงศ์คาลาคาอัว
1.พระเจ้าคาลาคาอัว (1874-1891)
2.สมเด็จพระราชินีนาถลีลีโอ กาลานี (1891-1893 ล้มล้างระบอบกษัตริย์ถูกผนว กเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐ อเมริกา)
ในสมัยสมเด็จพระราชินีนาถลี ลีโอกาลานีแห่งฮาวาย นักธุรกิจชาวยุโรปและชาวอเม ริกันส่วนใหญ่ไม่พอใจการปกค รองของพระองค์ เนื่องจากพวกเขาต้องการผนวก ฮาวายเป็นส่วนหนึ่งกับสหรัฐ อเมริกาเพื่อที่จะได้กอบโกย ผลประโยชน์จากการค้าน้ำตาลใ นฮาวาย พวกเขาเริ่มกระบวนการการผนว กฮาวาย โดยเริ่มจากการจัดตั้ง"คณะก รรมาธิการความปลอดภัย"ขึ้น เพื่อสู้กับพระราชินี จนในที่สุดสหรัฐก็ส่งนาวิกโ ยธินและกองทัพเรือมาเพื่อยึ ดฮาวาย ทำให้พระมหากษัตริย์และพระร าชวงศ์ฮาวายไม่มีทางต่อต้าน
17 กรกฏาคม 1893 เซนต์ฟอร์ด บี ดอลและคนของเขาได้ประกาศจัด ตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลฮาวายขึ้ น เพื่อปกครองฮาวายจนกว่าจะถู กผนวกเข้ากับสหรัฐอเมริกา พวกเขาจับกุมพระราชินีและพร ะราชวงศ์ และสั่งจำคุก จากนั้นก็ประกาศจัดตั้งสาธา รณรัฐฮาวาย
ในปี 1898 ฮาวายก็ได้รับการอนุมัติว่า เป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริ กาอย่างเป็นทางการในสมัยประ ธานาธิบดีวิลเลียม แมกคินลีย์ นับเป็นการสิ้นสุดอย่างเป็น ทางการของราชอาณาจักรฮาวาย
*** 1810 คือปี พ.ศ.2353 ยุคเดียวกับพระบาทสมเด็จพระ พุทธเลิศหล้านภาลัย
*** อนึ่ง วันนี้ (8 พฤษภาคม) เมื่อปี 1819 เป็นสวรรคตของบุคคลในภาพนี้ คือ พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 1
ขอบคุณข้อมูล จาก วิกิพีเดีย
สารภาพครับ ครั้งแรกที่รู้ผมงงเป็นไก่ต
ราชอาณาจักรฮาวายก่อตั้งขึ้
ราชวงศ์คาเมฮาเมฮา
1.พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 1 (1782-1819 รวมระยะเวลาที่สู้รบรวบรวมอ
2.พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 2 (1819-1824)
3.พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 3 (1825-1854 เปลี่ยนระบอบการปกครองจากสม
4.พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 (1855-1863)
5.พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 5 (1863-1872)
ราชวงศ์คาลีมามาฮู
1.พระเจ้าลูนาลิโล (1873-1874 ราชวงศ์นี้มีพระองค์เดียว)
ราชวงศ์คาลาคาอัว
1.พระเจ้าคาลาคาอัว (1874-1891)
2.สมเด็จพระราชินีนาถลีลีโอ
ในสมัยสมเด็จพระราชินีนาถลี
17 กรกฏาคม 1893 เซนต์ฟอร์ด บี ดอลและคนของเขาได้ประกาศจัด
ในปี 1898 ฮาวายก็ได้รับการอนุมัติว่า
*** 1810 คือปี พ.ศ.2353 ยุคเดียวกับพระบาทสมเด็จพระ
*** อนึ่ง วันนี้ (8 พฤษภาคม) เมื่อปี 1819 เป็นสวรรคตของบุคคลในภาพนี้
ขอบคุณข้อมูล จาก วิกิพีเดีย
.......................................................................................................................
“รัฐต้องทบทวน ประชาชนต้องปรับตัว” ทัศนะนักกฎหมายมุสลิมต่อการพูดคุยสันติภาพ
เวที Bicara Patani ของฝากจากนักกฎหมายมุสลิมต่อการพูดคุยเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ จี้รัฐต้องทบทวนหลายประการ ทั้งกระบวนการยุติธรรม ยกเลิกกฎหมายพิเศษ เปิดพื้นที่ทางการเมือง ให้โอกาสประชาชน สร้างดุลอำนาจในพื้นที่ ชี้ประชาชนต้องปรับตัว กำหนดยุทธศาสตร์ร่วมเพื่อเดินไปข้างหน้า
นายอนุกูล อาแวปูเตะ ประธานศูนย์ทนายความมุสลิม ประจำจังหวัดปัตตานี มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม [MAC] กล่าวปาฐกถาในเวทีเสวนาปาตานี หรือ Bicara Patani หัวข้อ “28 ก.พ.: สัญญาณบวกหรือลบต่อกระบวนการสันติภาพปาตานี” หรือ “28 Feb : Petanda Baik atau Buruk Proses Damai Patani” เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2556 เวลา 13.00 น. ณ หอประชุมสำนักงานอธิการบดี (สนอ.) มอ.ปัตตานี จัดโดยโดย สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ [PERMAS] ร่วมกับองค์กรต่างๆ ในพื้นที่ โดยสรุปความได้ดังต่อไปนี้
นายอนุกูล อาแวปูเตะ (ภาพจากเฟสบุ๊กของ Bicara Patani @PSU Pattani)
ถ้าใครติดตามสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนใหญ่จะเห็นในมุมของความรุนแรงทางสื่อ แต่อีกมุมหนึ่งสังคมต้องการความช่วยเหลือ อีกมุมหนึ่งสังคมถูกกระทำหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้อำนาจ สิ่งเหล่านี้คือเราะห์มัต(ความโปรดปรานของพระเจ้า) ที่ให้คนในพื้นที่มีโอกาสในการแสดงจิตใจสาธารณที่อยากจะช่วยเหลือโดยอาศัยพลังขององค์ความรู้
ทุกๆ ความรู้ที่จะดำรงความยุติธรรมย่อมมีประโยชน์ และทุกความรู้มีความเท่าเทียมกัน ถ้ามีความบริสุทธิ์ใจ อินชาอัลลอฮ อัลลอฮตอบแทนในความพยายาม
ผมอยากให้พวกเราทบทวนเหตุการณ์ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ผมอยากให้ทิ้งภาพที่เลวร้ายเหล่านั้น แล้วนำมาสู่ภาพที่ดีกว่า แต่ผมไม่อาจให้คำตอบได้ว่า วันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ จะเป็นผลบวกหรือลบ และผมเชื่อว่าไม่มีใครตอบได้
แต่สัญญาณบางอย่างแสดงให้เห็นพลังของคนในพื้นที่ การเติบโตทางความคิด การตระหนักในเรื่องสิทธิมันเกิดขึ้นเป็นประจักษ์ เพราะผมเห็นตั้งแต่ชาวบ้านที่ไม่กล้าที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเอง แต่วันนี้มีความกล้า เมื่อก่อนไม่มีใครกล้าพูด คำว่า "BRN" เป็นคำแสวงใจ แต่วันนี้มีการพูดทางสื่อเป็นเรื่องปกติ แสดงว่าสังคมเปิดขึ้น
การพูดคุยคงไม่ใช่เป็นเรื่องของคน 2 คน แต่การเจรจาสันติภาพ การเจรจาเรื่องพื้นที่ความขัดแย้งนั้น เบื้องหลังของแต่ละคนมันคือชะตากรรมของคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
วันนี้เรายังมีคนที่ไม่กล้าลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของตนเอง เรามีคนที่ถูกกดดันจากการใช้อำนาจของรัฐ สิ่งเหล่านี้คือปัญหาและอุปสรรค วันนี้เราต้องปลดล็อคตรงนั้นให้ได้ เวทีนี้ถือว่ามีส่วนอย่างมากในการสร้างกระแสหรือสร้างพื้นที่ทางการเมืองของคนในพื้นที่
ผมคิดว่าการพูดคุยจะทำอย่างไรก็ได้ ขอให้หยุดเหตุการณ์ในพื้นให้ได้ สำหรับคนในพื้นที่นอกจากจะต้องหยุดสิ่งเหล่านั้นแล้ว จะต้องคิดที่จะสร้างสังคมที่ยั่งยืนในพื้นที่ เพราะเราต้องอยู่ที่นี่ เราไม่ได้อยู่ในมาเลเซีย เราจะปล่อยให้คนอื่นคิดไม่ได้ เราต้องคิดเพื่อตัวของเราเอง
สิ่งที่ผมอยากจะฝากทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายขบวนการ ในฐานะที่ผมทำงานภาคประชาชน ได้เจอกับชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน คิดว่าการส่งเสียงของผมมันคือความรู้สึกเดียวกันกับคนในพื้นที่
ประการแรก กระบวนการยุติธรรมที่ให้ความเป็นธรรมจริงๆ ไม่เลือกปฏิบัติ ทุกคนที่อยู่ภายใต้กฎหมายถ้าทำผิดจะต้องได้รับโทษเหมือนกันทุกคน ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่จะอยู่ลอยนวลเหนือกฎหมาย
อีกประการ คือกฎหมายพิเศษ เห็นจากสื่อว่าฝ่ายขบวนการบีอาร์เอ็นต้องการให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษเหมือนกัน ผมจะบอกว่า ผมก็เคยเรียกร้องให้ยกเลิกมาแล้ว เคยเรียกร้องให้รู้ว่ากฎหมายพิเศษมีปัญหาอย่างไร มีคนถูกซ้อมทรมานจากการใช้กฎหมายพิเศษเท่าไหร่ ผมมีสถิติ แต่ไม่ได้รับการตอบรับ วันนี้ผมคิดว่าควรจะทบทวนการใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่
ประการต่อมา ระบอบประชาธิปไตยที่มีการจัดสรรทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน อาจจะบอกว่ามีการเลือกตั้งแล้วทั้งระดับชาติและท้องถิ่น แต่มันไม่ตอบสนองต่อการแก้ปัญหาในพื้นที่ได้ จึงมีคนกลุ่มหนึ่งที่แสวงหาแนวทางใหม่ รูปแบบใหม่ขึ้นมา
เรื่องการศึกษา สถาบันการศึกษาต้องสร้างคน ต้องพัฒนาคนให้เป็นคนดี ในพื้นที่เยาวชนมีจำนวนมาก แต่ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมาเยาวชนติดยาเสพติด ถูกมอมเมาด้วยวัตถุนิยม มันเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ เป็นสิ่งที่เราต้องตระหนัก
เรื่องอื่นๆ ยังมีอีกเยอะคงพูดไม่หมด ผมคิดว่าการจัดเวทีครั้งนี้ เป็นการเปิดพื้นที่ทางการเมืองของภาคประชาชน ต่อไปต้องขยายไปจัดแต่ละจังหวัด เปิดเวทีในชุมชน หมู่บ้าน และรัฐต้องมีเจตนาที่ดีในการเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีโอกาสเรียกร้องสิทธิของตนเอง มองเห็นความคิดที่แตกต่าง แล้วก็ยอมรับและเคารพในความคดที่แตกต่างเหล่านั้น
ถ้าเป็นอย่างนี้ มันจะสร้างดุลอำนาจขึ้นในพื้นที่ได้ เพราะเหล่านี้เป็นเรื่องของสิทธิ เสรีภาพ เมื่อไหร่ที่รัฐเปิดพื้นที่ขึ้น แม้อำนาจของรัฐจะต้องถูกลดทอนลงไปบ้าง แต่ก็สร้างสมดุลให้ในพื้นที่มีการถ่วงดุลมากขึ้น
ผมอยากให้ภาคประชาชนปรับตัว ผู้นำศาสนาต้องปรับตัว ผู้นำศาสนาต้องทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ต้องสร้างศักยภาพให้กับตนเอง
.........................................................................................................................
Spider Lizard คือกิ้งก่าที่อาศัยอยู่แถบพ
--------------------------
รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ กับช่องทีวี สำรวจโลก และอีก 5 ช่องคุณภาพ จาก Next Step ได้ทางกล่องดาวเทียม Infosat HD by DTV ระบบ KU band คุณภาพเหนือความชัด พบกันทั่วประเทศ 20 พฤษภาคมนี้ ที่ตัวแทนจำหน่าย Infosat ทั่วประเทศ http://nextsteptv.com/
................................................................................................................................
วันนี้เพิ่งเห็นโฆษณาเรื่อง หนึ่ง รู้สึกว่าดีมาก ก็เลยขอนำมาลงไว้ให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน
แฟนคลับของภาพยนต์เรื่อง Star Trek คงจะจำคุณ Leonard Nimoy ซึ่งรับบทของ Mr. Spock ได้
ตามบทของภาพยนต์นั้น Mr. Spock ได้รับการยกย่องในโลกของ Star Trek ว่าเป็นผู้ที่ฉลาดรอบรู้ที่ สุด
ในการ promote ภาพยนต์ชุดใหม่ของ Star Trek ซึ่ง คุณ Zachary Quinto รับบทเป็น Young Mr. Spock นั้น ก็เลยทำให้ทั้งคู่เข้ามาพบก ันในโฆษณาชุดนี้ ซึ่งถ่ายทำโดยบริษัท Audi ชื่อว่า The Challenge หรือ การท้าทาย
การเผชิญหน้าระหว่าง Mr. Spock (เก่า) กับ Mr. Spock (ใหม่) เริ่มขึ้นด้วยการเล่นเกมส์ห มากรุกบน I-Pad อย่างไรก็ตาม มันก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นก าร “แข่งขัน” ด้วยเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ คือว่า ใครสามารถเดินทางไปถึง สโมสรกอล์ฟ (Golf Country Club) ทีหลัง ก็จะต้องซืื้ออาหารกลางวันใ ห้ และ Mr. Spock ทั้งสองคน ก็ใช้ยานพาหนะที่ตนเองชื่นช อบ Old Mr. Spock ใช้ Mercedes-Benz CL550 (อ้างอิง: http://www.mbusa.com/ mercedes/vehicles/model/ class-CL/model-CL550C4) ส่วน Young Mr. Spock ใช้ Audi S 7 (อ้างอิง: http://models.audiusa.com/ s7-sedan)
ดิฉันจะไม่ขอบอกว่าเรื่องมั นจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เท่าที่ดูมานั้น โฆษณานี้สร้างได้ดี และเป็นที่น่าจะติดตามตั้งแ ต่ต้นจนจบ เพราะให้ความบันเทิงเป็นอย่ างมาก ถึงแม้ว่า Mr. Spock คนใหม่จะขับรถไปไหนมาไหนได้ อย่างง่ายดายก็ตาม แต่อย่าไปดูถูกดูแคลน Mr. Spock คนเก่าอย่างเด็ดขาด เนื่องจากว่า เขาเดินทางไปรอบจักรวาลมาก่ อนเป็นเวลาแสนนาน แถมยังมีลูกไม้กลเม็ดเด็ดๆ แฝงอยู่เสมอ...
เชิญติดตามชมได้ค่ะ
Doungchampa Spencer
แฟนคลับของภาพยนต์เรื่อง Star Trek คงจะจำคุณ Leonard Nimoy ซึ่งรับบทของ Mr. Spock ได้
ตามบทของภาพยนต์นั้น Mr. Spock ได้รับการยกย่องในโลกของ Star Trek ว่าเป็นผู้ที่ฉลาดรอบรู้ที่
ในการ promote ภาพยนต์ชุดใหม่ของ Star Trek ซึ่ง คุณ Zachary Quinto รับบทเป็น Young Mr. Spock นั้น ก็เลยทำให้ทั้งคู่เข้ามาพบก
การเผชิญหน้าระหว่าง Mr. Spock (เก่า) กับ Mr. Spock (ใหม่) เริ่มขึ้นด้วยการเล่นเกมส์ห
ดิฉันจะไม่ขอบอกว่าเรื่องมั
เชิญติดตามชมได้ค่ะ
Doungchampa Spencer
.......................................................................................................................
สัตว์ประหลาดหน้าตาคุ้นๆนะ
มุกวิทย์ เหี้ย เหี้ย จาก Sirinat ThePirate
https://www.facebook.com/
.............................................................................................................................
Review พลังงานสำรองของไทยงวดนี้ ก็อยากจะขอทำการเยาะเย้ย พลพรรคเพื่อไทยกับฝั่งเสื้อแดงที่สมัยรัฐบาลมาร์คไปไล่ล้อเค้าว่ารัฐบาลทำน้ำมันแพงพอตัวมาเป็นรัฐบาล ทำเรื่องยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน จนงามไส้ ต้นปี ก่อหนี้ไว้กว่า2หมื่นล้าน เก็บเงินเข้าใหม่ตั้งนาน หนี้ก็ยังแตะระดับ 12,860ล้านบาทที่เดือน เมษายน [1] เพราะ ก็น้ำมันมันแพงจริงๆ การยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อการซื้อเสียงพอหมดโปรโมชั่น เราก็ต้องทยอยผ่อนเงินเข้าใช้หนี้ จน ตอนนี้ เราต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนน้ำมันแพงกว่ารัฐบาลไข่ถึง2 บาท/ลิตร [2] กิ๊วๆ อย่างไรก็ตาม นับเป็นเรื่องเสียดายมากที่พอพลพรรคปชป กลายเป็นฝ่ายแค้น เหล่าสาวกอดีตรัฐบวม ก็ถูก NGO หลอกให้เชื่อว่าจริงน้ำมันราคาถูกปตท เป็นตัวทำน้ำมันแพง มาเย้วๆทวงปตทอยู่นี่ พวกหนูๆเสื้อแดงดูๆแล้วก็จำๆไว้นะครับวันนี้เป็นฝั่งรัฐบาล งวดหน้าถ้าเกิดเป็นฝ่ายค้านก็อย่าให้ถูก NGO เขาเป่าหูได้อีกก็แล้วกัน ว่าแล้วก็ทนใช้หนี้กันไปตามสภาพนะครับพี่น้อง
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า Thereain't no such thing as a free lunch[3]
ปริมาณพลังงานสำรองของไทยมีการเพิ่มขึ้นในช่วงต้นๆเพราะมีการค้นพบ Reserve ใหม่ๆเพิ่มขึ้น ระยะเวลา Depletion ที่พลังงานไทยจะหมดก็เหมือนถูกต่อยอดออกไปจนช่วงหลังปี 2007 อัตราการเติบโตของการใช้งานก็พุ่งทะยานเกินอัตราการค้นพบ และจนถึงปัจจุบันนี้ ในปี 2011 ถ้าไม่มีการนำเข้าน้ำมันหรือการ Import พลังงานของไทยจะหมดลงภายใน6.1 ปี ตัวเลขที่เห็นรัฐบอกว่าเป็น 10 ปีกว่าๆนี่คือตัวเลขที่หักลบการ Import ไปแล้วนั่นเอง
การนำเข้าพลังงานของไทย
ประเทศไทยเรา มีการนำเข้าพลังงานครึ่งหนึ่ง ใช้งานอีกครึ่งหนึ่งโดยรวม ก็คือ เราต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงเป็นจำนวนเทียบเท่า 115,000,000ตันน้ำมันดิบ ต่อปี และก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในกราฟตามรูปที่ 2 จะเห็นการใช้คำว่า PrimaryEnergy Consumption คำว่า Primary Energy ตรงนี้มีความหมายว่าเป็นตัวเลขพลังงานในเชื้อเพลิงดิบที่นำเข้าก่อนการแปรรูป เราต้องเข้าใจว่าพลังงานมีการสูญเสียขณะแปรรูป เช่น ถ้าเราเผาน้ำมันเตา จำนวน 1 TOE (มีพลังงาน 42 GJ/TOE) ประสิทธิภาพของGenerator แบบ Combine Cycle มีอยู่ 70%พลังงานไฟฟ้าที่เราจะนำใช้ได้ก็จะมีเพียง 0.7 TOE หรือ 29.4 GJ เพียงเท่านั้น กับอีกส่วนหนึ่ง น้ำมันหรือ ก๊าซ ที่นำเข้า ก็อาจถูกนำใช้ในกิจกรรมอื่นๆเช่นปิโตรเคมี ผลิตเป็นพลาสติกหรือกลายเป็น Solvent และอื่นๆได้อีกมาก ตามแผนภูมิด้านล่าง ตัวเลขในแผนภูมิจัดทำโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งจะมีข้อมูลรวมของพลังงานหมุนเวียนเข้าไปด้วยเป็นบางส่วน[5] สำหรับท่านที่คิดว่าประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกน้ำมันอยากให้ดูตรงยอดรวมพลังงานที่มีอยู่ 143,690,000 TOEเราส่งออกคือ 12,842,000 TOE ซึ่งหวังว่า ข้อมูลตรงนี้คงไม่มีความสับสนกันในหน่วย TOE (ตันน้ำมันดิบ) กับ BOE(บาร์เรลน้ำมันดิบ) ที่เป็นเหตุความสับสนให้มีผู้มาปั่นหัวว่าประเทศไทยมีพลังงานสำรองเหลือเฟือ
ก๊าซธรรมชาติใช้ได้ 60 ปี วันนี้เหลือ ใช้ได้ 10 ปี??
เรากลับมาต่อกันเรื่องสัดส่วนการใช้พลังงานอีกนิดจากกราฟตามรูปที่ 2 เราใช้พลังงานครึ่งหนึ่งนำเข้าอีกครึ่งหนึ่ง ตรงนี้คือในภาพรวม ในภาพย่อยที่น่าสนใจคือการใช้ก๊าซธรรมชาติ เราคงเคยได้ยินว่าประเทศไทย มีก๊าซธรรมชาติใช้ได้ 60 ปี ตัวเลข 60 ปี มันหมายถึง ในปี 1990 ด้วยอัตราการใช้ของตอนนั้นมันจะใช้กันได้ถึง 60 ปี แต่ข้อเท็จจริงของวันนี้การใช้ก๊าซธรรมชาติของเรา มีปริมาณเกือบ 10 เท่าของปี 1990และ นั่นทำให้ ปริมาณก๊าซ จะหมดอ่าวไทยในช่วงปี 2023 ถ้าไม่สามารถค้นหาแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศเพิ่ม ปริมาณการจัดหาจัดซื้อก๊าซธรรมชาติตอนนี้เราพี่งพาจากพม่าเป็นหลัก และเราก็พยายามจัดซื้อ LNG เข้ามาทดแทนเพื่อลดการใช้ทรัพยากรของเราเองเพื่อชะลอวันน้ำมันหมดประเทศแน่นอน การทำอย่างนั้น มันย่อมแพงกว่าผลิตเอง ณ ปัจจุบัน ราคาก๊าซธรรมชาติของโรงงานอุตสาหกรรมจะมีค่าใช้จ่ายที่ประมาณ 400 B/MBTU เทียบเป็นกิโลกรัมแบบ NGVนั่นจะอยู่ที่ประมาณ 14 บาทต่อกิโลกรัม แพงกว่าที่ภาคประชาชนใช้อยู่4 บาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่มีการชดเชยมาจากกองทุนซื้อเสียง เอ๊ยกองทุนน้ำมัน ณ ตอนนี้ ตัวเลขการใช้เชื้อเพลิงชนิดก๊าซธรรมชาติเป็นการใช้จากของเราเอง 90% และเมื่อมีการเปลี่ยนสัดส่วนถึงจุดหนึ่ง มูลค่าพลังงานจะต้องถูกกระทบ สำหรับราคาเปรียบเทียบของก๊าซธรรมชาติราคาของ อเมริกาจะเทียบที่ 120 B/MMBTU[6] ราคาของประเทศ EUจะอยู่ระหว่าง 470 – 1300 B/EU [7]
ผมไม่แน่ใจว่า คนอื่นจะรู้สึกอย่างไรเวลาที่เราอยากให้ค่าไฟฟ้าถูก ก็คือเราผลิตไฟฟ้าจากก๊าซให้มันเยอะขึ้น แต่ค่าไฟฟ้าที่ถูกลง ก็จะสัมพันธ์กับปริมาณพลังงานสำรองที่ลดลงฮวบๆผมรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูกกับแนวคิดบริโภคนิยมในยุคปัจจุบัน
การใช้พลังงานหมุนเวียน ในพลังงานในขั้นสุดท้ายของประเทศไทย
ทีนี้ ถ้าเราจะมาดูสัดส่วนการใช้พลังงานในขั้นสุดท้าย ซึ่ง ในปี2555 เราได้มีการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายอยู่ที่ 73,316kTOE ต่อปี เราจะพบว่า เราพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นสัดส่วนถึง 46%ซึ่งทำให้การลดลงของปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติเป็นไปอย่างฮวบๆสิ่งที่น่าสนใจในกราฟนี้ คือสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ประเทศไทย มีการใช้พลังงานหมุนเวียนรวมกันคือประมาณ31% ในส่วนนี้ มีพลังงานหมุนเวียนรูปแบบดั้งเดิมอยู่ด้วยนั่นคือการใช้ฟืน ถ่าน วัสดุเหลือใช้ในการเกษตร ที่เรียกว่า TraditionalRenewable เป็นจำนวน 16%
ในกราฟข้างต้นอาจดูยุ่งยาก แต่ถ้าเราสรุปออกมาเป็นเฉพาะพลังงานสิ้นเปลือง กับพลังงานหมุนเวียน เราพอจะสรุปออกมาได้ตามตารางนี้ โดยประมาณ
สัดส่วนการใช้พลังงาน Renewableมันสำคัญอย่างไร จุดสำคัญก็คือ พลังงานหมุนเวียนจากชีวมวลถ้าเป็นการจัดหาเพิ่ม ตรงนี้จะเป็นการลดการพึ่งพาพลังงานสิ้นเปลืองแต่ถ้าเป็นการเปลี่ยนจากการใช้แบบ Traditional Renewable มาเป็นRenewable นั่นเป็นแค่การเปลี่ยน Category การใช้พลังงาน และผู้ใช้เตาถ่าน ฟืน หรือวัสดุเหลือใช้เหล่านี้ก็จะต้องมาใช้พลังงานในรูปแบบใหม่ แทนจะใช้เตาถ่านก็เปลี่ยนเป็นเตาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแทน ซึ่ง มันก็จะไม่ได้ช่วยอะไรซึ่งประเทศไทย จะต้องมีการเพิ่ม Renewable Energy กินที่เข้าไปในการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติหรือ น้ำมัน ให้ได้ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยน Category
แผนการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้า
ข้อมูลของแผนพัฒนาไฟฟ้าแห่งชาติ [8] โดยสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนมีเป้าจะขยายเพิ่ม 3% ใน 18 ปี ตัวเลขนี้จริงๆแล้วมิใช่น้อย แต่เพราะอัตราการเติบโตของการใช้พลังงานมีการขยายตัวกว่า100% ตลอดช่วงเวลา 20 ปีในอนาคตทำให้การเปลี่ยนสัดส่วนโครงสร้างการใช้พลังงานนั้น เป็นไปโดยยาก
ในโครงสร้างการใช้พลังงานหมุนเวียนพลังงานหมุนเวียนที่มีอัตราการขยายโดยสัดส่วนมากที่สุดคือพลังงานแสงอาทิตย์จากระบบPhoto Voltaic ซึ่งจะมีการขยายการผลิตถึง 28 เท่าตลอดช่วงปี 2554 – 2573 สำหรับระบบพลังงานชีวมวลจะมีการขยายกำลังผลิตที่ 3.5 เท่า
กำลังการผลิตนี้ ไม่ใช่สัดส่วนเดียวกับพลังงานที่เราจะได้เนื่องจากขนาดของ Capacity Factor ของพลังงานแต่ละชนิดนั้นไม่เท่ากันพลังงานแสงอาทิตย์ ถ้าบ่งชี้ว่ามีกำลังการผลิต 1 kW พลังงานที่จะได้จริงตลอดช่วง24 ชั่วโมง จะได้เพียง 4 kWh เป็นอย่างมากพลังงานลม จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 20 – 40% ของขนาด Capacityด้วยการแปรผันของความเร็วลมตลอดช่วงฤดูกาลส่วนพลังงานน้ำและชีวมวลจะต่างออกไปเนื่องจากมีการ Reserve เชื้อเพลิงหรือต้นกำลังไว้ได้และขนาดกำลังการผลิตจะแปรผันกับปริมาณพลังงานตรงกว่าขนาด Capacity ของโซล่าเซลล์ และพลังงานลม [9]
เมื่อทำการปรับใช้ค่า Capacity Factorแล้ว จะพบว่า ในขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า ที่ขยายขึ้นกว่า 3.3 เท่า พลังงานหมุนเวียนที่นำใช้ได้มากขึ้น คือ 2.9 เท่าโดยส่วนพลังงานแสงอาทิตย์และลม จะเห็นว่ามีการขยายเป็นอันมากตาม MW แต่สัดส่วนเป็นพลังงานจะน้อยกว่ากำลังผลิตที่ยกไว้มาก ในทางกลับกันชีวมวลที่เห็นมีการเพิ่มกำลังผลิตน้อยกว่า พลังงานจากชีวมวล จะมีผลลัพธ์ปริมาณพลังงานสำรองที่มากขึ้นเป็นรูปธรรมมากกว่ากำลังการผลิตของSolar Cell แต่กำลังผลิตไฟฟ้าจาก Solar Cell อาจนับเป็นตัวช่วยของการตัด Peak load ที่มักเกิดขึ้นในช่วงกลางวันแต่สุดท้ายเราก็ยังมีปัญหาเชิงปริมาณอยู่ดี
โดยสรุป
จากการ Reviewปริมาณพลังงานสำรองของประเทศไทย และขยายผลดูไปถึงพลังงานหมุนเวียนของไทยเราจะเห็นได้ว่า พลังงานสำรองของไทย ยังอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนยังไม่เป็นรูปธรรมอย่างเพียงพอ ถ้าเราคิดถึงข้อเท็จจริงที่ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยมีระยะเวลาที่สามารถ Support การใช้งานได้เพียง 10 –30 ปี ตามอัตราใช้ปัจจุบัน การหมดของพลังงานจะเร็วกว่านั้นถ้าเรานำปัจจัยเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจมาคิดประกอบด้วย
ในขณะที่คนไทยเรายังเชื่อว่า สถานการณ์พลังงานของไทยเรายังมีตัวเลือกมากมาย ตัวเลือกที่ปรากฎ ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่จะทำได้ กลับมีข้อจำกัดอยู่มาก ในกรณีที่เราคิดจะแปลงสัดส่วนการใช้พลังงานของภาคการขนส่งไปเป็นการใช้จากพลังงานไฟฟ้า ขนาด Capacity ที่พึงรองรับของภาคไฟฟ้าเองก็ดูเหมือนจะไม่พอเพียงสักเท่าไร และทั้งๆที่ไม่เพียงพอ เราก็ยังถึงกับปรับลดสัดส่วนแผนการใช้พลังงานนิวเคลียร์และพลังงานถ่านหินลงแบบหั่นครึ่ง ตามรูปที่ 7
ผมเชื่อว่า ด้วยข้อจำกัดในลักษณะดังกล่าวเราจำเป็นที่จะต้องเร่งรัดการลงทุนในด้านการอนุรักษ์พลังงานใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพประกอบไปด้วยกันเพื่อชดเชยการเติบโตของพลังงานทดแทนที่มีมาไม่ทันและหวังว่า เราคนไทย จะได้เข้าใจถึงระดับความวิกฤติของพลังงานสำรองตามความเป็นจริงไม่ใช่มโนเอาจากการเสี้ยมยุยงของกลุ่มคนไร้สติ
อ้างอิง
[1] http://www.efai.or.th/File/oilfund/2556/56_04_7.pdf
[2]http://www.democrat.or.th/th/news-activity/article/detail.php?ID=10722
[3] http://en.wikipedia.org/wiki/There_ain't_no_such_thing_as_a_free_lunch
[4] http://www.eppo.go.th/info/1summary_stat.htm
[2]http://www.democrat.or.th/th/news-activity/article/detail.php?ID=10722
[3] http://en.wikipedia.org/wiki/There_ain't_no_such_thing_as_a_free_lunch
[4] http://www.eppo.go.th/info/1summary_stat.htm
................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................
การยุบโรงเรียนเป็นเรื่องปว
แอดมินไม่ได้สนับสนุนการยุบ
...........................................................................................................................
บทเรียนนอกตำรา
"เวลา เดิน เธอต้องรู้จักสังเกตสิ่งรอบ ตัว ศัตรูอาจตามหลังมา เธออาจสังเกตเงาของคนที่ติด ตามมาจากกระจกรถที่จอดตามทา ง อาจก้มลงผูกเชือกรองเท้าเพื ่อชำเลืองดูว่าศัตรูมากี่คน เวลานั่งในร้านกาแฟ อย่านั่งหันหลังให้หน้าร้าน เพราะไม่รู้ว่าศัตรูมาโผล่ม าเมื่อไหร่ ให้นั่งในมุมมืดของร้าน จุดที่ศัตรูมองไม่เห็น แต่ระวังอย่านั่งพิงพนักจนส บายเกินไป เพราะจะทำให้ขยับร่างไม่ทัน การยามศัตรูจู่โจม ในการต่อสู้กัน ถ้าศัตรูแทงเธอด้วยมีด ก็ตั้งสติ ปล่อยให้มีดของศัตรูแทงเข้า มาสุดสุด นี่...ใช้มือหักแบบนี้..."
ผู้พูดสาธิตท่าวิธีการปลดมี ดจากมือศัตรู "...แล้วกระแทกแบบนี้ เท่านี้เองมันก็สิ้นฤทธิ์.. ."
ผู้พูดเล่าต่อไป "สำหรับเรื่องผู้หญิงนั้น ชายชาตรีอย่างเราต้องเชี่ยว ชาญ..."
เขาบรรยายวิธีจัดการสตรีให้ หลงรักและหลงใหล ด้วยลีลาทางเพศที่ 'เด็ดสะระตี่' ยิ่งนัก (สำนวนสมัยนั้น แปลเป็นสำนวนสมัยนี้ว่า 'เทพมั่กมั่ก') พวกเราอ้าปากค้าง ฟังอย่างตั้งใจ พวกเราคือนักเรียนชั้นมัธยม ต้น ส่วนเขาคือครูสอนวิชาภาษาอั งกฤษของเรา!
นานหลายปีหลังลาจากชีวิตโรง เรียนชั้นมัธยมต้น ผมก็เชื่อว่าครูของเรามิใช่ สายลับ นักบู๊ หรือเสือผู้หญิงแต่อย่างไร แกคงอ่านนิยายสายลับมามาก จนลืมไปว่าหน้าที่แกคือ สอนวิชาภาษาอังกฤษ
ส่วนวิชาสุขศึกษาก็ดูเหมือน วิชาวาดเขียน เพราะครูวาดรูปเก่งมาก จึงสำแดงฝีมือวาดภาพประกอบก ารสอน ทำให้เราทึ่งฝีมือวาดภาพของ ครูมากกว่าเนื้อหาที่สอน
ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรที่เกี่ ยวกับวิชาที่เรียนเลย แต่ผมได้เรียนประสบการณ์ชีว ิต ซึ่งเด็กต่างจังหวัดไม่มีโอ กาสที่จะเรียนรู้ เหล่านี้แม้จะนอกเรื่อง แต่กลับทำให้นักเรียนได้รู้ ว่านอกห้องเรียน ยังมีโลกใบใหญ่ที่เราไม่รู้ อีกมาก
ไอแซค อสิมอฟ เคยเล่าว่า ความสำเร็จในชีวิตของเขามิไ ด้จากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐ านในโรงเรียน หากมาจากการอ่านหนังสือจากห ้องสมุดสาธารณะ เขาใช้เวลานอกห้องเรียนในห้ องสมุด อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า ความรู้กับจินตนาการบวกกับแ รงหนุนจากการอ่าน ทำให้เขากลายเป็นนักเขียนนิ ยายวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่ส ุดคนหนึ่งของโลก
ขงจื๊อกล่าวว่า "ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่าเจ้ายุ่ งเพียงใด เจ้าต้องหาเวลาอ่านหนังสือ มิเช่นนั้นจะพ่ายแพ้ต่อความ โง่เขลาที่เจ้าเลือกเอง"
มาร์ก ทเวน นักเขียนชาวอเมริกัน กล่าวเป็นเรื่องขันว่า "ผมไม่เคยปล่อยให้โรงเรียนม าขัดขวางการศึกษาของผม"
เฮเลน เคลเลอร์ กล่าวว่า "มหาวิทยาลัยไม่ใช่สถานที่ท ี่จะไปหาความคิดใหม่ๆ"
ความรู้มิได้อยู่แต่ในตำราเ รียน ปัญญามิได้เกิดมาจากการอบรม สั่งสอนของครูเท่านั้น เราเรียนรู้ได้จากทุกที่ จากทุกคน ไม่ใช่เฉพาะจากโรงเรียน สิ่งที่สำคัญกว่าความรู้ก็ค ือ วิธีเรียนรู้ รู้จักหาหนังสือมาอ่าน แม้ออกจากโรงเรียนไปแล้ว หรือได้รับปริญญามาสักกี่ใบ ก็ตาม
วันใดที่ใครคนหนึ่งเชื่อว่า ตนรู้มากพอแล้ว ก็คือวันเริ่มต้นของความจบส ิ้นของชีวิต เพราะสายน้ำแห่งความรู้นั้น ไม่เคยหยุดไหล
วินทร์ เลียววาริณ
"เวลา เดิน เธอต้องรู้จักสังเกตสิ่งรอบ
ผู้พูดสาธิตท่าวิธีการปลดมี
ผู้พูดเล่าต่อไป "สำหรับเรื่องผู้หญิงนั้น ชายชาตรีอย่างเราต้องเชี่ยว
เขาบรรยายวิธีจัดการสตรีให้
นานหลายปีหลังลาจากชีวิตโรง
ส่วนวิชาสุขศึกษาก็ดูเหมือน
ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรที่เกี่
ไอแซค อสิมอฟ เคยเล่าว่า ความสำเร็จในชีวิตของเขามิไ
ขงจื๊อกล่าวว่า "ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่าเจ้ายุ่
มาร์ก ทเวน นักเขียนชาวอเมริกัน กล่าวเป็นเรื่องขันว่า "ผมไม่เคยปล่อยให้โรงเรียนม
เฮเลน เคลเลอร์ กล่าวว่า "มหาวิทยาลัยไม่ใช่สถานที่ท
ความรู้มิได้อยู่แต่ในตำราเ
วันใดที่ใครคนหนึ่งเชื่อว่า
วินทร์ เลียววาริณ
......................................................................................................................
.......................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น