คนโชคดี...
ชุนทาโร ฮิดะ เป็นหมอหนุ่มวัยยี่สิบแปด ประจำการที่โรงพยาบาลทหารแห ่งหนึ่ง ตีสองของคืนหนึ่ง เขาถูกใครคนหนึ่งปลุก เขางัวเงียลุกขึ้นมา ผู้ปลุกเป็นชาวบ้านคนหนึ่งจ ากหมู่บ้านเฮซากะ ขอให้หมอไปช่วยดูลูกสาวที่ไ ม่สบายมาก เขาเหนื่อยเพราะหลับได้เพีย งสองสามชั่วโมง เนื่องจากเมื่อหัวค่ำต้องพา แขกจากต่างถิ่นไปกินเลี้ยง แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่
ชุนทาโรซ้อนท้ายจักรยานของช าวบ้านคนนั้นไป ระยะทางหกกิโลเมตรจากบ้านพักของเขา เด็กหญิงเป็นไข้สูง หมอหนุ่มดูแลคนไข้จนอาการทร งตัวแล้วหลับไป เวลานั้นดึกเกินกว่าที่จะกล ับบ้านพัก เขาจึงตัดสินใจค้างแรมที่นั ่นตามคำชวนของชาวบ้านคนนั้น
เขาตื่นเช้า ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินสดใส เสียงนกร้องเซ็งแซ่ รอบตัวเป็นความเขียวขจีของช นบท เขาคิดในใจ เป็นวันที่สวยงามจริง เขากินอาหารแล้วก็เตรียมไปท ำงานที่โรงพยาบาล ไม่ทันจะออกเดินทาง ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เห็น แสงสว่างแผดจ้า เขาสัมผัสคลื่นความร้อนระอุ พัดผ่านร่างของเขาไป พื้นดินรอบตัวสะเทือนเหมือน เกิดแผ่นดินไหว กระจกในบ้านแตกกระจาย เขาเห็นกลุ่มควันก่อตัวเป็น รูปเห็ดยักษ์ที่เส้นขอบฟ้า เป็นภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก ่อนในชีวิต
ชุนทาโรกลับไปที่โรงพยาบาล อาคารบ้านเรือนพินาศเป็นภัส มธุลี ระหว่างทางเห็นซากศพนับไม่ถ ้วน คนบาดเจ็บมากมายร้องครวญครา งอย่างทรมาน
มันคือเหตุการณ์เช้าวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น หลายหมื่นชีวิตจากไปในชั่วพ ริบตาด้วยอานุภาพระเบิดปรมา ณูลูกแรก
ชุนทาโร ฮิดะ รอดตายมาอย่างปาฏิหาริย์
เรือไททานิคเดินทางออกจากยุ โรปสู่อเมริกา เป็นเที่ยวแรกและเที่ยวสุดท ้าย คืนวันที่ 10 เมษายน 1912 เรือชนภูเขาน้ำแข็งที่มหาสม ุทรแอตแลนติกแล้วจมลง ในจำนวนผู้โดยสาร 2,224 คน เพียง 710 คนรอดชีวิต และอีกหยิบมือหนึ่งที่รอดตา ย เพราะไม่ได้ขึ้นเรือทั้งที่ ซื้อตั๋วเดินทางแล้ว
เฮนรี เคลย์ ฟริค และภรรยามีกำหนดไปอเมริกากั บเพื่อนๆ แต่ภรรยาของเขาเกิดอุบัติเห ตุข้อเท้าแพลง ต้องเข้าโรงพยาบาล ทำให้เดินทางไม่ได้ ทั้งสองไม่ได้ขึ้นเรือไททาน ิค
เช่นกัน ภรรยาของนักสอนศาสนา เจ. สจวต โฮลเดน ป่วยกะทันหัน ทำให้ต้องเลื่อนการเดินทางอ อกไป
รอเบิร์ต เบคอน เอกอัครราชทูตอเมริกันประจำ ฝรั่งเศสจองตั๋วโดยสารไททาน ิคสำหรับเขาและครอบครัวแล้ว แต่ต้องยกเลิกการเดินทาง เพราะเอกอัครราชทูตคนใหม่ที ่มาแทนเขามาช้ากว่ากำหนด
ครอบครัววิลสันซื้อตั๋วแล้ว ยกเลิก เพราะได้ข่าวว่าห้องพักไม่ส บายพอ รอดชีวิตเพราะความจู้จี้!
บารอน ฟอน เบธมานน์ กับเพื่อนสองคนเดินทางท่องร อบโลก จุดหมายต่อไปคืออเมริกา แต่ทั้งสามตกลงไม่ได้ว่าจะไ ปไททานิคหรือไม่ คนหนึ่งเสนอว่าควรไปเที่ยวเ ร็วกว่านั้น เพราะไม่อยากรอ ขณะที่อีกสองคนต้องการไปกับ ไททานิค ดังนั้น พวกเขาก็ตัดสินใจโดยการโยนเ หรียญทายหัวก้อย ผลคือไม่ไปกับเรือมรณะ
เอ็ดการ์ เซลวิน ผู้กำกับละครเวทีและภาพยนตร ์ชาวอเมริกัน เลื่อนการเดินทางออกไป เพราะอยากเห็นนวนิยายเรื่อง ใหม่ของนักประพันธ์ชาวอังกฤ ษ อาร์โนลด์ เบนเนตต์
อัลเฟรด กวิน แวนเดอรร์บิลท์ ที่ 1 และครอบครัวไม่ได้ไปกับไททา นิคเพราะมีคนบอกเขาว่า ไม่ควรไปกับเรือเที่ยวแรก “หลายๆ อย่างอาจยังไม่ลงตัว!”
มิลตัน เฮอร์ชีย์ นักธุรกิจใหญ่มีกำหนดเดินทา งไปกับเรือเที่ยวนั้น แต่สำนักงานใหญ่แจ้งให้เขาเ ดินทางกลับสามวันก่อนกำหนดเ พื่อจัดการเรื่องธุรกิจ
นอร์แมน เครก ส.ส. ชาวสกอต มีตั๋วไททานิคในมือแล้ว แต่ในนาทีสุดท้ายเปลี่ยนใจไ ม่ไป โดยไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น แค่ไม่อยากไป!
คนเหล่านี้รอดตายมาอย่างปาฏ ิหาริย์
ในเหตุการณ์ก่อการร้ายบนแผ่ นดินอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 เครื่องบินสี่ลำถูกจี้ให้ชน เป้าหมายสี่จุด อเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 11 กับ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 175 ชนตึกคู่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ นิวยอร์ก, อเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 77 ชนเพนตากอน และ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 93 มีเป้าหมายที่เมืองหลวงวอชิ งตัน แต่ผู้โดยสารต่อสู้กับคนร้า ย ทำให้เครื่องบินตกที่เพนซิล เวเนียเสียก่อน รวมผู้เสียชีวิตทั้งหมดกว่า สามพันคน
สำหรับคนจำนวนหนึ่ง 11 กันยายน 2001 เป็นวันที่ไม่มีทางลืมไปตลอ ดชีวิต เพราะเฉียดความตายที่สุด
วันนั้น แลร์รี ซิลเวอร์สไตน์ นักธุรกิจผู้มีสำนักงานที่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ มีนัดกับหมอโรคผิวหนัง เขาไม่อยากไป แต่ภรรยาของเขาบังคับให้เขา ไปหาหมอ
นักกีฬาว่ายน้ำโอลิมปิกชาวอ อสเตรเลีย เอียน ธอร์ป ไปเที่ยวนิวยอร์ก วันนั้นเขาตั้งใจขึ้นไปดูทิ วทัศน์แมนฮัตตันจากดาดฟ้ายอ ดตึก เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ เขานึกได้ว่าลืมเอากล้องถ่า ยรูปไปด้วย จึงนั่งแท็กซี่กลับไปเอากล้ องถ่ายรูปที่โรงแรม และเห็นข่าวร้ายทางโทรทัศน์
ไมเคิล โลโมนาโค เป็นพ่อครัวที่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ วันนั้นเขามีนัดซ่อมแว่นตาต อนเที่ยงวันนั้น แต่เปลี่ยนใจไปก่อนกำหนด
ลอรา ลันด์สตรอม คลาร์ก เล่นรอลเลอร์เบลดที่ริมฝั่ง แม่น้ำฮัดสัน นิวยอร์ก หลังจากนั้นเธอข้ามถนนแถว เวสต์ วิลเลจ เธอมองเห็นหญิงคนหนึ่งในรถเ อสยูวีสีน้ำเงิน จำได้ว่าคนนั้นคือดาราหนัง กวินเนธ พัลโทรว์ เธอทักทายดาราหนังที่เธอชื่ นชอบ กวินเนธก็คุยด้วย การคุยช่วงสั้นๆ นั้นทำให้เธอพลาดรถไฟไปทำงา นที่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์
นักร้อง แพตตี ออสติน กำหนดไปกับเที่ยวบิน 93 จากบอสตันไป ซาน ฟรานซิสโก แต่ต้องไปก่อนกำหนดเพราะแม่ ป่วย
จูลี สตอฟเฟอร์ ทะเลาะกับแฟนในวันนั้น ทำให้ไปขึ้นเครื่องบินเที่ย วบิน 11 จากบอสตันไป ลอส แองเจลลิส ไม่ทัน
มาร์ก วอห์ลเบิร์ก นักแสดงอเมริกัน มีกำหนดขึ้นเที่ยวบิน 11 แต่ในนาทีสุดท้ายต้องเปลี่ย นแผนไปงานเทศกาลหนังที่โตรอ นโตแทน
เซธ แม็คฟาร์เลน นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ มีกำหนดขึ้นเครื่องบินเที่ย วบิน 11 กลับ ลอส แองเจลลิส เอเยนต์เดินทางของเขาบอกเวล าขึ้นเครื่องผิดไปครึ่งชั่ว โมง เป็นผลให้เขาไปถึงสนามบินช้ ากว่ากำหนด และไม่ได้รับอนุญาตให้บินใน เที่ยวบินนั้น
คนเหล่านี้รอดตายมาอย่างปาฏ ิหาริย์
ประสบการณ์เฉียดตายมักทำให้ คนรอดตายเชื่อว่ามีอำนาจบาง อย่างที่พลิกชีวิตพวกเขา หลายคนมองว่าเป็น ‘การแทรกแซงจากอำนาจศักดิ์ส ิทธิ์’ (divine intervention) หลังจากนั้นพวกเขามักรู้สึก ว่าชีวิตมีความหมายมากกว่าแ ค่กิน-อยู่-ทำงานไปวันๆ แล้วตายเมื่อถึงอายุขัย ราวกับเบื้องบนบอกว่า พวกเขามีพันธกิจบางอย่างที่ ต้องทำ อย่างเช่น หมอชุนทาโร ฮิดะ กลายเป็นนักรณรงค์ต่อต้านอา วุธนิวเคลียร์ตลอดชีวิต เดินทางไปพูดทั่วโลก อีกหลายคนทำงานช่วยเหลือสัง คมในด้านต่างๆ
ทว่าโชคดีและเคราะห์ร้ายเป็ นเพียงมุมมองของมนุษย์ เรื่องดีและเรื่องร้ายเกิดข ึ้นอย่างนี้ทุกวัน คำถามที่ว่าทำไมพวกเขารอดมา ได้ ทำไมคนอื่นตาย ก็ไม่มีอะไรพิเศษ ความเป็นความตายเกิดขึ้นทุก นาทีอยู่แล้ว ข้อแตกต่างคือ เรื่องร้ายขนาดใหญ่ทำให้รู้ สึกว่า การรอดตายมีความหมายมากกว่า เช่น รอดตายจากเครื่องบินตกมีควา มหมายมากกว่ารอดตายจากรถยนต ์ชน รอดตายจากรถยนต์ชนมีความหมา ยมากกว่ารอดตายจากก้างปลาติ ดคอ เป็นต้น ทั้งที่มันเป็นความตายเดียว กัน ไม่ว่าจะตายจากเครื่องบินตก หรือก้างปลาติดคอ คนรักก็โศกเศร้าเหมือนกัน
ผู้รอดตายเหล่านี้รู้สึกว่า ตนเอง ‘โชคดีอย่างยิ่ง’ เพราะพวกเขาเกี่ยวข้องกับเห ตุการณ์ร้ายในสเกลใหญ่โดยตร ง แต่ใครจะรู้? ถึงพวกเขาอยู่ในเรือไททานิค หรือในอาคารเวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ ก็อาจอยู่ในกลุ่มที่รอดตายไ ด้
มองอีกมุมหนึ่ง สมมุติว่าพวกเขาไม่รู้ว่าตั วเองรอดชีวิตมาได้จากอันตรา ยขนาดใหญ่นั้น มันจะเปลี่ยนมุมมองชีวิตของ พวกเขาหรือไม่?
ตลอดชีวิตของเราทุกคน อาจมีสักครั้งหรือสองครั้งท ี่เราเดินผ่านกลุ่มเชื้อโรค ร้ายแรงซึ่งลอยในอากาศ และรอดมาได้หวุดหวิด อาจมีเชื้ออีโบลาร้ายแรงติด มือมา แต่เราล้างมันออกทัน อาจพ้นจากการถูกรถชนตาย เพราะมองสาวนุ่งมินิสเกิร์ต จนเดินช้าไปสิบวินาที อาจรอดจากการเดินตกท่อหัวฟา ดพื้นเป็นอัมพาต เพราะมีคนที่เดินตกท่อห้าวิ นาทีก่อนเรา หรืออาจเดินผ่านคนที่ตรงสเป ็คฯ แต่หลังแต่งงานจะกลายเป็นคน ขี้เมา ซ้อมภรรยาเช้าเย็น แต่เนื่องจากเราไม่รู้เรื่อ งเหล่านี้ จึงไม่รู้สึกว่าตัวเองโชคดี
ยังมีอีกหลายเรื่อง ‘โชคดี’ ที่เราไม่ได้มองว่ามันเป็นค วามโชคดี หรือการแทรกแซงจากอำนาจศักด ิ์สิทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นหนึ่งในอสุจิห้าร้อย ล้านตัวที่ไปถึงเส้นชัย กำเนิดเป็นตัวเราในวันนี้ ขณะที่ที่เหลือตายหมด
เมื่อประมาณ 74,000 ปีก่อน ภูเขาไฟยักษ์ลูกหนึ่งที่ทะเ ลสาบโตบา สุมาตราระเบิด มันเป็นการทำลายล้างครั้งให ญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัต ิศาสตร์โลก เถ้าภูเขาไฟปกคลุมชั้นบรรยา กาศโลกนานร่วมสิบปี ส่งผลให้อุณหภูมิโลกลดลงนาน นับพันปี สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์นับไม่ ถ้วนทั่วโลกสูญจากไป สำหรับสายพันธุ์ โฮโม ซาเปียนส์ ก็ตายไปเกือบหมดโลก เหลือคนแค่กลุ่มเดียว ประเมินว่าราวหมื่นกว่าคนเท ่านั้น เราเจ็ดพันล้านคนตอนนี้สืบส ายมาจากคนกลุ่มนี้
เราโชคดีที่รอดมาได้!
คนส่วนมากมองว่าโชคดีคือการ ถูกล็อตเตอรี, การได้คู่ครองดี, การรอดชีวิตจากภยันตราย แต่มักไม่มองเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัว
ลองมองไปรอบตัวเรา เราโชคดีแค่ไหนที่เกิดในยุค ที่การแพทย์เจริญกว่ายุคโบร าณ ซึ่งเด็กส่วนใหญ่มีชีวิตไม่ เกินปีแรก โชคดีแค่ไหนที่เกิดในเมืองไ ทย แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่ในทะเลทรายแห้งแล้งที ่ต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากเพ ื่อมีชีวิตรอด โชคดีแค่ไหนที่มีอาหารอร่อย ให้กิน ไม่ใช่กินเนื้อดิบชุ่มเลือด เหมือนมนุษย์ยุคหิน โชคดีแค่ไหนที่มีโอกาสเรียน หนังสือ โชคดีแค่ไหนที่มีหนังสือนับ ล้านๆ เล่มให้อ่าน ขณะที่คนยุคห้าร้อยปีก่อนไม ่มีโอกาสนี้ โชคดีแค่ไหนที่มีโอกาสเรียน รู้หลักธรรมดีๆ หลายอย่าง ฯลฯ
เราโชคดีกว่าคนจำนวนมากทั้ง ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โชคดีกว่าสิ่งมีชีวิตอีกหลา ยๆ สายพันธุ์
มองโลกแบบนี้แล้วจะรู้สึกว่ าชีวิตน่าจะมีความหมายมากกว ่าแค่กิน-อยู่-ทำงานไปวันๆ แล้วตายเมื่อถึงอายุขัย
เราสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเ ราให้มีค่าเสมือนหนึ่งมี ‘การแทรกแซงจากอำนาจศักดิ์ส ิทธิ์’ แต่มันเป็นการแทรกแซงโดยตัว เราเอง ด้วยเจตจำนงอิสระของเราเอง
โชคดีแค่ไหนที่เราสามารถเลื อกทำอย่างนี้ได้!
วินทร์ เลียววาริณ
ข่าวหน้าหนึ่ง, 4 พฤษภาคม 2556
www.winbookclub.com
One World Trade Center April update 2013
http://youtu.be/ cM4EJK4ogT8
ชุนทาโร ฮิดะ เป็นหมอหนุ่มวัยยี่สิบแปด ประจำการที่โรงพยาบาลทหารแห
ชุนทาโรซ้อนท้ายจักรยานของช
เขาตื่นเช้า ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินสดใส เสียงนกร้องเซ็งแซ่ รอบตัวเป็นความเขียวขจีของช
ชุนทาโรกลับไปที่โรงพยาบาล อาคารบ้านเรือนพินาศเป็นภัส
มันคือเหตุการณ์เช้าวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น หลายหมื่นชีวิตจากไปในชั่วพ
ชุนทาโร ฮิดะ รอดตายมาอย่างปาฏิหาริย์
เรือไททานิคเดินทางออกจากยุ
เฮนรี เคลย์ ฟริค และภรรยามีกำหนดไปอเมริกากั
เช่นกัน ภรรยาของนักสอนศาสนา เจ. สจวต โฮลเดน ป่วยกะทันหัน ทำให้ต้องเลื่อนการเดินทางอ
รอเบิร์ต เบคอน เอกอัครราชทูตอเมริกันประจำ
ครอบครัววิลสันซื้อตั๋วแล้ว
บารอน ฟอน เบธมานน์ กับเพื่อนสองคนเดินทางท่องร
เอ็ดการ์ เซลวิน ผู้กำกับละครเวทีและภาพยนตร
อัลเฟรด กวิน แวนเดอรร์บิลท์ ที่ 1 และครอบครัวไม่ได้ไปกับไททา
มิลตัน เฮอร์ชีย์ นักธุรกิจใหญ่มีกำหนดเดินทา
นอร์แมน เครก ส.ส. ชาวสกอต มีตั๋วไททานิคในมือแล้ว แต่ในนาทีสุดท้ายเปลี่ยนใจไ
คนเหล่านี้รอดตายมาอย่างปาฏ
ในเหตุการณ์ก่อการร้ายบนแผ่
สำหรับคนจำนวนหนึ่ง 11 กันยายน 2001 เป็นวันที่ไม่มีทางลืมไปตลอ
วันนั้น แลร์รี ซิลเวอร์สไตน์ นักธุรกิจผู้มีสำนักงานที่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ มีนัดกับหมอโรคผิวหนัง เขาไม่อยากไป แต่ภรรยาของเขาบังคับให้เขา
นักกีฬาว่ายน้ำโอลิมปิกชาวอ
ไมเคิล โลโมนาโค เป็นพ่อครัวที่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ วันนั้นเขามีนัดซ่อมแว่นตาต
ลอรา ลันด์สตรอม คลาร์ก เล่นรอลเลอร์เบลดที่ริมฝั่ง
นักร้อง แพตตี ออสติน กำหนดไปกับเที่ยวบิน 93 จากบอสตันไป ซาน ฟรานซิสโก แต่ต้องไปก่อนกำหนดเพราะแม่
จูลี สตอฟเฟอร์ ทะเลาะกับแฟนในวันนั้น ทำให้ไปขึ้นเครื่องบินเที่ย
มาร์ก วอห์ลเบิร์ก นักแสดงอเมริกัน มีกำหนดขึ้นเที่ยวบิน 11 แต่ในนาทีสุดท้ายต้องเปลี่ย
เซธ แม็คฟาร์เลน นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์
คนเหล่านี้รอดตายมาอย่างปาฏ
ประสบการณ์เฉียดตายมักทำให้
ทว่าโชคดีและเคราะห์ร้ายเป็
ผู้รอดตายเหล่านี้รู้สึกว่า
มองอีกมุมหนึ่ง สมมุติว่าพวกเขาไม่รู้ว่าตั
ตลอดชีวิตของเราทุกคน อาจมีสักครั้งหรือสองครั้งท
ยังมีอีกหลายเรื่อง ‘โชคดี’ ที่เราไม่ได้มองว่ามันเป็นค
เมื่อประมาณ 74,000 ปีก่อน ภูเขาไฟยักษ์ลูกหนึ่งที่ทะเ
เราโชคดีที่รอดมาได้!
คนส่วนมากมองว่าโชคดีคือการ
ลองมองไปรอบตัวเรา เราโชคดีแค่ไหนที่เกิดในยุค
เราโชคดีกว่าคนจำนวนมากทั้ง
มองโลกแบบนี้แล้วจะรู้สึกว่
เราสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเ
โชคดีแค่ไหนที่เราสามารถเลื
วินทร์ เลียววาริณ
ข่าวหน้าหนึ่ง, 4 พฤษภาคม 2556
www.winbookclub.com
One World Trade Center April update 2013
http://youtu.be/
............................................................................................................
" นิทรรศการภาพถ่ายฝีมือชั้นค รู พุทธทาสภิกขุ "
ปี 2515 พุทธทาสภิกขุมีอายุได้ 66 ท่านเป็นอริยสงฆ์ผู้มีชื่อเ สียง แต่ท่านยังคงปฏิเสธการเอารู ปตัวท่านไปเคารพกราบไหว้บูช าในแบบพระขลัง พระศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์เวทมนต์ ซึ่งกำลังเป็นแฟชั่นในเวลาน ั้น ด้วยท่านมุ่งเน้นให้คนเข้าใ จแก่นธรรมของพระพุทธศาสนา ไม่ให้ยึดมั่น ‘ตัวกู-ของกู’
เมื่อเห็นว่าไม่อาจทานกระแส รูปเคารพได้ ท่านพุทธทาสจึงเริ่มโครงการ ถ่ายภาพตัวเอง โดยอาศัยฉากสถานที่ภายในบริ เวณวัดสวนโมกข์ และใช้สัญลักษณ์ที่มีอยู่โด ยรอบ เช่น รูปปั้นพระโพธิสัตว์ศรีวิชั ย, ดอกบัว, กองดิน, แท่นหิน แม้แต่สัตว์เลี้ยงในวัด มาเป็นองค์ประกอบภาพ บางครั้งก็ใช้ตัวท่านเองล้ว นๆแสดงแบบ โดยอาศัยเทคนิคการอัดภาพในห ้องมืดในวัด ทำให้เป็นภาพฝาแฝดสองและแฝด สาม (Double or triple prints) เพื่อเกิดเป็นภาพ “ปริศนาธรรม”ชวนให้ผู้ชมภาพ ต้องคิด ต้องใช้ปัญญาตีความ โดยจะมีบทกลอนธรรมะของท่านแ ต่งประกอบ ซึ่งผลงานชุดนี้มีชื่อว่า “บทพระธรรมประจำภาพ
ผลงานภาพถ่ายและบทกลอนธรรมะ จำนวน 423 บท สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจ ของท่านพุทธทาสต่อศิลปะและเ ทคโนโลยี โดยเฉพาะ ‘พลังของภาพถ่าย’ เพื่อรับใช้เผยแผ่ธรรมะ และอาจถือได้ว่านี่คือความค ิดที่มาก่อนกาลเวลา ในยุคที่วงการศิลปะไทยยังไม ่รู้จักคำว่า “Conceptual art” หรือ “Conceptual photography”
คัดมันดู โฟโต้ แกลเลอรี่ โดยความร่วมมือกับหอจดหมายเ หตุพุทธทาส อินทปัญโญ มีความภูมิใจที่จะเสนอผลงาน ภาพถ่ายของ พุทธทาสภิกขุ (2449 – 2536) ที่อัดขยายจากต้นฉบับหนังสื อ “บทพระธรรมประจำภาพ” จำนวน 30 ชิ้น เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติใ ห้แก่ “ช่างภาพชั้นครู” ซึ่งจัดเป็นอันดับที่ 6 ในโครงการของแกลเลอรี่ “ค้นหาครูถ่ายภาพไทย” (Seeking Forgotten Thai Photographers) ที่ประวัติศาสตร์ภาพถ่ายไทย ยังมิได้บันทึก
นิทรรศการภาพถ่ายฝีมือชั้นค รู พุทธทาสภิกขุ
4 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2556
[เปิดนิทรรศการ เสาร์ที่ 4 พฤษภาคม เวลา 18.30 – 21.00 น.]
ถนนปั้น สีลม ใกล้วัดแขก
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่ http:// www.kathmandu-bkk.com/
Tel : (66) 02-234-6700
Fax : (66) 02-661-4413
Emai l: kathmandu.bkk@gmail.com
ปี 2515 พุทธทาสภิกขุมีอายุได้ 66 ท่านเป็นอริยสงฆ์ผู้มีชื่อเ
เมื่อเห็นว่าไม่อาจทานกระแส
ผลงานภาพถ่ายและบทกลอนธรรมะ
คัดมันดู โฟโต้ แกลเลอรี่ โดยความร่วมมือกับหอจดหมายเ
นิทรรศการภาพถ่ายฝีมือชั้นค
4 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2556
[เปิดนิทรรศการ เสาร์ที่ 4 พฤษภาคม เวลา 18.30 – 21.00 น.]
ถนนปั้น สีลม ใกล้วัดแขก
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้
Tel : (66) 02-234-6700
Fax : (66) 02-661-4413
Emai l: kathmandu.bkk@gmail.com
.......................................................................................................
ชีวิตไม่ควรขาดการลงทุน ...
สัปดาห์ก่อนผมมีโอกาสไปบรรย ายหลักสูตร Mini Money Fitness ให้บริษัทชั้นนำแห่งหนึ่ง
ขณะคุยกันเรื่องภาษี ผมตั้งคำถามขึ้นมาว่า "ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ต ้องเสียภาษีหรือไม่"
แทบทุกคนในห้องตอบเป็นเสียง เดียวกันว่า "ไม่" จะมีก็แต่คุณพี่ท่านหนึ่งที ่ตะโกนแย้งมาว่า "เสียสิ ... ถ้าดอกเบี้ยถึง 20,000 ก็ต้องเสียภาษี"
คำตอบของคุณพี่ท่านนั้นถูกต ้องครับ เงินฝากออมทรัพย์ก็ต้องเสีย ภาษี แต่จะเริ่มเสียเมื่อดอกเบี้ ยที่คุณได้รับจากฝากออมทรัพ ย์ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป
ขณะพักเบรค พี่ท่านน้ันเดินเข้ามาคุย ผมจึงเอ่ยปากชมว่า "พี่เก่งนะครับ รู้เรื่องภาษีดีจัง"
พี่ท่านนั้นตอบว่า "ไม่รู้ได้ไง ก็พี่โดนอยู่ทุกปี"
"แล้วตอนนี้พี่ลงทุนในทรัพย ์สินอะไรบ้างครับ"
"ไม่มี ... ก็ฝากอย่างเดียว"
"แสดงว่ามีเอาเงินร่วม 3 ล้าน ฝากธนาคารอย่างเดียวเลยเหรอ ครับ" (คิดเร็ว เอา 20,000 ตั้ง คูณด้วย 100 หารด้วย 0.75)
"ใช่คะ เพราะพี่ไม่รู้เรื่องการลงท ุน กลัวเสี่ยง"
ช่วงเบรคนั้น ผมจึงนั่งคุยกับพี่เค้าถึงก ารลงทุนทางเลือกอื่นๆ อย่างเช่น พันธบัตร หรือหุ้นกู้ ที่อาจให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น เป็น 3.5-6% ได้ รวมถึงบอกเล่าเรื่องของความ เสี่ยงเปรียบเทียบกับการฝาก เงินให้ฟัง
ก่อนสิ้นสุดการเบรค พี่ท่านนั้นขอบคุณผม พร้อมทั้งบอกว่าเดี๋ยวจะไปบ อกเพื่อนๆ เพราะส่วนใหญ่ก็เก็บเงินทั้ งหมดไว้ในเงินฝากเหมือนกัน
การที่คนเราจะประสบความสำเร ็จทางการเงินได้นั้น จะต้องมีความรู้ทางการเงินใ ห้ครบถ้วนทั้ง 4 ด้าน
พี่ท่านนี้เก่งในเรื่องการห ารายได้ การควบคุมการใช้จ่าย การออม และไม่เคยสนใจการลงทุนเลย ทำให้ไปถึงเป้าหมายทางการเง ินได้ช้า
ในโลกการเงินปัจจุบัน ... ต้องยอมรับว่าการออมเพียงอย ่างเดียว ยากมากที่จะทำให้เราไปถึงจุ ดหมาย มีทุนเกษียณ หรือมั่งคั่งได้ในแบบที่ต้อ งการ
การลงทุนอาจมี "ความเสี่ยง" แต่ผลลัพธ์ของมันก็หอมหวานม ากพอที่เราจะลงทุนและเงินทอ งกับมัน
ที่สำคัญ ... "ความเสี่ยงสามารถจัดการได้ ด้วยความรู้"
High Understanding, High Return ... เปิดใจเรียนรู้เรื่องการลงท ุน อุทิศเวลาบางส่วนให้กับมัน แล้วคุณจะไปถึงเป้าหมายทางก ารเงินได้เร็วขึ้นครับ
สัปดาห์ก่อนผมมีโอกาสไปบรรย
ขณะคุยกันเรื่องภาษี ผมตั้งคำถามขึ้นมาว่า "ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ต
แทบทุกคนในห้องตอบเป็นเสียง
คำตอบของคุณพี่ท่านนั้นถูกต
ขณะพักเบรค พี่ท่านน้ันเดินเข้ามาคุย ผมจึงเอ่ยปากชมว่า "พี่เก่งนะครับ รู้เรื่องภาษีดีจัง"
พี่ท่านนั้นตอบว่า "ไม่รู้ได้ไง ก็พี่โดนอยู่ทุกปี"
"แล้วตอนนี้พี่ลงทุนในทรัพย
"ไม่มี ... ก็ฝากอย่างเดียว"
"แสดงว่ามีเอาเงินร่วม 3 ล้าน ฝากธนาคารอย่างเดียวเลยเหรอ
"ใช่คะ เพราะพี่ไม่รู้เรื่องการลงท
ช่วงเบรคนั้น ผมจึงนั่งคุยกับพี่เค้าถึงก
ก่อนสิ้นสุดการเบรค พี่ท่านนั้นขอบคุณผม พร้อมทั้งบอกว่าเดี๋ยวจะไปบ
การที่คนเราจะประสบความสำเร
พี่ท่านนี้เก่งในเรื่องการห
ในโลกการเงินปัจจุบัน ... ต้องยอมรับว่าการออมเพียงอย
การลงทุนอาจมี "ความเสี่ยง" แต่ผลลัพธ์ของมันก็หอมหวานม
ที่สำคัญ ... "ความเสี่ยงสามารถจัดการได้
High Understanding, High Return ... เปิดใจเรียนรู้เรื่องการลงท
..................................................................................................
รถไฟความเร็วสูง ไม่แพงแน่-สนข. เล็งคิดค่าโดยสารไม่เกิน 1,000 บาท
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
รถไฟความเร็วสูง ไม่แพงแน่นอน สนข. ย้ำ จะเก็บค่าโดยสาร ไม่เกิน 1,000 บาท อาจคิด 999 บาทต่อที่นั่งในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ส่วนนอกเวลาเร่งด่วน อาจคิด 499 บาท จูงใจให้คนมาใช้บริการ
เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-พิษณุโลก โดย นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า เชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะนำประโยชน์มาให้กับจังหวัด ทั้งในเรื่องการสัญจร ภาคธุรกิจ รวมทั้งการท่องเที่ยว และอนาคตจะทำให้จังหวัดพิษณุโลกก้าวเข้าสู่การเป็นเมืองหลวงของภาคเหนือตอนล่างได้
ด้าน นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ วิศวกรชำนาญการ สนข. ระบุว่า หลังจากลงพื้นที่สำรวจความเห็นของประชาชนที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ พิษณุโลก ก็พบว่าได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่ง สนข. จะเร่งศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ทั้งเรื่องเส้นทาง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และจะเสนอโครงการต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
พร้อมกันนี้ นายพิเชฐ ยังได้ไขข้อข้องใจของประชาชนที่กังวลว่า ค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูงจะแพงเกินไปหรือไม่ ว่า ค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูงนั้นจะต่ำกว่าสายการบินโลว์คอสต์ ที่ปัจจุบันราคาตั๋วเครื่องบินต้นทุนต่ำอยู่ที่ 1,300-1,600 บาท ดังนั้น ค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูงที่เป็นไปได้ในอนาคตคือ น่าจะไม่เกิน 1,000 บาท โดยอาจกำหนดราคา 999 บาทต่อที่นั่งในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน หรือเก็บค่าโดยสาร 499 บาทต่อที่นั่ง ในช่วงนอกเวลาเร่งด่วนก็ได้ ซึ่งในต่างประเทศก็เก็บค่าโดยสารในลักษณะนี้ เพื่อจูงใจให้คนมาใช้บริการมากขึ้น อย่างเช่นที่ประเทศฝรั่งเศส และสามารถทำให้คนหันมาใช้บริการมากขึ้นด้วย
..........................................................................................................
ผี
มีผีเกิดขึ้นมาเพราะความโง่ ของคน แล้วก็กลับมาทำอันตรายคนน่า จะพูดคำว่าสมน้ำหน้า ความโง่ของคนก็ทำอันตรายคนโ ดยไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื ่นได้ ที่นี้เรามาดูกันต่อไปในเรื ่องนี้ว่าทำไมผีจึงไม่มีในโ ลกของสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานตัวไหนกลัวผีส ัตว์เดรัจฉานตัวไหนถูกผีหลอ กบ้างไม่มีทางที่จะค้นพบได้
ถ้าอย่างนั้นสัตว์เดรัจฉานเ ช่นสุนัขเป็นต้นต้องดีกว่าค นเพราะว่าไม่มีผีที่จะคอยรบ กวน และก็จะยังชนะผีหรือกินซากผ ีซะด้วยซ้ำไป นี้เป็นที่เห็นได้ว่าในโลกข องสัตว์เดรัจฉานนั้นไม่มีผี
ผีเพิ่งจะมีในโลกของคนที่ฉล าดกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะฉลาดโง่นั่นเอง เมื่อแรกเมื่อมีสัตว์ในโลกม ีแต่สัตว์เดรัจฉานอย่างแน่น อนก็ยังไม่มีผี พอมีครึ่งคนครึ่งสัตว์อย่าง นี้ขึ้นมาก็ยังไม่มีผี จนกระทั่งมีคนป่าแท้ๆขึ้นมา ก็ยังไม่มีผี ต่อเมื่อคนป่าค่อยๆฉลาดขึ้น มาจะเป็นคนบ้านนี่หละ จึงจะมีผี เพราะว่ามันรู้จักคิดรู้จัก นึกมากกว่าใครจนสามารถสร้าง ความเชื่อระบบใดระบบหนึ่งได ้ สร้างความกลัวอันเป็นที่หล่ อเลี้ยงความเชื่อระบบใดระบบ หนึ่งได้
จิตจึงมีความคิดไปในทำนองที ่ให้รู้สึกว่ามีอะไรลึกลับแ ละก็มีความเชื่อในทำนองลึกล ับนั้นตามความเห็นของตัวซึ่ งเป็นลักษณะของอวิชชา ความคิดในทำนองที่ว่ามีอะไร ศักดิ์สิทธิ์ทำนองผีได้เกิด ขึ้นแล้วก็ค่อยๆสอนให้มากขึ ้น แล้วก็ระดมความเชื่อให้มากข ึ้น ผีก็สร้างสถาบันขึ้นมาได้สำ เร็จบนความโง่ของมนุษย์นั้น เอง
เนี้ยลองคิดให้ดีเองเถิดว่า ในโลกสัตว์เดรัจฉานไม่มีผีแ ละมามีในโลกของมนุษย์เช่นนี ้มันน่าละอายสักเท่าไร ถ้าเราจะรับมติความคิดความเ ห็นในเรื่องนี้กันอย่างไร ทีนี้เรามองดูสมัยนี้ที่ควา มรู้หรือการศึกษาเจริญก้าวห น้าไปมากขึ้น ความเชื่อที่เคยมีอยู่แต่ก่ อนนั้นมันก็จางไปจางไป แม้แต่เพียงชั่วห้าสิบปีในช ั่วอายุผมนี้ ก็รู้สึกมันจางไปมากเหลือเก ิน ความเชื่อนี้จางไปมากเท่าไร ผีก็ค่อยๆจางลงเท่านั้น และในที่สุดก็หมดไปหลายอย่า งหลายประการ
แต่เป็นที่แน่นอนว่าถ้าคนยุ คจรวดปรมาญูนี้กลับไปโง่ซ้ำ รอยประวัติศาสตร์ผีก็จะกลับ มาอีก จะเป็นผีศาลพระภูมิ หรือผีเรือนหรือผีเทพารักษ์ หรือผีอะไรก็ตามจะกลับมาอย่ างสมบูรณ์อีก แต่ถ้าการศึกษานำไปในทางที่ ไม่ให้มีความเชื่ออย่างนี้ ผีก็จะตายไปเอง ไม่ต้องมีใครฆ่า ไม่ต้องมีใครปราบ
พุทธทาส อินทปัญโญ
๒๔ เมษายน ๒๕๑๐
มีผีเกิดขึ้นมาเพราะความโง่
ถ้าอย่างนั้นสัตว์เดรัจฉานเ
ผีเพิ่งจะมีในโลกของคนที่ฉล
จิตจึงมีความคิดไปในทำนองที
เนี้ยลองคิดให้ดีเองเถิดว่า
แต่เป็นที่แน่นอนว่าถ้าคนยุ
พุทธทาส อินทปัญโญ
๒๔ เมษายน ๒๕๑๐
......................................................................................................
.................................................................................................................
หยุดยาวถ้าไม่ได้กลับก็โทรไ
//พีสุเกะ
.................................................................................................................
รัฐประหารคือการทุจริตทำลายชาติ
วันที่ 31 พฤษภาคม 2555
วันที่ 31 พฤษภาคม 2555
ดร.โสภณ พรโชคชัย
sopon@area.co.th facebook.com/dr.sopon
sopon@area.co.th facebook.com/dr.sopon
“ . . . .ก็ยังมีเพื่อนผมอีกคนหนึ่ง ได้คุยกับผม ท่านเป็นนายทหาร เป็นชั้นนายพล ต้องพูดว่า การปฏิวัติครั้งหนึ่ง ๆ พวกคณะปฏิวัติร่ำรวยกันมหาศาล ถ้าใครปฏิวัติแล้วมีเงินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ถือว่ามือตกมาก ทำให้ผมมีความรังเกียจในการปฏิวัติรัฐประหารมากมายเหลือเกิน”
ข้างต้นเป็นคำกล่าวของนายโสภณ จันเทรมะ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ในระหว่างการอภิปรายในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนให้ต่อต้านการทุจริต” เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมของนักศึกษาหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและการปราบปรามการทุจริตระดับสูง รุ่นที่ 2 ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งผู้เขียนได้เข้าศึกษาและจบการศึกษาไปแล้ว
ที่เป็นเช่นนี้ คงเป็นเพราะว่าในการทำรัฐประหารครั้งหนึ่ง ๆ คณะรัฐประหารมีอำนาจเบ็ดเสร็จที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีใบเสร็จรับเงิน และไม่ต้องได้รับการตรวจสอบ ตัวอย่างเช่น คณะรัฐประหารสามารถเบิกเงินจากคลังหลวงออกมาใช้สอยตามอัธยาศัย เพื่อการยึดอำนาจ การรักษาอำนาจที่ยึดมา และเผื่อไว้เพื่อการหนีออกนอกประเทศ หากรัฐประหารนั้น ๆ กลายเป็นกบฏ แต่หากสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ก็ได้เงินไปใช้สบาย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องส่งคืนคลัง
โดยนัยนี้รัฐประหารก็คือการทุจริตในรูปแบบหนึ่ง เป็นการโกงเงินของประเทศชาติและประชาชน เอาไปใช้เพื่อการยึดอำนาจให้กับกลุ่มของตนโดยไม่ต้องส่งคืนคลังหลวง ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าไม่เคยมีรัฐประหารครั้งใดในประวัติศาสตร์ที่แสดงรายรับรายจ่ายเพราะถือเป็นความลับแห่งชาติ แต่ในความเป็นจริงก็คือความลับในการปฏิบัติการยึดอำนาจของกลุ่มผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ
ที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือรัฐประหารเป็นการกระทำทุจริตที่กลับกลายเป็นว่าถูกต้องตามกฎหมาย เพราะมีอำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการของประชาชนที่ถูกล้มล้างไปเพราะอำนาจรัฐประหาร นอกจากการทุจริตแล้ว ยังสามารถสั่งฆ่า สั่งยึดทรัพย์ หรือสั่งทำลายหรือให้รางวัลแก่ใครก็ได้โดยเสมือนชอบด้วยกฎหมาย และสุดท้ายคณะรัฐประหารเองรวมทั้งการกระทำทั้งปวงของคณะรัฐประหารก็มักได้รับการนิรโทษกรรมไปในที่สุด
อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงนั้น รัฐประหารก็คือความเถื่อนหรืออนารยะ เพราะรัฐประหารกระทำการด้วยการใช้กำลังอาวุธมาล้มล้างรัฐธรรมนูญ และยึดอำนาจอธิปไตยไปจากปวงชนชาวไทย ในระหว่างทำการ คณะรัฐประหารมักจะหาข้ออ้างมากมายเพื่อสร้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจเดิมที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่การใช้กำลังพลและกำลังอาวุธที่เหนือกว่ามาเอาชนะจนสามารถยึดอำนาจได้สำเร็จ และทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นฝ่ายกบฏหรือฝ่ายที่ไม่ชอบธรรม ย่อมแสดงถึงความเถื่อน และความไม่ชอบด้วยหลักนิติรัฐของคณะรัฐประหารเอง และด้วยกำลังพลและกำลังอาวุธที่เหนือกว่า จึงปิดปากวิญญูชนได้ (ชั่วคราว)
โดยที่ธรรมชาติสำคัญของการรัฐประหารก็คือการใช้อำนาจโดยปราศจากการตรวจสอบและไม่ต้องมีใบเสร็จรับเงิน จึงกลายเป็นบ่อเกิดของการทุจริตและประพฤติมิชอบ ผู้ที่ต้องการอำนาจและผลประโยชน์ที่ชิงความได้เปรียบเหนือบุคคลอื่น จึงต้องเข้าหาคณะรัฐประหารซึ่งมีอำนาจสูงสุด การทุจริตต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นตามมา และด้วยเหตุนี้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คณะรัฐประหารหรือผู้เผด็จการต่าง ๆ จึงมักกลายสภาพเป็นทรราช ที่ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ
ยิ่งกว่านั้น หลังจากการทำรัฐประหาร ผู้ที่ได้ประโยชน์หรือ ‘ส้มหล่น’ ก็คือผู้ที่ร่วมปลุกปั่นสร้างสถานการณ์ให้เกิดรัฐประหาร บุคคลเหล่านี้ก็จะได้รับลาภยศ ถูกแต่งตั้งให้เป็นตุลาการบ้าง กรรมการในองค์กรอิสระที่ถูกอำนาจรัฐประหารครองงำบ้าง หรือสภา ‘เปรซิเดียม’ (เอาไว้ออกกฎหมายเข้าข้างพวกเดียวกัน) ที่แต่งตั้งกันเองโดยคณะรัฐประหารตามอำเภอใจโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง หรือไม่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน บุคคลเหล่านี้ได้อำนาจมาจากปากกระบอกปืนของฝ่ายรัฐประหารโดยแท้ นี่คืออีกบริบทหนึ่งของการโกงกินทรยศต่อชาติ
ดังนั้นเราจะไปตั้งความหวังว่าจะมีคณะรัฐประหารใดกระทำการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญเหนือผลประโยชน์ของกลุ่มของตนเฉกเช่น ‘พระเอกขี่ม้าขาว” นั้น ย่อมเป็นความหวังที่เลื่อนลอย เป็นความหลงผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว หรือเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อของคณะรัฐประหารและสมุนของคณะรัฐประหารนั้น ๆ เท่านั้น เพราะเนื้อแท้ของการัฐประหารก็คือการแย่งชิงผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่ใช่การอภิวัฒน์เช่นการปฏิวัติ พ.ศ.2475 ที่คณะราษฎรกระทำการเพื่อประเทศไทยโดยตรง
ที่สำคัญรัฐประหารสร้างความวิบัติซ้ำซ้อนให้กับประเทศไทย ทำให้ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยตกต่ำ กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นประเทศด้อยพัฒนาระดับล่าง ๆ ของโลก ที่มักใช้กำลังอาวุธขู่เข็ญเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ แทนที่จะรอคอยการเปลี่ยนแปลงตามกลไกทางการเมืองเช่นอารยะประเทศ ทำให้เกียรติภูมิของประเทศลดลง โอกาสการลงทุนของชาวต่างประเทศในไทยก็ลดน้อยลงไปด้วย อาจกล่าวได้ว่าการทุจริตอื่นอาจส่งผลเสียเฉพาะจำนวนเงินที่ปล้นหรือลักไป แต่รัฐประหารจะส่งผลเสียเป็นเท่าทวีต่อประเทศชาติ ถ้าประเทศไทยเกิดรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง ไทยก็จะตกต่ำยิ่งกว่าพม่าที่เพิ่งเริ่มมีประชาธิปไตย
คนไทย (บางส่วน) ไม่ควรหลงผิดไปเห็นดีเห็นงามกับอำนาจนอกระบบ จนสร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติ ไทยควรเข้าสู่สังคมอารยะ รู้จักเกรงใจประชาชนเจ้าของประเทศ เลิกคิด เลิกส่งเสริมการทำรัฐประหารกันได้แล้ว
ที่เป็นเช่นนี้ คงเป็นเพราะว่าในการทำรัฐประหารครั้งหนึ่ง ๆ คณะรัฐประหารมีอำนาจเบ็ดเสร็จที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีใบเสร็จรับเงิน และไม่ต้องได้รับการตรวจสอบ ตัวอย่างเช่น คณะรัฐประหารสามารถเบิกเงินจากคลังหลวงออกมาใช้สอยตามอัธยาศัย เพื่อการยึดอำนาจ การรักษาอำนาจที่ยึดมา และเผื่อไว้เพื่อการหนีออกนอกประเทศ หากรัฐประหารนั้น ๆ กลายเป็นกบฏ แต่หากสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ก็ได้เงินไปใช้สบาย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องส่งคืนคลัง
โดยนัยนี้รัฐประหารก็คือการทุจริตในรูปแบบหนึ่ง เป็นการโกงเงินของประเทศชาติและประชาชน เอาไปใช้เพื่อการยึดอำนาจให้กับกลุ่มของตนโดยไม่ต้องส่งคืนคลังหลวง ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าไม่เคยมีรัฐประหารครั้งใดในประวัติศาสตร์ที่แสดงรายรับรายจ่ายเพราะถือเป็นความลับแห่งชาติ แต่ในความเป็นจริงก็คือความลับในการปฏิบัติการยึดอำนาจของกลุ่มผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ
ที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือรัฐประหารเป็นการกระทำทุจริตที่กลับกลายเป็นว่าถูกต้องตามกฎหมาย เพราะมีอำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการของประชาชนที่ถูกล้มล้างไปเพราะอำนาจรัฐประหาร นอกจากการทุจริตแล้ว ยังสามารถสั่งฆ่า สั่งยึดทรัพย์ หรือสั่งทำลายหรือให้รางวัลแก่ใครก็ได้โดยเสมือนชอบด้วยกฎหมาย และสุดท้ายคณะรัฐประหารเองรวมทั้งการกระทำทั้งปวงของคณะรัฐประหารก็มักได้รับการนิรโทษกรรมไปในที่สุด
อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงนั้น รัฐประหารก็คือความเถื่อนหรืออนารยะ เพราะรัฐประหารกระทำการด้วยการใช้กำลังอาวุธมาล้มล้างรัฐธรรมนูญ และยึดอำนาจอธิปไตยไปจากปวงชนชาวไทย ในระหว่างทำการ คณะรัฐประหารมักจะหาข้ออ้างมากมายเพื่อสร้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจเดิมที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่การใช้กำลังพลและกำลังอาวุธที่เหนือกว่ามาเอาชนะจนสามารถยึดอำนาจได้สำเร็จ และทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นฝ่ายกบฏหรือฝ่ายที่ไม่ชอบธรรม ย่อมแสดงถึงความเถื่อน และความไม่ชอบด้วยหลักนิติรัฐของคณะรัฐประหารเอง และด้วยกำลังพลและกำลังอาวุธที่เหนือกว่า จึงปิดปากวิญญูชนได้ (ชั่วคราว)
โดยที่ธรรมชาติสำคัญของการรัฐประหารก็คือการใช้อำนาจโดยปราศจากการตรวจสอบและไม่ต้องมีใบเสร็จรับเงิน จึงกลายเป็นบ่อเกิดของการทุจริตและประพฤติมิชอบ ผู้ที่ต้องการอำนาจและผลประโยชน์ที่ชิงความได้เปรียบเหนือบุคคลอื่น จึงต้องเข้าหาคณะรัฐประหารซึ่งมีอำนาจสูงสุด การทุจริตต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นตามมา และด้วยเหตุนี้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คณะรัฐประหารหรือผู้เผด็จการต่าง ๆ จึงมักกลายสภาพเป็นทรราช ที่ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ
ยิ่งกว่านั้น หลังจากการทำรัฐประหาร ผู้ที่ได้ประโยชน์หรือ ‘ส้มหล่น’ ก็คือผู้ที่ร่วมปลุกปั่นสร้างสถานการณ์ให้เกิดรัฐประหาร บุคคลเหล่านี้ก็จะได้รับลาภยศ ถูกแต่งตั้งให้เป็นตุลาการบ้าง กรรมการในองค์กรอิสระที่ถูกอำนาจรัฐประหารครองงำบ้าง หรือสภา ‘เปรซิเดียม’ (เอาไว้ออกกฎหมายเข้าข้างพวกเดียวกัน) ที่แต่งตั้งกันเองโดยคณะรัฐประหารตามอำเภอใจโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง หรือไม่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน บุคคลเหล่านี้ได้อำนาจมาจากปากกระบอกปืนของฝ่ายรัฐประหารโดยแท้ นี่คืออีกบริบทหนึ่งของการโกงกินทรยศต่อชาติ
ดังนั้นเราจะไปตั้งความหวังว่าจะมีคณะรัฐประหารใดกระทำการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญเหนือผลประโยชน์ของกลุ่มของตนเฉกเช่น ‘พระเอกขี่ม้าขาว” นั้น ย่อมเป็นความหวังที่เลื่อนลอย เป็นความหลงผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว หรือเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อของคณะรัฐประหารและสมุนของคณะรัฐประหารนั้น ๆ เท่านั้น เพราะเนื้อแท้ของการัฐประหารก็คือการแย่งชิงผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่ใช่การอภิวัฒน์เช่นการปฏิวัติ พ.ศ.2475 ที่คณะราษฎรกระทำการเพื่อประเทศไทยโดยตรง
ที่สำคัญรัฐประหารสร้างความวิบัติซ้ำซ้อนให้กับประเทศไทย ทำให้ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยตกต่ำ กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นประเทศด้อยพัฒนาระดับล่าง ๆ ของโลก ที่มักใช้กำลังอาวุธขู่เข็ญเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ แทนที่จะรอคอยการเปลี่ยนแปลงตามกลไกทางการเมืองเช่นอารยะประเทศ ทำให้เกียรติภูมิของประเทศลดลง โอกาสการลงทุนของชาวต่างประเทศในไทยก็ลดน้อยลงไปด้วย อาจกล่าวได้ว่าการทุจริตอื่นอาจส่งผลเสียเฉพาะจำนวนเงินที่ปล้นหรือลักไป แต่รัฐประหารจะส่งผลเสียเป็นเท่าทวีต่อประเทศชาติ ถ้าประเทศไทยเกิดรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง ไทยก็จะตกต่ำยิ่งกว่าพม่าที่เพิ่งเริ่มมีประชาธิปไตย
คนไทย (บางส่วน) ไม่ควรหลงผิดไปเห็นดีเห็นงามกับอำนาจนอกระบบ จนสร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติ ไทยควรเข้าสู่สังคมอารยะ รู้จักเกรงใจประชาชนเจ้าของประเทศ เลิกคิด เลิกส่งเสริมการทำรัฐประหารกันได้แล้ว
...........................................................................................................
ให้ความรู้สึกเหมือนโฆษณาเครือข่ายโทรศัพท์ในบ้านเรา ^_^
http://www.facebook.com/photo.php?v=368265416613189
ศึกผู้ใช้ iphone VS ผู้ใช้ sumsung ในงานแต่ง
...............................................................................................................
.................................................................................................................
......................................................................................................................
» อะไรเอ่ย...คนกึ่งสำเร็จรูป ?
`คนกึ่งสำเร็จรูป´ จะมีรูปแบบชีวิตกึ่งสูตรสำเ ร็จ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ มีมาตรฐานชัดเจนให้ผู้สนใจไ ด้ปฏิบัติตาม...และห้ามแตกแ ถว
`ชีวิตสมัยใหม่´ เต็มไปด้วยสูตรมากมาย ตัวอย่างชัดๆ เช่น..
● ชีวิตแบบสูตรต้มยำซึ่งเป็นร สชาติคลาสสิกยอดนิยม มักเริ่มจาก...
1) วัยเรียนที่คร่ำเคร่งกับการ ท่องตำรา ผ่านห้องติวเข้ม เพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนมั ธยมที่มีชื่อ
2) จากนั้น...เรียนต่อในมหาวิท ยาลัยค่ายสีชมพูหรือเหลืองแ ดง
3) เมื่อจบแล้วทำงานพอเป็นพิธี การสักเล็กน้อย เพื่อบอกให้โลกรับรู้ว่า... ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ มีประสบการณ์ทำงาน แล้วจึงไปเรียนต่อต่างประเท ศ...เอาปริญญามาสักใบสองใบ
4) กลับมาทำงานในตำแหน่งงานสูง ๆ ในองค์กรที่มั่นคง รายได้ดีๆ แต่งงาน มีลูก มีบ้าน เกษียณแล้วอยู่บ้านพักตากอา กาศต่างจังหวัด
....เหนื่อย....
◌◌◌◌◌◌◌◌
● ปัจจุบันเราเรียกร้องที่จะม ีสุขภาพและความงามในเวลาอัน สั้น สะดวก และรวดเร็ว
การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่ส ะท้อนแนวคิดกึ่งสำเร็จรูปขอ งเรา เราไม่สนว่า เราทำให้ตัวเองอ้วนมานานแค่ ไหน แต่วันนี้อยากผอม ต้องผอมให้เร็ว ง่ายและสะดวกที่สุด คือถ้ามีใครคิดค้นเครื่องลด น้ำหนักจากการนอนกระดิกเท้า ได้ คงจะเยี่ยมไปเลย
● หลายองค์กรส่งพนักงานเข้าอบ รมหลักสูตรต่างๆ โดยหวังว่า เมื่อออกจากหลักสูตรอบรม ๓ วัน ๕ วันแล้ว องค์กรจะได้พนักงานที่มีประ สิทธิภาพ จัดลำดับความสำคัญของงานเป็ น ประชุมได้สร้างสรรค์ ฟังอย่างลึกซึ้ง สุนทรียสนทนาได้
● สูตรรวยเร็วเป็นตำรายอดนิยม ที่ทำให้ผู้เขียนและบอกสูตร นั้นรวยเร็วไปตามๆ กัน แต่ไม่แน่ใจว่าผู้ซื้อหาตำร ารวยลัดมาอ่าน ทำแล้วได้ผลอย่างหวังหรือไม ่ ...เพราะเท่าที่อ่านชีวประว ัติบุคคลร่ำรวย เส้นทางเศรษฐีไม่ได้มาง่ายๆ หรือรวดเร็วเลย
● สำหรับผู้ที่เกิดมาบนกองเงิ นกองทองหรือโชคดีถูกล็อตเตอ รี่บ่อย ถ้าเราเชื่อตามหลักกรรม เขาเหล่านั้นคงเคยสะสมเหตุบ างอย่างข้ามภาพข้ามชาติกันเ ลยทีเดียว
● แม้แต่เรื่องความรัก ความสัมพันธ์ก็มีสูตร เช่น ทำอย่างไรให้เขา(เธอ) สนใจเราภายใน ๕ นาที วิธีบอกเลิกโดยไม่ทำให้อดีต คนรักเจ็บปวด (มากนัก) หรือ ทำอย่างไรจะได้คนที่ใช่ และอีกมากที่จะหาอ่านได้ตาม นิตยสารหนุ่มสาวทั่วไป
◌◌◌◌◌◌◌◌
หลายเรื่องของชีวิต เราแสวงหาคำตอบสำเร็จเพื่อเ อาไปใช้ได้เลย เราไม่อยากเสียเวลากับการขบ คิดคำถาม หาคำตอบ ลองผิดลองถูก
ความคิดชอบลัดสั้นยังระบาดไ ปในแวดวงศาสนาด้วย
เรามีการปฏิบัติภาวนากึ่งสำ เร็จรูป เข้าการอบรม ๘ วัน ๑๐ วันแล้ว ลึกๆเราก็หวังว่า เมื่อออกจากค่ายอบรมแล้ว เราจะได้เราคนใหม่ ความทุกข์ ความโชคร้ายต่างๆ ในชีวิตจะอันตรธานไป
หรือไม่เราก็จะได้คำตอบเด็ด ๆ ที่จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นเรื ่อยๆ แก้ไขได้ทุกปัญหา (one answer cures all)
ในหนังสือชุด ธรรมะชิวๆ เขียนโดย คุณพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา มีเรื่องเล่าที่สะท้อนความค ิดติดจรวดของเราได้ดี
หลังจากได้เรียนรู้ฝึกภาวนา สวดมนต์ ปฏิบัติตามกิจของสงฆ์ และศึกษาพระธรรม พระหนุ่มบวชใหม่รูปหนึ่งถาม พระเจ้าอาวาสว่า "ท่านเจ้าอาวาสครับ มีหนทางปฏิบัติใดที่ลัดสั้น กว่านี้ ที่ผมจะเข้าใจธรรมะที่พุทธอ งค์สอน?
ท่านเจ้าอาวาสนิ่งชั่วครู่ก ่อนตอบว่า "ที่ทำอยู่นี่ก็ถือว่าลัดสั ้นที่สุดแล้ว คงสั้นกว่านี้ไม่ได้แล้วกระ มัง?
เห็นจะจริงอย่างที่ท่านเจ้า อาวาสว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงทุ่มเทเว ลาถึง ๖ ปี ทดลองปฏิบัติตามแนวทางต่างๆ ชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ตายเป็นตาย จนกระทั่งค้นพบโมกธรรมและนำ มาเผยแผ่ชี้แนะผู้คนให้เดิน ตามในสิ่งที่ท่านพบ
เราไม่ต้องออกเดินทางแสวงหา ลองผิดลองถูกเองเป็นแรมปีเย ี่ยงท่าน ...จะลัดสั้น เร็วจี๋กันแค่ไหนได้อีก
เราไม่ต้องพบธรรมะเอง แนวทางปฏิบัติก็ไม่ต้องคิดเ อง ธรรมะที่พระพุทธเจ้าแสดงให้ แนวทาง (How to) อยู่แล้ว เรามีหน้าที่เพียงแค่ปฏิบัต ิให้จริง พากเพียร มุ่งมั่นตั้งใจเพื่อบรรลุเป ้าหมายแห่งธรรมะ
◌◌◌◌◌◌◌◌
ถึงแม้ชีวิตไม่เป็นสูตรสำเร ็จ แต่ใช่ว่าชีวิตจะไม่มีสูตรเ อาเสียเลย
สำหรับสูตรที่ว่านั้น คือ "ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอนและ ไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนตามกระแสของเหตุแ ละปัจจัย?
ชีวิตเป็นสูตรไม่สำเร็จรูป ไม่เสร็จสักทีเพราะเราทุกคน ต้องก่อร่างสร้างรูปของตัวเ องขึ้นมาในทุกๆ ขณะ เป็นสูตรเฉพาะตน ลอกแบบกันไม่ได้ การผลิตเชิงปริมาณใช้ไม่ได้
หลายคนที่คุ้นเคยกับคำตอบสำ เร็จและชัดเจน จะเห็นว่าชีวิตไม่สำเร็จรูป เป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เพราะความที่มันไม่แน่นอน ชีวิตอยู่ในพื้นที่แห่งความ ไม่รู้เสมอๆ เราจึงรู้สึกสบายใจกว่าที่จ ะอยู่กับความคิด คำตอบสำเร็จรูปที่เรารู้สึก ว่าแน่นอน
....แต่จริงหรือไม่ !?
ผู้ที่ยอมรับชีวิตไม่สำเร็จ รูปต้องเปิดใจสู่การเรียนรู ้ ไม่หยุดตั้งคำถาม แสวงหาคำตอบ ลองผิดลองถูก ต้อนรับความเจ็บปวด
ชีวิตเช่นนี้อาศัยความกล้า กล้าเดินตามหัวใจตนเอง กล้าผิดพลาด กล้าล้ม และกล้าเผชิญความจริงของชีว ิตและความไม่เที่ยง
◌◌◌◌◌◌◌◌
Life 101 ขอหักมุมบทความนี้ด้วย การนำเสนอวิธีการบางอย่างที ่จะนำเราไปสู่ชีวิตไม่สำเร็ จรูป
● เติมความความช้าและสุนทรียภ าพให้ชีวิต ลองให้เวลาในแต่ละวันทำสิ่ง ต่างๆ อย่างช้าๆ ละเลียดกับเวลาและการกระทำข องตัวเองบ้าง เช่น อาบน้ำ ทำอาหาร ทำสวน อ่านหนังสือ หรือแม้แต่ดื่มกาแฟ ทำทุกอย่างอย่างช้า ๆ
● เปิดใจเรียนรู้ผู้คนและสิ่ง ต่างๆ เรียนรู้จากการไม่ตัดสิน ห้อยแขวนความคิดเก่าๆ ความรู้จักเดิมๆไว้บ้าง ลองดูคนเก่าๆด้วยสายตาใหม่ๆ รู้ทันความคิดของตัวเอง ประวิงเวลาที่จะสนองตอบความ คิดนั้นโดยทันที หยุดสักหน่อย เดินเล่นอ้อยอิ่งกับคำตอบที ่คุ้นเคยอยู่ภายในสักพัก แล้วคอยดูอย่างไม่คาดหวังหร ือคาดคั้นว่าอะไรจะผ่านเข้า มาในใจเรา
● รักคำถาม มากกว่าพุ่งหาคำตอบ เราอาจต้องลองเลิกนิสัยรีบไ ด้คำตอบในทันที อาจต้องเริ่มแต่พ่อแม่ที่เม ื่อเด็กถาม อย่าเพิ่งให้คำตอบสำเร็จรูป กับเด็ก เราอาจชวนเด็กขบคิดกับคำถาม หรือตรวจสอบทดสอบคำถามนั้นก ็ได้
หลายคำถามต้องใช้เวลาทั้งชี วิตที่จะพบคำตอบ
บางที ชีวิตก็คือคำตอบของคำถามบาง คำถามที่เรามีต่อตัวเองและช ีวิต
เรามีคำถามอะไรกับชีวิตบ้าง ไหม และชีวิตที่เรากำลังดำเนินอ ยู่ให้คำตอบอะไร
เป็นคำตอบกึ่งสำเร็จรูปหรือ เปล่า?
◌◌◌◌◌◌◌◌
Credit : กรรณจริยา สุขรุ่ง | สารเพื่อนเสม ฉบับที่ 36 กรกฎาคม-สิงหาคม 2552
`คนกึ่งสำเร็จรูป´ จะมีรูปแบบชีวิตกึ่งสูตรสำเ
`ชีวิตสมัยใหม่´ เต็มไปด้วยสูตรมากมาย ตัวอย่างชัดๆ เช่น..
● ชีวิตแบบสูตรต้มยำซึ่งเป็นร
1) วัยเรียนที่คร่ำเคร่งกับการ
2) จากนั้น...เรียนต่อในมหาวิท
3) เมื่อจบแล้วทำงานพอเป็นพิธี
4) กลับมาทำงานในตำแหน่งงานสูง
....เหนื่อย....
◌◌◌◌◌◌◌◌
● ปัจจุบันเราเรียกร้องที่จะม
การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่ส
● หลายองค์กรส่งพนักงานเข้าอบ
● สูตรรวยเร็วเป็นตำรายอดนิยม
● สำหรับผู้ที่เกิดมาบนกองเงิ
● แม้แต่เรื่องความรัก ความสัมพันธ์ก็มีสูตร เช่น ทำอย่างไรให้เขา(เธอ) สนใจเราภายใน ๕ นาที วิธีบอกเลิกโดยไม่ทำให้อดีต
◌◌◌◌◌◌◌◌
หลายเรื่องของชีวิต เราแสวงหาคำตอบสำเร็จเพื่อเ
ความคิดชอบลัดสั้นยังระบาดไ
เรามีการปฏิบัติภาวนากึ่งสำ
หรือไม่เราก็จะได้คำตอบเด็ด
ในหนังสือชุด ธรรมะชิวๆ เขียนโดย คุณพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา มีเรื่องเล่าที่สะท้อนความค
หลังจากได้เรียนรู้ฝึกภาวนา
ท่านเจ้าอาวาสนิ่งชั่วครู่ก
เห็นจะจริงอย่างที่ท่านเจ้า
เราไม่ต้องออกเดินทางแสวงหา
เราไม่ต้องพบธรรมะเอง แนวทางปฏิบัติก็ไม่ต้องคิดเ
◌◌◌◌◌◌◌◌
ถึงแม้ชีวิตไม่เป็นสูตรสำเร
สำหรับสูตรที่ว่านั้น คือ "ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอนและ
ชีวิตเป็นสูตรไม่สำเร็จรูป ไม่เสร็จสักทีเพราะเราทุกคน
หลายคนที่คุ้นเคยกับคำตอบสำ
....แต่จริงหรือไม่ !?
ผู้ที่ยอมรับชีวิตไม่สำเร็จ
ชีวิตเช่นนี้อาศัยความกล้า กล้าเดินตามหัวใจตนเอง กล้าผิดพลาด กล้าล้ม และกล้าเผชิญความจริงของชีว
◌◌◌◌◌◌◌◌
Life 101 ขอหักมุมบทความนี้ด้วย การนำเสนอวิธีการบางอย่างที
● เติมความความช้าและสุนทรียภ
● เปิดใจเรียนรู้ผู้คนและสิ่ง
● รักคำถาม มากกว่าพุ่งหาคำตอบ เราอาจต้องลองเลิกนิสัยรีบไ
หลายคำถามต้องใช้เวลาทั้งชี
บางที ชีวิตก็คือคำตอบของคำถามบาง
เรามีคำถามอะไรกับชีวิตบ้าง
เป็นคำตอบกึ่งสำเร็จรูปหรือ
◌◌◌◌◌◌◌◌
Credit : กรรณจริยา สุขรุ่ง | สารเพื่อนเสม ฉบับที่ 36 กรกฎาคม-สิงหาคม 2552
......................................................................................................
ดาไลลามะบอกให้คนและระบบการ ศึกษาควรพ้นจากความงมงายในศ าสนา
ดาไลลามะ: เราต้องเข้าใจความไม่เพียงพ อของระบบการศึกษาที่เน้นไปเ พียงคุณค่าเชิงวัตถุ การแก้ปัญหาไม่ใช่เพียงแค่ใ ห้การบรรยายเป็นครั้งคราวแต ่จะบูรณาการจรรยาบรรณเข้าไป ในหลักสูตรการศึกษา การทำเช่นนี้ได้อย่างมีประส ิทธิภาพต้องมีจรรยาบรรณของป ระชาชน ซึ่งปราศจากอิทธิพลของศาสนา , มีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกธร รมดา, มุมมองที่เป็นจริงและการค้น พบทางวิทยาศาสตร์
We need to understand the inadequacy of an educational system so slanted towards material values. The solution is not to give an occasional lecture, but to integrate ethics into the educational curriculum. To do this effectively requires a secular ethics, free of religious influence, based on common sense, a realistic view and scientific findings.
https://www.facebook.com/ DalaiLama?ref=stream
ดาไลลามะ: เราต้องเข้าใจความไม่เพียงพ
We need to understand the inadequacy of an educational system so slanted towards material values. The solution is not to give an occasional lecture, but to integrate ethics into the educational curriculum. To do this effectively requires a secular ethics, free of religious influence, based on common sense, a realistic view and scientific findings.
https://www.facebook.com/
..................................................................................................................
นิธิ เอียวศรีวงศ์ : การลงร่องของกระฎุมพีไทย
Eric Hobsbawm ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนักประวัติศาสตร์อังกฤษที่ดีที่สุดของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตั้งข้อสังเกต (ใน The Age of Revolution, 1789-1848) ว่า ชะตากรรมของขบวนการปฏิวัติของกระฎุมพีเสรีนิยม เช่น ในการปฏิวัติฝรั่งเศส มีพัฒนาการไปในทางเดียวกันหมด
นั่นคือเริ่มจากร่วมกันปลุกระดมมวลชน และเพราะมีมวลชนเป็นฐานกำลัง ผู้นำบางส่วนจึงสนับสนุนความเปลี่ยนแปลงไปทางซ้าย (คือปฏิวัติสังคม) ทำให้พวกกลางๆ รับไม่ได้และเกิดแตกแยกกัน พวกกลางๆ ซึ่งเคยสนับสนุนการปฏิรูปกลับหันไปทางขวา (คือจำกัดให้เหลือเพียงปฏิวัติการเมือง) มากขึ้น พยายามรักษาผลประโยชน์ของกระฎุมพีไว้ในระบบใหม่ และในที่สุดก็กลับไปสังกัดกลุ่มจารีตนิยมหรือกลุ่มอำนาจเดิม หรือหากทางมวลชนฝ่ายซ้ายกำไพ่ได้เหนือกว่า ก็จะถูกการปฏิวัติสังคมทำลายล้างไปพร้อมกับกลุ่มจารีตนิยม
ผมอ่านแล้วออกจะอึ้ง เพราะดูเหมือนมันอธิบายบุคคลที่ผมรู้จักได้หลายคน เช่น ทำไมนักปฏิรูปดังๆ เมื่อกว่าทศวรรษมาแล้ว จึงกลายเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้แก่กลุ่มอำนาจจารีตนิยมในตอนนี้ ทั้งปัญญาชน, นักวิชาการ และไม่เว้นแม้แต่กวีและศิลปิน
ข้อสังเกตของ Hobsbawm ยังดูเหมือนจะอธิบายเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยตั้งแต่ 2475 มาถึงปัจจุบันได้พอสมควรอีกด้วย
ในที่นี้ ผมขอพูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ ไม่เกี่ยวกับตัวบุคคล
อันที่จริง การ "ปฏิวัติ" ในประเทศไทย (ถ้าจะเรียกความเปลี่ยนแปลงครั้งใดอย่างนั้นได้) มีลีลาที่คล้ายการปฏิวัติฝรั่งเศสมาก ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการปฏิวัติในรัสเซีย, จีน และเวียดนาม นั่นคือไม่มีกลุ่มการเมืองใด (เช่น พรรค) เป็นแกนนำความเปลี่ยนแปลงชัดแจ้งนัก การปฏิวัติเกิดขึ้นจากการสร้างอารมณ์ร่วมของสังคม โดยมีปัญญาชน, นักวิชาการ, นักกิจกรรม, นักเคลื่อนไหวระดับล่าง, หรือแม้แต่นักการเมืองใน "ระบอบเก่า" บางคน ฯลฯ ก่อให้เกิดขึ้น โดยแทบจะไม่มีการประสานร่วมมือกันเองเลย
และแทบจะไม่มีโครงการที่แน่ชัดว่า จะนำความเปลี่ยนแปลงอะไรมาสู่สังคม อย่างเก่งก็มีเพียงอุดมคติหลวมๆ และเบลอๆ เช่น ประชาธิปไตย หรือปฏิรูปการเมือง หรือความเสมอภาค เป็นเป้าหมายร่วมกัน
แม้คณะราษฎรเป็นแกนนำในการปฏิวัติสยาม 2475 ก็จริง แต่ในขั้นเตรียมการ (หรือแม้แต่เมื่อยึดอำนาจได้แล้ว) สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้คณะราษฎรเผยแพร่แนวคิดของตนได้มากไปกว่ากลุ่มคนเล็กๆ ที่ไว้วางใจกัน หากผู้นำคณะราษฎรบางคนอาจมี "โครงการ" เปลี่ยนประเทศ ก็ไม่มีโอกาส "พัฒนา" โครงการนั้น โดยอาศัยความร่วมมือจากมวลชนระดับล่าง แม้แต่ในกลุ่มผู้ก่อการด้วยกันก็เข้าใจว่า ให้ความสนใจแต่ปัญหาในทางปฏิบัติคือจะยึดอำนาจและรักษาอำนาจได้สำเร็จอย่างไรมากกว่าว่าจะเปลี่ยนประเทศอย่างไร
14 ตุลา เป็นการเคลื่อนไหวที่ขาดแกนนำเป็นกลุ่มก้อนชัดเจนยิ่งไปกว่านั้นเสียอีก จริงอยู่ก่อนเหตุการณ์ มีการเผยแพร่ความคิดเห็นที่เป็นปฏิปักษ์กับระบอบเผด็จการทหารมานาน รวมทั้งความยากลำบากของ "ฝูงชน" ไทยภายใต้ระบอบนั้น ซึ่งมีประสิทธิภาพน้อยลงตลอดมา ก็อาจมีส่วนหนุนช่วยหรืออย่างน้อยก็ไม่ขัดขวางการล้มล้างระบอบเผด็จการทหาร แต่ 14 ตุลา ไม่มีโครงการเปลี่ยนประเทศที่ชัดเจนแน่นอนอะไร (จึงเป็นโอกาสให้ฝ่ายจารีตนิยม และ พคท. สามารถเข้ามาแทรกได้ง่าย)
ก่อนการปฏิวัติในประเทศไทยทุกครั้ง ฝ่าย "ระบอบเก่า" กุมอำนาจได้ค่อนข้างเด็ดขาดเสียจนฝ่ายปฏิวัติไม่เคยมีโอกาสปลุกระดมมวลชนเลย (นอกจาก พคท. ซึ่งปฏิวัติไม่สำเร็จ) อย่างมากที่ทำได้ก็แค่สร้างอารมณ์ร่วมในสังคม ให้ผู้คนโดยเฉพาะที่เข้าถึงสื่อ รู้สึกไม่พอใจหรือเบื่อหน่าย "ระบอบเก่า" และดังที่กล่าวแล้วว่าฝ่ายต่อต้านไม่สามารถจัดองค์กรให้เกิดความร่วมมือกันในการต่อต้าน หรือประสานการต่อต้านไปในทิศทางเดียวกัน
เหตุการณ์ที่ปะทุขึ้นมาเป็นการปฏิวัติ จึงไม่ได้เกิดขึ้นจากฝ่ายต่อต้านล้วนๆ หากไม่นับ 2475 แล้ว ล้วนมีกโลบายทางการเมืองของผู้มีอำนาจ (ทั้งในระบบและนอกระบบ) แทรกอยู่ในการปะทุทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาคม หรือพฤษภามหาโหด 2535 แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การปฏิวัติ
ผมคิดว่า ถ้าเปรียบเทียบกับการปฏิวัติฝรั่งเศส จะเห็นตรงนี้ได้ชัด กล่าวคือการปลุกระดมมวลชนทำได้กว้างและลึก จนกระทั่ง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่กล้าสั่งกองทัพหลวงของพระองค์เคลื่อนกำลังเข้าปราบนักการเมืองและประชาชนที่ลุกฮือขึ้น เพราะไม่ทรงไว้วางพระทัยว่า กองทัพหลวงของพระองค์มีใจเอนเอียงไปกับนักปฏิวัติหรือไม่
ในทางตรงกันข้าม กองทัพไทยเป็นป้อมปราการอันแข็งแกร่งของ "ระบอบเก่า" เสมอ
ปราศจากฐานมวลชนเช่นนี้ เมื่อนักปฏิวัติยึดอำนาจได้ จะนำการปฏิวัติไปสู่การปฏิวัติสังคมจึงเป็นเรื่องยากมาก ความพยายามของนักปฏิวัติบางคนที่จะทำเช่นนั้น มักประสบความล้มเหลว และนำภัยมาสู่ตนเอง เพราะไม่มีมวลชนเป็นฐานสำหรับการต่อรองทางการเมืองเอาเลย (ผิดจากพวกจาโกแบงในฝรั่งเศส ซึ่งมีมวลชนหนุนหลังอยู่หลายปี และสามารถนำทางการเมืองได้ระยะหนึ่ง)
ปราศจากการจัดองค์กรที่ชัดเจน จนทำให้ไม่มีหน่วยที่อำนวยการนำของการปฏิวัติ ในที่สุดนักปฏิวัติก็แตกแยกกันเอง ความแตกแยกนี้มักถูกมองว่าเป็นเพียงการ "แย่งอำนาจ" ซึ่งก็อาจจะจริงในส่วนหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าไม่มีด้านอุดมการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเลย ผู้ที่ต่อต้าน "สมุดปกเหลือง" ของท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ส่วนหนึ่งอาจต้องการชิงการนำจากท่าน แต่อีกส่วนหนึ่งก็รับไม่ได้กับการปฏิวัติสังคมกว้างขวางอย่างนั้น
เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาอาชีวะหลัง 14 ตุลา ด้านหนึ่งอาจเคลื่อนไหวต่อต้าน ศนนท. เพราะได้รับการสนับสนุนจาก กอ.รมน. แต่อีกด้านหนึ่งที่สามารถรวบรวมกำลังได้มากเช่นนั้น ก็เพราะยึดมั่นในอุดมการณ์ของ "ระบอบเก่า" ที่ตนเติบโตมา คือชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ความแตกแยกนำไปสู่การหันกลับไปร่วมหัวจมท้ายกับกลุ่มจารีตนิยม เกิดขึ้นได้ง่ายมากในกรณีปฏิวัติของไทย เพราะไม่เคยมีการปฏิวัติครั้งใดที่ชัยชนะได้มาจากกลุ่มปฏิวัติล้วนๆ กลุ่มอำนาจเดิมหรือ "ระบอบเก่า" เข้ามาร่วมมือในบางขั้นตอนเสมอ เพื่อแย่งอำนาจกันเอง หรือเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ จึงเป็นธรรมดาที่นักปฏิวัติกลุ่มที่แตกแยก จะหันไปร่วมหัวจมท้ายกับกลุ่มจารีตนิยม อย่างน้อยก็เพราะเขายังมีอำนาจอยู่
ในที่สุดก็กลายเป็นขวาสุดโต่ง เป็นราชานิยมเสียยิ่งกว่าพระราชา และกลายเป็นพรรคประชาธิปัตย์ในที่สุด
การปฏิวัติครั้งเดียวที่สามารถสร้างฐานมวลชนได้กว้างขวางคือ ศนนท. หลัง 14 ตุลา จนสามารถผลักดันนโยบายปฏิรูปสังคมได้หลายเรื่อง เช่น กฎหมายเช่าที่ดินเป็นต้น แต่เพราะมีฐานมวลชนกว้างขวางนี้เอง เมื่อ "ระบอบเก่า" ตัดสินใจปิดฉากขบวนการนิสิตนักศึกษา จึงต้องใช้วิธีโหดร้ายป่าเถื่อนอย่างรุนแรงที่สุด และที่ทำได้สำเร็จ ก็เพราะเมื่อวิเคราะห์ดูฐานมวลชนของ ศนนท. ก็จะพบว่าแม้ว่ามีฐานมวลชนก็จริง แต่ไม่สู้จะแข็งแกร่งเท่าไรนัก (เช่น สหพันธ์แรงงานซึ่งประกาศจะปิดน้ำปิดไฟทันทีที่เกิดการรัฐประหาร กลับหันไปร่วมมือกับคณะปฏิรูปฯ ของกองทัพทันที)
การต่อต้าน รสช. ในเหตุการณ์พฤษภามหาโหด 2535 ก็เช่นเดียวกัน อาศัยอารมณ์ร่วมของสังคมมากกว่าการปลุกระดมมวลชน มีพันธมิตรจากหลากหลายกลุ่มเข้ามาร่วมกัน แต่ไม่มีโครงการที่แน่นอนว่า หลังจากขับไล่ รสช. ออกจากอำนาจได้แล้ว จะนำไปสู่อะไร
น่าสนใจที่กลุ่มซึ่งอาจถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ต่อต้าน รสช. ไม่ใช่พรรคการเมือง แต่เป็นเครือข่ายของนักปฏิรูปสังคม อันประกอบด้วยนักวิชาการ, นักเคลื่อนไหว, เอนจีโอ และผู้นำมวลชนในท้องถิ่น กลุ่มนี้มีข้อเสนอที่ชัดเจนที่สุดคือปฏิรูปการเมือง เพื่อนำไปสู่ระบอบรัฐธรรมนูญนิยม (และดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า รัฐธรรมนูญนิยมไม่จำเป็นต้องหมายถึงประชาธิปไตย)
โดยอาศัยการนำของคนกลุ่มนี้ ในที่สุดก็ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 แต่รัฐธรรมนูญ 2540 ทำให้เกิดการเมืองมวลชนขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย การเมืองมวลชนทำให้อิทธิพลและการนำของเครือข่ายนักปฏิรูปสังคมอ่อนกำลังลง เท่าๆ กับทำให้การนำของกลุ่มจารีตนิยมอ่อนกำลังลงเช่นกัน
ผลที่ตามมาคือการผนึกกำลังกันระหว่างเครือข่ายปฏิรูปสังคมกับอำนาจนำตามประเพณี เพื่อโค่นล้มการเมืองมวลชนลงโดยผ่านการรัฐประหาร 2549
แต่การเมืองมวลชนที่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ-สังคมในประเทศ และด้วยรัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ยอมกลับไปสยบยอมอย่างเคย หันมาผลักดันการเมืองมวลชนให้ออกมาโลดแล่น ทั้งผ่านหีบบัตรเลือกตั้ง และในท้องถนน
และกลายเป็นสงครามเสื้อสีสืบมาจนถึงทุกวันนี้
แม้ว่าการเมืองไทยในทุกวันนี้ มีฐานมวลชนเป็นเงื่อนไขสำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้ และส่วนใหญ่ของผู้นำมวลชนในทุกสี ล้วนเป็นกระฎุมพีเสรีนิยม ความแตกแยกที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นเรื่องของการแก่งแย่งอำนาจกันเอง ไม่ใช่ความขัดแย้งกันด้วยเรื่องการปฏิรูปสังคม ฉะนั้น จึงเป็นธรรมดาที่ทุกฝ่ายหันไปแสวงหาความร่วมมือกับกลุ่มอำนาจเดิม-กองทัพ, นักธุรกิจระดับเจ้าสัว, นักธุรกิจเจ้าพ่อในท้องถิ่น, พระราชาคณะ, ราชสำนัก, ฯลฯ
มวลชนที่ร่วมเคลื่อนไหวเองก็แตกแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆ จนการแบ่งด้วยเสื้อสีเริ่มจะไร้ความหมายลง บางกลุ่มหันไปผลักดันประเด็น เช่น เรื่องพลังงาน, ปราสาทพระวิหาร, สื่อ, สถาบันพระมหากษัตริย์, สาธารณสุข, รัฐธรรมนูญ ฯลฯ
ถ้ามองจากชะตากรรมของขบวนการของการปฏิวัติของกระฎุมพีเสรีนิยมตามที่ Hobsbawm กล่าวไว้ ประเด็นการปฏิวัติสังคมอันตรธานไปจนสิ้นเชิงแล้วในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทยเวลานี้
......................................................................................................
มหัศจรรย์ "ไปรษณีย์ไทย" เปลี่ยนขาดทุนเป็นกำไร แม้การส่งจดหมาย ธนาณัติ และพัสดุไปรษณีย์จะยังไม่สูญหายไปไหนในเวลานี้ แต่อนาคตข้างหน้าที่มีแต่ความไม่แน่นอนกดดันให้กิจการ "ไปรษณีย์ไทย" ต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย กิจการซึ่งมีอายุยาวนานกว่า 125 ปี และประสบปัญหา "ขาดทุน" มาโดยตลอด ไม่มีใครคาดคิดว่าภายหลังการแปรสภาพและแยกตนเองออกจาก "การสื่อสารแห่งประเทศไทย" มาเป็น "บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด" เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2546 แล้ว องค์กรแห่งนี้จะอยู่รอดได้อย่างไร หากไม่มีรายได้จากกิจการโทรคมนาคมมาอุดหนุนเหมือนในอดีต แม้เมื่อครั้งที่รัฐบาลมีมติให้แปรรูปเป็นบริษัทจะตั้งงบประมาณหลายร้อยล้านบาทเผื่อไว้สำหรับอุดหนุนอุ้มชูกิจการในกรณีฉุกเฉิน แต่ใครจะเชื่อว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาหลังแปรสภาพแยกตัวออกมาเลี้ยงตัวเอง "บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด" ไม่เพียงไม่เคยต้องเบิกงบประมาณก้อนดังกล่าวมาใช้เลยแม้แต่บาทเดียว ยังสามารถทำกำไรได้ตั้งแต่ปีแรกด้วยซ้ำไป โดยในปี 2547 มีกำไรถึง 229 ล้านบาท หรือกับปีล่าสุด 2552 ก็มีกำไรสุทธิมากถึง 900 ล้านบาท และเคยมีกำไรสูงที่สุดถึง 1,250 ล้านบาท ในปี 2550 อีกด้วย ที่สำคัญยิ่งกว่า รายได้รวมกว่า 15,000 ล้านบาท ล้วนทำมาหาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ไม่ได้พึ่งพิงสัมปทานใด ๆ อีกต่างหาก ถือเป็นความมหัศจรรย์ที่เหนือความคาดหมายเป็นอย่างยิ่ง โฉมหน้า "ไปรษณีย์ไทย" ในปัจจุบันยังสดใส ทันสมัยมากกว่าเดิมหลายเท่า "ออมสิน ชีวะพฤกษ์" กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ยอมรับว่า การมองเห็นแนวโน้มการลดลงของปริมาณการส่งจดหมายในแต่ละปีเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้บริษัทต้องปรับบริการให้สอดรับกับยุคสมัย แม้รายได้จากธุรกิจส่งจดหมายและไปรษณียบัตรในปัจจุบันจะยังคงมีสัดส่วนมากถึง 75% แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ลูกค้าเริ่มนำอิเล็กทรอนิกส์เมล์และอิเล็กทรอนิกส์บิลมาใช้ทดแทนการส่งจดหมายบ้างแล้ว อีกทั้งทราฟฟิกการใช้บริการไปรษณีย์ยังขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจทำให้จำเป็นต้องเตรียมองค์กรไว้ล่วงหน้า "เครือข่ายการให้บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ" คือจุดแข็งของไปรษณีย์ไทย และเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาบริการ ใหม่ ๆ กลายมาเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ ด้านการขนส่งและการเงิน "ไปรษณีย์ไทย" จึงไม่ใช่มีภารกิจแค่ส่งจดหมายหรือพัสดุขนาดเล็กเท่านั้น แต่รับส่งกระทั่งรถมอเตอร์ไซค์ ตู้เย็น เครื่อง ซักผ้า ทีวี ฯลฯ ที่มีน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 200 กิโลกรัม ผ่านบริการที่เรียกว่า "โลจิสโพสต์" ที่ส่งตรงถึงหน้าบ้านลูกค้าเลย "หรือถ้าอยากเสียค่าบริการถูกหน่อย จะมารับที่ไปรษณีย์เองก็เลือกใช้บริการ โลจิสโพสต์พลัสได้ บริการนี้ได้รับความนิยมมาก เปิดมาไม่กี่ปีมีสัดส่วนรายได้ธุรกิจขนส่งทะลุ 10.5% ไปแล้ว และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากแนวโน้มดังกล่าว "ไปรษณีย์ไทย" จึงมีการเปิดบริการใหม่อย่าง "เมสเซนเจอร์ โพสต์" ขึ้นมา ซึ่งไม่ได้แค่รับส่งเอกสารธุรกิจ แต่ยังให้บริการสั่งซื้อกระเช้าของขวัญ ช่อดอกไม้ และพวงหรีดพร้อม จัดส่งได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง อีกบริการที่โด่งดังมากคือ "อร่อยทั่วไทย สั่งได้ที่ไปรษณีย์ (YummyPost)" ที่ให้หนุ่มไปรษณีย์ส่งอาหารจากร้านดังทั่วไทยเกือบ 50 ร้าน ไม่ว่าจะเป็นแหนมเนืองร้านดังจากจังหวัดหนองคาย ลูกชิ้นปลาร้านดังจากภูเก็ต เป็นต้น รับประกันความอร่อย ส่งตรงถึงบ้านลูกค้า อร่อยทั่วไทยสั่งได้ที่ไปรษณีย์อาจไม่ใช่บริการที่ทำเงินมากมายนัก แต่ช่วยได้มากเรื่องการสร้างแบรนด์ เพราะตั้งแต่เปิดบริการทำให้ชื่อไปรษณีย์ไทยถูกพูดถึงบ่อยครั้งด้วยความเชื่อมั่นในบริการ แม้แต่ของสดยังกล้าส่ง บริการดังกล่าวยังคว้ารางวัลสุดยอดแคมเปญการตลาดแห่งปี 2009 จากสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย โดยถือเป็นความพยายามฉีกกรอบข้อจำกัดในการขนส่ง ทั้งประเภท รูปแบบ และน้ำหนักของสิ่งของที่นำส่ง เพื่อสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า แม่ทัพแห่งไปรษณีย์เชื่อว่า แม้การเปิดเสรีจะผลักดันให้ไปรษณีย์ไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าสนามแข่งขันกับบริษัทขนส่งระดับชาติ แต่เชื่อว่าไม่มีใครเข้าใจและรู้จักพื้นที่ในประเทศไทยได้ดีกว่า (บุรุษ)ไปรษณีย์ไทยอย่างแน่นอน สุดท้ายแล้วแม้แต่ "คู่แข่ง" ก็ยังต้องเลือกใช้บริการของไปรษณีย์ไทยในการขนส่งพัสดุไปต่างจังหวัดอยู่ดี "แต่จะให้เราไปเทียบชั้นยักษ์ใหญ่ขนาดนั้นคงลำบาก เขามีเครื่องบินเป็นของตัวเอง เราเป็นแค่บริษัทเล็ก ๆ ก็ต้องลงทุนแบบเล็ก ๆ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป แต่ไม่เสี่ยง ไม่ขาดทุน" ออมสินย้ำ สำหรับบริการด้านการเงินในปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 6.4% ก็พัฒนาจากธนาณัติแบบเดิม เป็น "ธนาณัติออนไลน์" ที่ส่งเงินข้ามจังหวัดทั่วประเทศถึงมือผู้รับด้วยเวลาเพียง 15 นาที ทั้งต่อยอดพัฒนาระบบการให้บริการหน้าเคาน์เตอร์ในที่ทำการไปรษณีย์ให้มีขีดความสามารถด้านการชำระค่าบริการต่าง ๆ ด้วย ไม่ว่าการชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบัตรเครดิต เป็นต้น ด้วยบริการ "pay@post" ล่าสุดต่อยอดไปถึงการจับมือกับพันธมิตรหลายบริษัท ทั้งยักษ์มือถือเอไอเอส และบริษัท เบญจจินดา เป็นต้น โดยอยู่ระหว่างเจรจากับคู่ค้าอีกหลายรายเพื่อให้บริการเติมเงินบริการโทรศัพท์มือถือ และชำระค่าโทรศัพท์มือถือแบบเรียลไทม์ และไม่ใช่เฉพาะให้บริการหน้าเคาน์เตอร์ไปรษณีย์เท่านั้น ก่อนหน้านี้ไปรษณีย์ไทยก็เคยร่วมมือกับ "ทรูมูฟ" ให้ "บุรุษไปรษณีย์" ที่ไปส่งจดหมายตามบ้านให้บริการเติมเงินมือถือของทรูมูฟได้แล้ว เรียกว่าเป็นบริการเติมเงินถึงบ้านลูกค้ากันเลยทีเดียว ในเร็ว ๆ นี้ "บุรุษไปรษณีย์" ยังจะเป็นอะไรได้อีกหลากหลาย ทั้งตัวแทนขายประกันภัย ประกันอุบัติเหตุในราคาย่อมเยากับประชาชนโดยตรงอีกด้วย หลังจากได้รับใบอนุญาตจากกรมการประกันภัยแล้ว นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงข่ายไอทีทั่วประเทศ หากเสร็จสมบูรณ์แล้ว เคาน์เตอร์บริการไปรษณีย์อัตโนมัติ (New CA POS) จะพร้อม เชื่อมโยงข้อมูลออนไลน์แบบเรียลไทม์ระหว่างที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งรวมถึงแฟรนไชส์ "ร้านไปรษณีย์ไทย" ที่มีกว่า 30 แห่ง ซึ่งจะทำให้การต่อยอดบริการทางการเงินร่วมกับพันธมิตรได้หลากหลายรูปแบบยิ่งขึ้น อาทิ โครงการ "เคาน์เตอร์แสนสะดวก" ที่จับมือกับธนาคารกรุงไทยทดลองให้บริการ รับฝาก-ถอนเงิน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ บางสาขา เพื่อเตรียมขยายสายธุรกิจใหม่ Agency Banking "แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม จีดีพีของประเทศติดลบ 3-4% กิจการไปรษณีย์ ชั้นนำของโลกหลายแห่งประสบภาวะขาดทุน ไปรษณีย์ไทยยังนับว่ามีสถานะทางการเงินที่ดีกว่ามาก สามารถฝ่าวิกฤตไปได้ โดยอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของพนักงานทั้งองค์กรเพื่อช่วยกันสร้างแบรนด์ไปรษณีย์ไทย โดยเรามีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะสร้างพลังแห่งบริการคุณภาพให้มีความเที่ยงตรงและมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าและสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน" ในปี 2553 ไปรษณีย์ไทยจะมุ่งขยายฐานรายได้ในธุรกิจขนส่ง โดยจะร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงพาณิชย์ในการเป็นจุดกระจายผลไม้จากเกษตรกรไปถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศ โดยอาศัยศูนย์ไปรษณีย์ 14 แห่ง ที่กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ร่วมถึงเข้าไปเป็นเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs ช่วยในการกระจายสินค้า ทั้งหมดถือเป็นการต่อยอดธุรกิจจากแก่นความสามารถดั้งเดิมที่มีอยู่ นั่นคือบุคลากรที่มีใจรักองค์กร มีประสบการณ์ด้านการขนส่ง และมีเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศมากที่สุด วันนี้ "ไปรษณีย์ไทย" จึงมาไกลกว่าจุดเริ่มต้นเดิมของตนเองมากนัก (หน้าพิเศษ องค์กรสร้างใหม่ Trasformation) |
...............................................................................................................
ฝ่ายต่อต้านทักษิณยกย่องรัฐ
หรือว่าโต้ตอบกันก็จะต้องปร
—
ใบตองแห้ง – “ประเทศนี้มีแต่คนเสียสติ อาการหนักนะครับ แค่นายกฯ ประณามรัฐประหาร ก็พากันดิ้นพล่านถูกขี้เถ้า
— http://www.kaohoon.com/
....................................................................................................................
................................................................................................................
"มีนักการเมืองถูกลงโทษในคด ีคอร์รัปชันภายใต้ระบอบประช าธิปไตยมากกว่าภายใต้ระบอบเ ผด็จการ" หมายความว่าในระบอบประชาธิป ไตย เราสามารถตรวจสอบอำนาจรัฐ จับคนกระทำผิดได้ดีกว่าในระ บอบเผด็จการ ซึ่งเราไม่สามารถตรวจสอบและ จับผู้กระทำผิดได้
ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวในงานสัมมนาเนื่องใ นโอกาสรำลึก 21 ปีการสูญหายของทนง โพธิ์อ่าน ซึ่งได้มีการกล่าวถึงความขั ดแย้งและระบอบประชาธิปไตยไทยในปัจจุบัน โดยมีเนื้หาส่วนหนึ่งระบุว่ า:
“ประชาธิปไตยอาจจะไม่ใช่ระบ อบการปกครองในอุดมคติ แต่ขณะนี้ประเทศสำคัญในโลกส ่วนใหญ่ ที่มีเสถียรภาพทางการเมือง ล้วนแล้วแต่มีระบอบประชาธิป ไตย และพบว่าเป็นระบอบที่ช่วยคล ี่คลายความขัดแย้งได้ดีที่ส ุด อีกทั้งป้องกันไม่ให้มีการใ ช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาไ ด้ดีที่สุด ดังนั้นขณะที่เรายังไม่มีทา งเลือกซึ่งดีกว่านี้และเป็น ที่ยอมรับกันในสากลโลก เราจึงต้องจรรโลงระบอบประชา ธิปไตยให้ดีที่สุด
เราอาจไม่ชอบนักการเมืองเพร าะส่วนมากพวกเขาคอร์รัปชั่น แต่เมื่อเปรียบเทียบระบบเลื อกตั้งกับระบบแต่งตั้ง ระบบเลือกตั้งเปิดโอกาสให้เ ราจำกัดคอร์รัปชันได้ดีกว่า แน่นอน และไม่ใช่ว่ารัฐบาลที่มาจาก รัฐประหาร หรือการแต่งตั้งจะไม่คอร์รั ปชัน ข้อนี้ไม่จริงแน่นอน จากการศึกษา และประวัติศาสตร์การเมืองไท ยชี้ชัดว่า มีนักการเมืองถูกลงโทษในคดี คอร์รัปชันภายใต้ระบอบประชา ธิปไตยมากกว่าภายใต้ระบอบเผ ด็จการ"
ซึ่งนั่นหมายความว่าในระบอบ ประชาธิปไตย เราตรวจสอบอำนาจรัฐได้ดีกว่ าในระบอบเผด็จการ นอกจากนั้น ผาสุก ยังกล่าวต่อไปว่า:
"ในเมืองไทยนั้นระบอบรัฐสภา ประชาธิปไตย ไม่มีโอกาสได้พัฒนาไปตามธรร มชาติ เพราะว่ามักถูกรัฐประหารเสม อๆ จึงเกิดอาการสะดุดหยุดชะงัก รัฐประหารทีไรก็ถอยหลังเข้า คลอง ต้องเริ่มใหม่เสียหายทุกทีแ ละที่สำคัญได้ทำให้ฝ่ายกองท ัพที่กุมอำนาจความรุนแรงแข็ งแกร่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบ กับฝ่ายพลเรือน นับว่าไม่เป็นผลดีกับการลดค วามรุนแรงในสังคม และเป็นปรปักษ์กับประชาธิปไ ตยอย่างยิ่ง
อย่าลืมว่าปัญหาการเมืองไทย เหมือนแผลที่ต้องใช้เวลาในก ารเยียวยา ระหว่างนั้นเราต้องยึดโยงกั บหลักการให้มั่นคง ต้องต่อต้านรัฐประหารที่ล้ม รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย อย่างสุดขีด
แม้ว่าประชาธิปไตยจะมีจุดอ่ อน แต่ก็ยังดีกว่ายอมให้ระบอบท ี่ส่งเสริมความรุนแรงภายใต้ การรัฐประหาร หรือรัฐบาลที่ฝ่ายรัฐประหาร สนับสนุน เข้าบริหารประเทศโดยไม่มีใค รกำกับควบคุมได้"
ผาสุก พงษ์ไพจิตร, “การเมืองไทยหลังรัฐประหาร 2549 และบทบาทที่ควรจะเป็นของขบว นการภาคประชาชน”
17 มิถุนายน 2555, ณ ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา
ที่มา: http://www.matichon.co.th/ news_detail.php?newsid=1339 922467&grpid=00&catid&subc atid
ที่มาของภาพ: http:// graces.cpportal.net/บคลากร/ tabid/60/Default.aspx
- Admin AC
ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวในงานสัมมนาเนื่องใ
“ประชาธิปไตยอาจจะไม่ใช่ระบ
เราอาจไม่ชอบนักการเมืองเพร
ซึ่งนั่นหมายความว่าในระบอบ
"ในเมืองไทยนั้นระบอบรัฐสภา
อย่าลืมว่าปัญหาการเมืองไทย
แม้ว่าประชาธิปไตยจะมีจุดอ่
ผาสุก พงษ์ไพจิตร, “การเมืองไทยหลังรัฐประหาร 2549 และบทบาทที่ควรจะเป็นของขบว
17 มิถุนายน 2555, ณ ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา
ที่มา: http://www.matichon.co.th/
ที่มาของภาพ: http://
- Admin AC
............................................................................................................
เท่ดี ^_^
http://www.facebook.com/photo.php?v=119461488255572
ขณะที่ " เทพ " เบสบอลให้ " สัมภาษณ์ " นักข่าวสาวอยู่นั้น.....!!!
__________________________
ติดตามชมคลิปอื่นๆต่อที่ ไอไลค์คลิป ได้เลยครับ :)
...........................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น