วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

04/05/2556




คนโชคดี...

ชุนทาโร ฮิดะ เป็นหมอหนุ่มวัยยี่สิบแปด ประจำการที่โรงพยาบาลทหารแห่งหนึ่ง ตีสองของคืนหนึ่ง เขาถูกใครคนหนึ่งปลุก เขางัวเงียลุกขึ้นมา ผู้ปลุกเป็นชาวบ้านคนหนึ่งจากหมู่บ้านเฮซากะ ขอให้หมอไปช่วยดูลูกสาวที่ไม่สบายมาก เขาเหนื่อยเพราะหลับได้เพียงสองสามชั่วโมง เนื่องจากเมื่อหัวค่ำต้องพาแขกจากต่างถิ่นไปกินเลี้ยง แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่

ชุนทาโรซ้อนท้ายจักรยานของชาวบ้านคนนั้นไป ระยะทางหกกิโลเมตรจากบ้านพักของเขา เด็กหญิงเป็นไข้สูง หมอหนุ่มดูแลคนไข้จนอาการทรงตัวแล้วหลับไป เวลานั้นดึกเกินกว่าที่จะกลับบ้านพัก เขาจึงตัดสินใจค้างแรมที่นั่นตามคำชวนของชาวบ้านคนนั้น

เขาตื่นเช้า ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินสดใส เสียงนกร้องเซ็งแซ่ รอบตัวเป็นความเขียวขจีของชนบท เขาคิดในใจ เป็นวันที่สวยงามจริง เขากินอาหารแล้วก็เตรียมไปทำงานที่โรงพยาบาล ไม่ทันจะออกเดินทาง ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เห็นแสงสว่างแผดจ้า เขาสัมผัสคลื่นความร้อนระอุพัดผ่านร่างของเขาไป พื้นดินรอบตัวสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหว กระจกในบ้านแตกกระจาย เขาเห็นกลุ่มควันก่อตัวเป็นรูปเห็ดยักษ์ที่เส้นขอบฟ้า เป็นภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต

ชุนทาโรกลับไปที่โรงพยาบาล อาคารบ้านเรือนพินาศเป็นภัสมธุลี ระหว่างทางเห็นซากศพนับไม่ถ้วน คนบาดเจ็บมากมายร้องครวญครางอย่างทรมาน

มันคือเหตุการณ์เช้าวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น หลายหมื่นชีวิตจากไปในชั่วพริบตาด้วยอานุภาพระเบิดปรมาณูลูกแรก

ชุนทาโร ฮิดะ รอดตายมาอย่างปาฏิหาริย์

เรือไททานิคเดินทางออกจากยุโรปสู่อเมริกา เป็นเที่ยวแรกและเที่ยวสุดท้าย คืนวันที่ 10 เมษายน 1912 เรือชนภูเขาน้ำแข็งที่มหาสมุทรแอตแลนติกแล้วจมลง ในจำนวนผู้โดยสาร 2,224 คน เพียง 710 คนรอดชีวิต และอีกหยิบมือหนึ่งที่รอดตาย เพราะไม่ได้ขึ้นเรือทั้งที่ซื้อตั๋วเดินทางแล้ว

เฮนรี เคลย์ ฟริค และภรรยามีกำหนดไปอเมริกากับเพื่อนๆ แต่ภรรยาของเขาเกิดอุบัติเหตุข้อเท้าแพลง ต้องเข้าโรงพยาบาล ทำให้เดินทางไม่ได้ ทั้งสองไม่ได้ขึ้นเรือไททานิค

เช่นกัน ภรรยาของนักสอนศาสนา เจ. สจวต โฮลเดน ป่วยกะทันหัน ทำให้ต้องเลื่อนการเดินทางออกไป

รอเบิร์ต เบคอน เอกอัครราชทูตอเมริกันประจำฝรั่งเศสจองตั๋วโดยสารไททานิคสำหรับเขาและครอบครัวแล้ว แต่ต้องยกเลิกการเดินทาง เพราะเอกอัครราชทูตคนใหม่ที่มาแทนเขามาช้ากว่ากำหนด

ครอบครัววิลสันซื้อตั๋วแล้วยกเลิก เพราะได้ข่าวว่าห้องพักไม่สบายพอ รอดชีวิตเพราะความจู้จี้!

บารอน ฟอน เบธมานน์ กับเพื่อนสองคนเดินทางท่องรอบโลก จุดหมายต่อไปคืออเมริกา แต่ทั้งสามตกลงไม่ได้ว่าจะไปไททานิคหรือไม่ คนหนึ่งเสนอว่าควรไปเที่ยวเร็วกว่านั้น เพราะไม่อยากรอ ขณะที่อีกสองคนต้องการไปกับไททานิค ดังนั้น พวกเขาก็ตัดสินใจโดยการโยนเหรียญทายหัวก้อย ผลคือไม่ไปกับเรือมรณะ

เอ็ดการ์ เซลวิน ผู้กำกับละครเวทีและภาพยนตร์ชาวอเมริกัน เลื่อนการเดินทางออกไป เพราะอยากเห็นนวนิยายเรื่องใหม่ของนักประพันธ์ชาวอังกฤษ อาร์โนลด์ เบนเนตต์

อัลเฟรด กวิน แวนเดอรร์บิลท์ ที่ 1 และครอบครัวไม่ได้ไปกับไททานิคเพราะมีคนบอกเขาว่า ไม่ควรไปกับเรือเที่ยวแรก “หลายๆ อย่างอาจยังไม่ลงตัว!”

มิลตัน เฮอร์ชีย์ นักธุรกิจใหญ่มีกำหนดเดินทางไปกับเรือเที่ยวนั้น แต่สำนักงานใหญ่แจ้งให้เขาเดินทางกลับสามวันก่อนกำหนดเพื่อจัดการเรื่องธุรกิจ

นอร์แมน เครก ส.ส. ชาวสกอต มีตั๋วไททานิคในมือแล้ว แต่ในนาทีสุดท้ายเปลี่ยนใจไม่ไป โดยไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น แค่ไม่อยากไป!

คนเหล่านี้รอดตายมาอย่างปาฏิหาริย์

ในเหตุการณ์ก่อการร้ายบนแผ่นดินอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 เครื่องบินสี่ลำถูกจี้ให้ชนเป้าหมายสี่จุด อเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 11 กับ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 175 ชนตึกคู่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ นิวยอร์ก, อเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 77 ชนเพนตากอน และ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 93 มีเป้าหมายที่เมืองหลวงวอชิงตัน แต่ผู้โดยสารต่อสู้กับคนร้าย ทำให้เครื่องบินตกที่เพนซิลเวเนียเสียก่อน รวมผู้เสียชีวิตทั้งหมดกว่าสามพันคน

สำหรับคนจำนวนหนึ่ง 11 กันยายน 2001 เป็นวันที่ไม่มีทางลืมไปตลอดชีวิต เพราะเฉียดความตายที่สุด

วันนั้น แลร์รี ซิลเวอร์สไตน์ นักธุรกิจผู้มีสำนักงานที่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ มีนัดกับหมอโรคผิวหนัง เขาไม่อยากไป แต่ภรรยาของเขาบังคับให้เขาไปหาหมอ

นักกีฬาว่ายน้ำโอลิมปิกชาวออสเตรเลีย เอียน ธอร์ป ไปเที่ยวนิวยอร์ก วันนั้นเขาตั้งใจขึ้นไปดูทิวทัศน์แมนฮัตตันจากดาดฟ้ายอดตึก เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ เขานึกได้ว่าลืมเอากล้องถ่ายรูปไปด้วย จึงนั่งแท็กซี่กลับไปเอากล้องถ่ายรูปที่โรงแรม และเห็นข่าวร้ายทางโทรทัศน์

ไมเคิล โลโมนาโค เป็นพ่อครัวที่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ วันนั้นเขามีนัดซ่อมแว่นตาตอนเที่ยงวันนั้น แต่เปลี่ยนใจไปก่อนกำหนด

ลอรา ลันด์สตรอม คลาร์ก เล่นรอลเลอร์เบลดที่ริมฝั่งแม่น้ำฮัดสัน นิวยอร์ก หลังจากนั้นเธอข้ามถนนแถว เวสต์ วิลเลจ เธอมองเห็นหญิงคนหนึ่งในรถเอสยูวีสีน้ำเงิน จำได้ว่าคนนั้นคือดาราหนัง กวินเนธ พัลโทรว์ เธอทักทายดาราหนังที่เธอชื่นชอบ กวินเนธก็คุยด้วย การคุยช่วงสั้นๆ นั้นทำให้เธอพลาดรถไฟไปทำงานที่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์

นักร้อง แพตตี ออสติน กำหนดไปกับเที่ยวบิน 93 จากบอสตันไป ซาน ฟรานซิสโก แต่ต้องไปก่อนกำหนดเพราะแม่ป่วย

จูลี สตอฟเฟอร์ ทะเลาะกับแฟนในวันนั้น ทำให้ไปขึ้นเครื่องบินเที่ยวบิน 11 จากบอสตันไป ลอส แองเจลลิส ไม่ทัน

มาร์ก วอห์ลเบิร์ก นักแสดงอเมริกัน มีกำหนดขึ้นเที่ยวบิน 11 แต่ในนาทีสุดท้ายต้องเปลี่ยนแผนไปงานเทศกาลหนังที่โตรอนโตแทน

เซธ แม็คฟาร์เลน นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ มีกำหนดขึ้นเครื่องบินเที่ยวบิน 11 กลับ ลอส แองเจลลิส เอเยนต์เดินทางของเขาบอกเวลาขึ้นเครื่องผิดไปครึ่งชั่วโมง เป็นผลให้เขาไปถึงสนามบินช้ากว่ากำหนด และไม่ได้รับอนุญาตให้บินในเที่ยวบินนั้น

คนเหล่านี้รอดตายมาอย่างปาฏิหาริย์

ประสบการณ์เฉียดตายมักทำให้คนรอดตายเชื่อว่ามีอำนาจบางอย่างที่พลิกชีวิตพวกเขา หลายคนมองว่าเป็น ‘การแทรกแซงจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์’ (divine intervention) หลังจากนั้นพวกเขามักรู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากกว่าแค่กิน-อยู่-ทำงานไปวันๆ แล้วตายเมื่อถึงอายุขัย ราวกับเบื้องบนบอกว่า พวกเขามีพันธกิจบางอย่างที่ต้องทำ อย่างเช่น หมอชุนทาโร ฮิดะ กลายเป็นนักรณรงค์ต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ตลอดชีวิต เดินทางไปพูดทั่วโลก อีกหลายคนทำงานช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆ

ทว่าโชคดีและเคราะห์ร้ายเป็นเพียงมุมมองของมนุษย์ เรื่องดีและเรื่องร้ายเกิดขึ้นอย่างนี้ทุกวัน คำถามที่ว่าทำไมพวกเขารอดมาได้ ทำไมคนอื่นตาย ก็ไม่มีอะไรพิเศษ ความเป็นความตายเกิดขึ้นทุกนาทีอยู่แล้ว ข้อแตกต่างคือ เรื่องร้ายขนาดใหญ่ทำให้รู้สึกว่า การรอดตายมีความหมายมากกว่า เช่น รอดตายจากเครื่องบินตกมีความหมายมากกว่ารอดตายจากรถยนต์ชน รอดตายจากรถยนต์ชนมีความหมายมากกว่ารอดตายจากก้างปลาติดคอ เป็นต้น ทั้งที่มันเป็นความตายเดียวกัน ไม่ว่าจะตายจากเครื่องบินตกหรือก้างปลาติดคอ คนรักก็โศกเศร้าเหมือนกัน

ผู้รอดตายเหล่านี้รู้สึกว่าตนเอง ‘โชคดีอย่างยิ่ง’ เพราะพวกเขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ร้ายในสเกลใหญ่โดยตรง แต่ใครจะรู้? ถึงพวกเขาอยู่ในเรือไททานิคหรือในอาคารเวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ ก็อาจอยู่ในกลุ่มที่รอดตายได้

มองอีกมุมหนึ่ง สมมุติว่าพวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองรอดชีวิตมาได้จากอันตรายขนาดใหญ่นั้น มันจะเปลี่ยนมุมมองชีวิตของพวกเขาหรือไม่?

ตลอดชีวิตของเราทุกคน อาจมีสักครั้งหรือสองครั้งที่เราเดินผ่านกลุ่มเชื้อโรคร้ายแรงซึ่งลอยในอากาศ และรอดมาได้หวุดหวิด อาจมีเชื้ออีโบลาร้ายแรงติดมือมา แต่เราล้างมันออกทัน อาจพ้นจากการถูกรถชนตาย เพราะมองสาวนุ่งมินิสเกิร์ตจนเดินช้าไปสิบวินาที อาจรอดจากการเดินตกท่อหัวฟาดพื้นเป็นอัมพาต เพราะมีคนที่เดินตกท่อห้าวินาทีก่อนเรา หรืออาจเดินผ่านคนที่ตรงสเป็คฯ แต่หลังแต่งงานจะกลายเป็นคนขี้เมา ซ้อมภรรยาเช้าเย็น แต่เนื่องจากเราไม่รู้เรื่องเหล่านี้ จึงไม่รู้สึกว่าตัวเองโชคดี

ยังมีอีกหลายเรื่อง ‘โชคดี’ ที่เราไม่ได้มองว่ามันเป็นความโชคดี หรือการแทรกแซงจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นหนึ่งในอสุจิห้าร้อยล้านตัวที่ไปถึงเส้นชัย กำเนิดเป็นตัวเราในวันนี้ ขณะที่ที่เหลือตายหมด

เมื่อประมาณ 74,000 ปีก่อน ภูเขาไฟยักษ์ลูกหนึ่งที่ทะเลสาบโตบา สุมาตราระเบิด มันเป็นการทำลายล้างครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก เถ้าภูเขาไฟปกคลุมชั้นบรรยากาศโลกนานร่วมสิบปี ส่งผลให้อุณหภูมิโลกลดลงนานนับพันปี สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์นับไม่ถ้วนทั่วโลกสูญจากไป สำหรับสายพันธุ์ โฮโม ซาเปียนส์ ก็ตายไปเกือบหมดโลก เหลือคนแค่กลุ่มเดียว ประเมินว่าราวหมื่นกว่าคนเท่านั้น เราเจ็ดพันล้านคนตอนนี้สืบสายมาจากคนกลุ่มนี้

เราโชคดีที่รอดมาได้!

คนส่วนมากมองว่าโชคดีคือการถูกล็อตเตอรี, การได้คู่ครองดี, การรอดชีวิตจากภยันตราย แต่มักไม่มองเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัว

ลองมองไปรอบตัวเรา เราโชคดีแค่ไหนที่เกิดในยุคที่การแพทย์เจริญกว่ายุคโบราณ ซึ่งเด็กส่วนใหญ่มีชีวิตไม่เกินปีแรก โชคดีแค่ไหนที่เกิดในเมืองไทย แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่ในทะเลทรายแห้งแล้งที่ต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากเพื่อมีชีวิตรอด โชคดีแค่ไหนที่มีอาหารอร่อยให้กิน ไม่ใช่กินเนื้อดิบชุ่มเลือดเหมือนมนุษย์ยุคหิน โชคดีแค่ไหนที่มีโอกาสเรียนหนังสือ โชคดีแค่ไหนที่มีหนังสือนับล้านๆ เล่มให้อ่าน ขณะที่คนยุคห้าร้อยปีก่อนไม่มีโอกาสนี้ โชคดีแค่ไหนที่มีโอกาสเรียนรู้หลักธรรมดีๆ หลายอย่าง ฯลฯ

เราโชคดีกว่าคนจำนวนมากทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โชคดีกว่าสิ่งมีชีวิตอีกหลายๆ สายพันธุ์

มองโลกแบบนี้แล้วจะรู้สึกว่าชีวิตน่าจะมีความหมายมากกว่าแค่กิน-อยู่-ทำงานไปวันๆ แล้วตายเมื่อถึงอายุขัย

เราสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเราให้มีค่าเสมือนหนึ่งมี ‘การแทรกแซงจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์’ แต่มันเป็นการแทรกแซงโดยตัวเราเอง ด้วยเจตจำนงอิสระของเราเอง

โชคดีแค่ไหนที่เราสามารถเลือกทำอย่างนี้ได้!

วินทร์ เลียววาริณ
ข่าวหน้าหนึ่ง, 4 พฤษภาคม 2556
www.winbookclub.com

One World Trade Center April update 2013
http://youtu.be/cM4EJK4ogT8

............................................................................................................




" นิทรรศการภาพถ่ายฝีมือชั้นครู พุทธทาสภิกขุ "

ปี 2515 พุทธทาสภิกขุมีอายุได้ 66 ท่านเป็นอริยสงฆ์ผู้มีชื่อเสียง แต่ท่านยังคงปฏิเสธการเอารูปตัวท่านไปเคารพกราบไหว้บูชาในแบบพระขลัง พระศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์เวทมนต์ ซึ่งกำลังเป็นแฟชั่นในเวลานั้น ด้วยท่านมุ่งเน้นให้คนเข้าใจแก่นธรรมของพระพุทธศาสนา ไม่ให้ยึดมั่น ‘ตัวกู-ของกู’

เมื่อเห็นว่าไม่อาจทานกระแสรูปเคารพได้ ท่านพุทธทาสจึงเริ่มโครงการถ่ายภาพตัวเอง โดยอาศัยฉากสถานที่ภายในบริเวณวัดสวนโมกข์ และใช้สัญลักษณ์ที่มีอยู่โดยรอบ เช่น รูปปั้นพระโพธิสัตว์ศรีวิชัย, ดอกบัว, กองดิน, แท่นหิน แม้แต่สัตว์เลี้ยงในวัด มาเป็นองค์ประกอบภาพ บางครั้งก็ใช้ตัวท่านเองล้วนๆแสดงแบบ โดยอาศัยเทคนิคการอัดภาพในห้องมืดในวัด ทำให้เป็นภาพฝาแฝดสองและแฝดสาม (Double or triple prints) เพื่อเกิดเป็นภาพ “ปริศนาธรรม”ชวนให้ผู้ชมภาพต้องคิด ต้องใช้ปัญญาตีความ โดยจะมีบทกลอนธรรมะของท่านแต่งประกอบ ซึ่งผลงานชุดนี้มีชื่อว่า “บทพระธรรมประจำภาพ

ผลงานภาพถ่ายและบทกลอนธรรมะจำนวน 423 บท สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจของท่านพุทธทาสต่อศิลปะและเทคโนโลยี โดยเฉพาะ ‘พลังของภาพถ่าย’ เพื่อรับใช้เผยแผ่ธรรมะ และอาจถือได้ว่านี่คือความคิดที่มาก่อนกาลเวลา ในยุคที่วงการศิลปะไทยยังไม่รู้จักคำว่า “Conceptual art” หรือ “Conceptual photography”

คัดมันดู โฟโต้ แกลเลอรี่ โดยความร่วมมือกับหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ มีความภูมิใจที่จะเสนอผลงานภาพถ่ายของ พุทธทาสภิกขุ (2449 – 2536) ที่อัดขยายจากต้นฉบับหนังสือ “บทพระธรรมประจำภาพ” จำนวน 30 ชิ้น เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติให้แก่ “ช่างภาพชั้นครู” ซึ่งจัดเป็นอันดับที่ 6 ในโครงการของแกลเลอรี่ “ค้นหาครูถ่ายภาพไทย” (Seeking Forgotten Thai Photographers) ที่ประวัติศาสตร์ภาพถ่ายไทยยังมิได้บันทึก

นิทรรศการภาพถ่ายฝีมือชั้นครู พุทธทาสภิกขุ

4 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2556

[เปิดนิทรรศการ เสาร์ที่ 4 พฤษภาคม เวลา 18.30 – 21.00 น.]

ถนนปั้น สีลม ใกล้วัดแขก

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.kathmandu-bkk.com/

Tel : (66) 02-234-6700
Fax : (66) 02-661-4413
Emai l: kathmandu.bkk@gmail.com

.......................................................................................................




ชีวิตไม่ควรขาดการลงทุน ...

สัปดาห์ก่อนผมมีโอกาสไปบรรยายหลักสูตร Mini Money Fitness ให้บริษัทชั้นนำแห่งหนึ่ง

ขณะคุยกันเรื่องภาษี ผมตั้งคำถามขึ้นมาว่า "ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ต้องเสียภาษีหรือไม่"

แทบทุกคนในห้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ไม่" จะมีก็แต่คุณพี่ท่านหนึ่งที่ตะโกนแย้งมาว่า "เสียสิ ... ถ้าดอกเบี้ยถึง 20,000 ก็ต้องเสียภาษี"

คำตอบของคุณพี่ท่านนั้นถูกต้องครับ เงินฝากออมทรัพย์ก็ต้องเสียภาษี แต่จะเริ่มเสียเมื่อดอกเบี้ยที่คุณได้รับจากฝากออมทรัพย์ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป

ขณะพักเบรค พี่ท่านน้ันเดินเข้ามาคุย ผมจึงเอ่ยปากชมว่า "พี่เก่งนะครับ รู้เรื่องภาษีดีจัง"

พี่ท่านนั้นตอบว่า "ไม่รู้ได้ไง ก็พี่โดนอยู่ทุกปี"

"แล้วตอนนี้พี่ลงทุนในทรัพย์สินอะไรบ้างครับ"

"ไม่มี ... ก็ฝากอย่างเดียว"

"แสดงว่ามีเอาเงินร่วม 3 ล้าน ฝากธนาคารอย่างเดียวเลยเหรอครับ" (คิดเร็ว เอา 20,000 ตั้ง คูณด้วย 100 หารด้วย 0.75)

"ใช่คะ เพราะพี่ไม่รู้เรื่องการลงทุน กลัวเสี่ยง"

ช่วงเบรคนั้น ผมจึงนั่งคุยกับพี่เค้าถึงการลงทุนทางเลือกอื่นๆ อย่างเช่น พันธบัตร หรือหุ้นกู้ ที่อาจให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 3.5-6% ได้ รวมถึงบอกเล่าเรื่องของความเสี่ยงเปรียบเทียบกับการฝากเงินให้ฟัง

ก่อนสิ้นสุดการเบรค พี่ท่านนั้นขอบคุณผม พร้อมทั้งบอกว่าเดี๋ยวจะไปบอกเพื่อนๆ เพราะส่วนใหญ่ก็เก็บเงินทั้งหมดไว้ในเงินฝากเหมือนกัน

การที่คนเราจะประสบความสำเร็จทางการเงินได้นั้น จะต้องมีความรู้ทางการเงินให้ครบถ้วนทั้ง 4 ด้าน

พี่ท่านนี้เก่งในเรื่องการหารายได้ การควบคุมการใช้จ่าย การออม และไม่เคยสนใจการลงทุนเลย ทำให้ไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้ช้า

ในโลกการเงินปัจจุบัน ... ต้องยอมรับว่าการออมเพียงอย่างเดียว ยากมากที่จะทำให้เราไปถึงจุดหมาย มีทุนเกษียณ หรือมั่งคั่งได้ในแบบที่ต้องการ

การลงทุนอาจมี "ความเสี่ยง" แต่ผลลัพธ์ของมันก็หอมหวานมากพอที่เราจะลงทุนและเงินทองกับมัน

ที่สำคัญ ... "ความเสี่ยงสามารถจัดการได้ด้วยความรู้"

High Understanding, High Return ... เปิดใจเรียนรู้เรื่องการลงทุน อุทิศเวลาบางส่วนให้กับมัน แล้วคุณจะไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้นครับ

..................................................................................................


รถไฟความเร็วสูง ไม่แพงแน่-สนข. เล็งคิดค่าโดยสารไม่เกิน 1,000 บาท


รถไฟความเร็วสูง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          รถไฟความเร็วสูง ไม่แพงแน่นอน สนข. ย้ำ จะเก็บค่าโดยสาร ไม่เกิน 1,000 บาท อาจคิด 999 บาทต่อที่นั่งในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ส่วนนอกเวลาเร่งด่วน อาจคิด 499 บาท จูงใจให้คนมาใช้บริการ

          เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-พิษณุโลก โดย นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า เชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะนำประโยชน์มาให้กับจังหวัด ทั้งในเรื่องการสัญจร ภาคธุรกิจ รวมทั้งการท่องเที่ยว และอนาคตจะทำให้จังหวัดพิษณุโลกก้าวเข้าสู่การเป็นเมืองหลวงของภาคเหนือตอนล่างได้

          ด้าน นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ วิศวกรชำนาญการ สนข. ระบุว่า หลังจากลงพื้นที่สำรวจความเห็นของประชาชนที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ พิษณุโลก ก็พบว่าได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่ง สนข. จะเร่งศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ทั้งเรื่องเส้นทาง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และจะเสนอโครงการต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป

          พร้อมกันนี้ นายพิเชฐ ยังได้ไขข้อข้องใจของประชาชนที่กังวลว่า ค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูงจะแพงเกินไปหรือไม่ ว่า ค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูงนั้นจะต่ำกว่าสายการบินโลว์คอสต์ ที่ปัจจุบันราคาตั๋วเครื่องบินต้นทุนต่ำอยู่ที่ 1,300-1,600 บาท ดังนั้น ค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูงที่เป็นไปได้ในอนาคตคือ น่าจะไม่เกิน 1,000 บาท โดยอาจกำหนดราคา 999 บาทต่อที่นั่งในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน หรือเก็บค่าโดยสาร 499 บาทต่อที่นั่ง ในช่วงนอกเวลาเร่งด่วนก็ได้ ซึ่งในต่างประเทศก็เก็บค่าโดยสารในลักษณะนี้ เพื่อจูงใจให้คนมาใช้บริการมากขึ้น อย่างเช่นที่ประเทศฝรั่งเศส และสามารถทำให้คนหันมาใช้บริการมากขึ้นด้วย


..........................................................................................................




ผี

มีผีเกิดขึ้นมาเพราะความโง่ของคน แล้วก็กลับมาทำอันตรายคนน่าจะพูดคำว่าสมน้ำหน้า ความโง่ของคนก็ทำอันตรายคนโดยไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นได้ ที่นี้เรามาดูกันต่อไปในเรื่องนี้ว่าทำไมผีจึงไม่มีในโลกของสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานตัวไหนกลัวผีสัตว์เดรัจฉานตัวไหนถูกผีหลอกบ้างไม่มีทางที่จะค้นพบได้

ถ้าอย่างนั้นสัตว์เดรัจฉานเช่นสุนัขเป็นต้นต้องดีกว่าคนเพราะว่าไม่มีผีที่จะคอยรบกวน และก็จะยังชนะผีหรือกินซากผซะด้วยซ้ำไป นี้เป็นที่เห็นได้ว่าในโลกของสัตว์เดรัจฉานนั้นไม่มีผี

ผีเพิ่งจะมีในโลกของคนที่ฉลาดกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะฉลาดโง่นั่นเอง เมื่อแรกเมื่อมีสัตว์ในโลกมีแต่สัตว์เดรัจฉานอย่างแน่นอนก็ยังไม่มีผี พอมีครึ่งคนครึ่งสัตว์อย่างนี้ขึ้นมาก็ยังไม่มีผี จนกระทั่งมีคนป่าแท้ๆขึ้นมาก็ยังไม่มีผี ต่อเมื่อคนป่าค่อยๆฉลาดขึ้นมาจะเป็นคนบ้านนี่หละ จึงจะมีผี เพราะว่ามันรู้จักคิดรู้จักนึกมากกว่าใครจนสามารถสร้างความเชื่อระบบใดระบบหนึ่งได้ สร้างความกลัวอันเป็นที่หล่อเลี้ยงความเชื่อระบบใดระบบหนึ่งได้

จิตจึงมีความคิดไปในทำนองที่ให้รู้สึกว่ามีอะไรลึกลับและก็มีความเชื่อในทำนองลึกลับนั้นตามความเห็นของตัวซึ่งเป็นลักษณะของอวิชชา ความคิดในทำนองที่ว่ามีอะไรศักดิ์สิทธิ์ทำนองผีได้เกิดขึ้นแล้วก็ค่อยๆสอนให้มากขึ้น แล้วก็ระดมความเชื่อให้มากขึ้น ผีก็สร้างสถาบันขึ้นมาได้สำเร็จบนความโง่ของมนุษย์นั้นเอง

เนี้ยลองคิดให้ดีเองเถิดว่าในโลกสัตว์เดรัจฉานไม่มีผีและมามีในโลกของมนุษย์เช่นนี้มันน่าละอายสักเท่าไร ถ้าเราจะรับมติความคิดความเห็นในเรื่องนี้กันอย่างไร ทีนี้เรามองดูสมัยนี้ที่ความรู้หรือการศึกษาเจริญก้าวหน้าไปมากขึ้น ความเชื่อที่เคยมีอยู่แต่ก่อนนั้นมันก็จางไปจางไป แม้แต่เพียงชั่วห้าสิบปีในชั่วอายุผมนี้ ก็รู้สึกมันจางไปมากเหลือเกิน ความเชื่อนี้จางไปมากเท่าไร ผีก็ค่อยๆจางลงเท่านั้น และในที่สุดก็หมดไปหลายอย่างหลายประการ

แต่เป็นที่แน่นอนว่าถ้าคนยุคจรวดปรมาญูนี้กลับไปโง่ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ผีก็จะกลับมาอีก จะเป็นผีศาลพระภูมิ หรือผีเรือนหรือผีเทพารักษ์หรือผีอะไรก็ตามจะกลับมาอย่างสมบูรณ์อีก แต่ถ้าการศึกษานำไปในทางที่ไม่ให้มีความเชื่ออย่างนี้ ผีก็จะตายไปเอง ไม่ต้องมีใครฆ่า ไม่ต้องมีใครปราบ

พุทธทาส อินทปัญโญ
๒๔ เมษายน ๒๕๑๐

......................................................................................................

.................................................................................................................



หยุดยาวถ้าไม่ได้กลับก็โทรไปคุยได้นะคร๊าบบบ

//พีสุเกะ
 
.................................................................................................................


  รัฐประหารคือการทุจริตทำลายชาติ
วันที่ 31 พฤษภาคม 2555
ดร.โสภณ พรโชคชัย
sopon@area.co.th  facebook.com/dr.sopon
“ . . . .ก็ยังมีเพื่อนผมอีกคนหนึ่ง ได้คุยกับผม ท่านเป็นนายทหาร เป็นชั้นนายพล ต้องพูดว่า การปฏิวัติครั้งหนึ่ง ๆ พวกคณะปฏิวัติร่ำรวยกันมหาศาล ถ้าใครปฏิวัติแล้วมีเงินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ถือว่ามือตกมาก ทำให้ผมมีความรังเกียจในการปฏิวัติรัฐประหารมากมายเหลือเกิน”
          ข้างต้นเป็นคำกล่าวของนายโสภณ จันเทรมะ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ในระหว่างการอภิปรายในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนให้ต่อต้านการทุจริต” เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมของนักศึกษาหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและการปราบปรามการทุจริตระดับสูง รุ่นที่ 2 ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งผู้เขียนได้เข้าศึกษาและจบการศึกษาไปแล้ว
          ที่เป็นเช่นนี้ คงเป็นเพราะว่าในการทำรัฐประหารครั้งหนึ่ง ๆ คณะรัฐประหารมีอำนาจเบ็ดเสร็จที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีใบเสร็จรับเงิน และไม่ต้องได้รับการตรวจสอบ ตัวอย่างเช่น คณะรัฐประหารสามารถเบิกเงินจากคลังหลวงออกมาใช้สอยตามอัธยาศัย เพื่อการยึดอำนาจ การรักษาอำนาจที่ยึดมา และเผื่อไว้เพื่อการหนีออกนอกประเทศ หากรัฐประหารนั้น ๆ กลายเป็นกบฏ แต่หากสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ก็ได้เงินไปใช้สบาย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องส่งคืนคลัง
          โดยนัยนี้รัฐประหารก็คือการทุจริตในรูปแบบหนึ่ง เป็นการโกงเงินของประเทศชาติและประชาชน เอาไปใช้เพื่อการยึดอำนาจให้กับกลุ่มของตนโดยไม่ต้องส่งคืนคลังหลวง ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าไม่เคยมีรัฐประหารครั้งใดในประวัติศาสตร์ที่แสดงรายรับรายจ่ายเพราะถือเป็นความลับแห่งชาติ แต่ในความเป็นจริงก็คือความลับในการปฏิบัติการยึดอำนาจของกลุ่มผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ
          ที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือรัฐประหารเป็นการกระทำทุจริตที่กลับกลายเป็นว่าถูกต้องตามกฎหมาย เพราะมีอำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการของประชาชนที่ถูกล้มล้างไปเพราะอำนาจรัฐประหาร นอกจากการทุจริตแล้ว ยังสามารถสั่งฆ่า สั่งยึดทรัพย์ หรือสั่งทำลายหรือให้รางวัลแก่ใครก็ได้โดยเสมือนชอบด้วยกฎหมาย และสุดท้ายคณะรัฐประหารเองรวมทั้งการกระทำทั้งปวงของคณะรัฐประหารก็มักได้รับการนิรโทษกรรมไปในที่สุด
          อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงนั้น รัฐประหารก็คือความเถื่อนหรืออนารยะ เพราะรัฐประหารกระทำการด้วยการใช้กำลังอาวุธมาล้มล้างรัฐธรรมนูญ และยึดอำนาจอธิปไตยไปจากปวงชนชาวไทย ในระหว่างทำการ คณะรัฐประหารมักจะหาข้ออ้างมากมายเพื่อสร้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจเดิมที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่การใช้กำลังพลและกำลังอาวุธที่เหนือกว่ามาเอาชนะจนสามารถยึดอำนาจได้สำเร็จ และทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นฝ่ายกบฏหรือฝ่ายที่ไม่ชอบธรรม ย่อมแสดงถึงความเถื่อน และความไม่ชอบด้วยหลักนิติรัฐของคณะรัฐประหารเอง และด้วยกำลังพลและกำลังอาวุธที่เหนือกว่า จึงปิดปากวิญญูชนได้ (ชั่วคราว)
          โดยที่ธรรมชาติสำคัญของการรัฐประหารก็คือการใช้อำนาจโดยปราศจากการตรวจสอบและไม่ต้องมีใบเสร็จรับเงิน จึงกลายเป็นบ่อเกิดของการทุจริตและประพฤติมิชอบ ผู้ที่ต้องการอำนาจและผลประโยชน์ที่ชิงความได้เปรียบเหนือบุคคลอื่น จึงต้องเข้าหาคณะรัฐประหารซึ่งมีอำนาจสูงสุด การทุจริตต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นตามมา และด้วยเหตุนี้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คณะรัฐประหารหรือผู้เผด็จการต่าง ๆ จึงมักกลายสภาพเป็นทรราช ที่ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ
          ยิ่งกว่านั้น หลังจากการทำรัฐประหาร ผู้ที่ได้ประโยชน์หรือ ‘ส้มหล่น’ ก็คือผู้ที่ร่วมปลุกปั่นสร้างสถานการณ์ให้เกิดรัฐประหาร บุคคลเหล่านี้ก็จะได้รับลาภยศ ถูกแต่งตั้งให้เป็นตุลาการบ้าง กรรมการในองค์กรอิสระที่ถูกอำนาจรัฐประหารครองงำบ้าง  หรือสภา ‘เปรซิเดียม’ (เอาไว้ออกกฎหมายเข้าข้างพวกเดียวกัน) ที่แต่งตั้งกันเองโดยคณะรัฐประหารตามอำเภอใจโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง หรือไม่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน บุคคลเหล่านี้ได้อำนาจมาจากปากกระบอกปืนของฝ่ายรัฐประหารโดยแท้ นี่คืออีกบริบทหนึ่งของการโกงกินทรยศต่อชาติ
          ดังนั้นเราจะไปตั้งความหวังว่าจะมีคณะรัฐประหารใดกระทำการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญเหนือผลประโยชน์ของกลุ่มของตนเฉกเช่น ‘พระเอกขี่ม้าขาว” นั้น ย่อมเป็นความหวังที่เลื่อนลอย เป็นความหลงผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว หรือเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อของคณะรัฐประหารและสมุนของคณะรัฐประหารนั้น ๆ เท่านั้น เพราะเนื้อแท้ของการัฐประหารก็คือการแย่งชิงผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่ใช่การอภิวัฒน์เช่นการปฏิวัติ พ.ศ.2475 ที่คณะราษฎรกระทำการเพื่อประเทศไทยโดยตรง
          ที่สำคัญรัฐประหารสร้างความวิบัติซ้ำซ้อนให้กับประเทศไทย ทำให้ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยตกต่ำ กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นประเทศด้อยพัฒนาระดับล่าง ๆ ของโลก ที่มักใช้กำลังอาวุธขู่เข็ญเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ แทนที่จะรอคอยการเปลี่ยนแปลงตามกลไกทางการเมืองเช่นอารยะประเทศ ทำให้เกียรติภูมิของประเทศลดลง โอกาสการลงทุนของชาวต่างประเทศในไทยก็ลดน้อยลงไปด้วย อาจกล่าวได้ว่าการทุจริตอื่นอาจส่งผลเสียเฉพาะจำนวนเงินที่ปล้นหรือลักไป แต่รัฐประหารจะส่งผลเสียเป็นเท่าทวีต่อประเทศชาติ ถ้าประเทศไทยเกิดรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง ไทยก็จะตกต่ำยิ่งกว่าพม่าที่เพิ่งเริ่มมีประชาธิปไตย
          คนไทย (บางส่วน) ไม่ควรหลงผิดไปเห็นดีเห็นงามกับอำนาจนอกระบบ จนสร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติ ไทยควรเข้าสู่สังคมอารยะ รู้จักเกรงใจประชาชนเจ้าของประเทศ เลิกคิด เลิกส่งเสริมการทำรัฐประหารกันได้แล้ว

...........................................................................................................

ให้ความรู้สึกเหมือนโฆษณาเครือข่ายโทรศัพท์ในบ้านเรา ^_^
http://www.facebook.com/photo.php?v=368265416613189



ศึกผู้ใช้ iphone VS ผู้ใช้ sumsung ในงานแต่ง

...............................................................................................................


จาก Status : คุณ Karnt Thassanaphak

เท่าที่ผมทราบมา นอกจากเป็นนักข่าวแล้ว น้องคนนี้เป็นนักกิจกรรมที่ทำงานรณรงค์ด้านสันติวิธีใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแข็งขัน

และตามข้อมูลเกี่ยวกับการพิจารณาคดีที่ผมทราบมา (ซึ่งอาจแย้งกับข้อมูลใน link ด้านล่างอยู่นิดเดียว คือ) ชั้นต้นตัดสินจำคุก 12 ปี ชั้นต่อมายกฟ้อง ชั้นฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

"อันวาร์" ไปศาลโดยไม่รู้ตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้น - แล้วศาลก็อ่านคำพิพากษา
(เช่นเดียวกับที่ในสเตตัสหนึ่งได้ให้ข้อมูลว่า - ตอนฟังคำพิจารณาคดี อันวาร์กับครอบครัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศาลลงโทษจำคุกเขา เพราะศาลอ่านคำพิพากษาแบบปนเปกับผู้ต้องสงสัยคนอื่น ๆ)

เขาไม่รู้ตัวจริงๆ และไม่มีใครรู้ - เพื่อนคนหนึ่งบอกผมว่า อันที่จริงเมื่อวานนี้คือวันที่อันวาร์ได้นัดทานข้าวกับเพื่อนพี่น้องนัก กิจกรรมด้วยกันที่กรุงเทพฯ แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ได้มา มาไม่ได้
......................................................................................

โดยส่วนตัว ผมยังสรุปอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลเพียงพอ
นี่ก็เป็นอีกข้อมูลที่ควรพิจารณา
มูฮำหมัดอันวัร หะยีเต๊ะ เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม Bungaraya News ถูกควบคุมตัวด้วยข้อหาคดีความมั่นคงเมื่อ 48 ศาลชั้นต้นยกฟ้อง และผ่านขั้นตอนอุทรณ์ แต่เมื่อเข้าชั้นฎีกา ศาลตัดสินจำคุก 12 ปี ในข้อหาเป็นสมาชิก BRN จากการซัดทอดของกลุ่มคนที่ถูกจับด้วยข้อหาฆ่าตำรวจ

.................................................................................................................

......................................................................................................................




» อะไรเอ่ย...คนกึ่งสำเร็จรูป?

`คนกึ่งสำเร็จรูป´ จะมีรูปแบบชีวิตกึ่งสูตรสำเร็จ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ มีมาตรฐานชัดเจนให้ผู้สนใจได้ปฏิบัติตาม...และห้ามแตกแถว

`ชีวิตสมัยใหม่´ เต็มไปด้วยสูตรมากมาย ตัวอย่างชัดๆ เช่น..

● ชีวิตแบบสูตรต้มยำซึ่งเป็นรสชาติคลาสสิกยอดนิยม มักเริ่มจาก...

1) วัยเรียนที่คร่ำเคร่งกับการท่องตำรา ผ่านห้องติวเข้ม เพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อ

2) จากนั้น...เรียนต่อในมหาวิทยาลัยค่ายสีชมพูหรือเหลืองแดง

3) เมื่อจบแล้วทำงานพอเป็นพิธีการสักเล็กน้อย เพื่อบอกให้โลกรับรู้ว่า...ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ มีประสบการณ์ทำงาน แล้วจึงไปเรียนต่อต่างประเทศ...เอาปริญญามาสักใบสองใบ

4) กลับมาทำงานในตำแหน่งงานสูงๆ ในองค์กรที่มั่นคง รายได้ดีๆ แต่งงาน มีลูก มีบ้าน เกษียณแล้วอยู่บ้านพักตากอากาศต่างจังหวัด

....เหนื่อย....


◌◌◌◌◌◌◌◌


● ปัจจุบันเราเรียกร้องที่จะมีสุขภาพและความงามในเวลาอันสั้น สะดวก และรวดเร็ว

การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่สะท้อนแนวคิดกึ่งสำเร็จรูปของเรา เราไม่สนว่า เราทำให้ตัวเองอ้วนมานานแค่ไหน แต่วันนี้อยากผอม ต้องผอมให้เร็ว ง่ายและสะดวกที่สุด คือถ้ามีใครคิดค้นเครื่องลดน้ำหนักจากการนอนกระดิกเท้าได้ คงจะเยี่ยมไปเลย


● หลายองค์กรส่งพนักงานเข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ โดยหวังว่า เมื่อออกจากหลักสูตรอบรม ๓ วัน ๕ วันแล้ว องค์กรจะได้พนักงานที่มีประสิทธิภาพ จัดลำดับความสำคัญของงานเป็น ประชุมได้สร้างสรรค์ ฟังอย่างลึกซึ้ง สุนทรียสนทนาได้


● สูตรรวยเร็วเป็นตำรายอดนิยมที่ทำให้ผู้เขียนและบอกสูตรนั้นรวยเร็วไปตามๆ กัน แต่ไม่แน่ใจว่าผู้ซื้อหาตำรารวยลัดมาอ่าน ทำแล้วได้ผลอย่างหวังหรือไม่ ...เพราะเท่าที่อ่านชีวประวัติบุคคลร่ำรวย เส้นทางเศรษฐีไม่ได้มาง่ายๆ หรือรวดเร็วเลย


● สำหรับผู้ที่เกิดมาบนกองเงินกองทองหรือโชคดีถูกล็อตเตอรี่บ่อย ถ้าเราเชื่อตามหลักกรรม เขาเหล่านั้นคงเคยสะสมเหตุบางอย่างข้ามภาพข้ามชาติกันเลยทีเดียว


● แม้แต่เรื่องความรัก ความสัมพันธ์ก็มีสูตร เช่น ทำอย่างไรให้เขา(เธอ) สนใจเราภายใน ๕ นาที วิธีบอกเลิกโดยไม่ทำให้อดีตคนรักเจ็บปวด (มากนัก) หรือ ทำอย่างไรจะได้คนที่ใช่ และอีกมากที่จะหาอ่านได้ตามนิตยสารหนุ่มสาวทั่วไป


◌◌◌◌◌◌◌◌


หลายเรื่องของชีวิต เราแสวงหาคำตอบสำเร็จเพื่อเอาไปใช้ได้เลย เราไม่อยากเสียเวลากับการขบคิดคำถาม หาคำตอบ ลองผิดลองถูก

ความคิดชอบลัดสั้นยังระบาดไปในแวดวงศาสนาด้วย

เรามีการปฏิบัติภาวนากึ่งสำเร็จรูป เข้าการอบรม ๘ วัน ๑๐ วันแล้ว ลึกๆเราก็หวังว่า เมื่อออกจากค่ายอบรมแล้ว เราจะได้เราคนใหม่ ความทุกข์ ความโชคร้ายต่างๆ ในชีวิตจะอันตรธานไป

หรือไม่เราก็จะได้คำตอบเด็ดๆ ที่จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ แก้ไขได้ทุกปัญหา (one answer cures all)

ในหนังสือชุด ธรรมะชิวๆ เขียนโดย คุณพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา มีเรื่องเล่าที่สะท้อนความคิดติดจรวดของเราได้ดี

หลังจากได้เรียนรู้ฝึกภาวนา สวดมนต์ ปฏิบัติตามกิจของสงฆ์ และศึกษาพระธรรม พระหนุ่มบวชใหม่รูปหนึ่งถามพระเจ้าอาวาสว่า "ท่านเจ้าอาวาสครับ มีหนทางปฏิบัติใดที่ลัดสั้นกว่านี้ ที่ผมจะเข้าใจธรรมะที่พุทธองค์สอน?

ท่านเจ้าอาวาสนิ่งชั่วครู่ก่อนตอบว่า "ที่ทำอยู่นี่ก็ถือว่าลัดสั้นที่สุดแล้ว คงสั้นกว่านี้ไม่ได้แล้วกระมัง?

เห็นจะจริงอย่างที่ท่านเจ้าอาวาสว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงทุ่มเทเวลาถึง ๖ ปี ทดลองปฏิบัติตามแนวทางต่างๆ ชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ตายเป็นตาย จนกระทั่งค้นพบโมกธรรมและนำมาเผยแผ่ชี้แนะผู้คนให้เดินตามในสิ่งที่ท่านพบ

เราไม่ต้องออกเดินทางแสวงหา ลองผิดลองถูกเองเป็นแรมปีเยี่ยงท่าน ...จะลัดสั้น เร็วจี๋กันแค่ไหนได้อีก

เราไม่ต้องพบธรรมะเอง แนวทางปฏิบัติก็ไม่ต้องคิดเอง ธรรมะที่พระพุทธเจ้าแสดงให้แนวทาง (How to) อยู่แล้ว เรามีหน้าที่เพียงแค่ปฏิบัติให้จริง พากเพียร มุ่งมั่นตั้งใจเพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งธรรมะ


◌◌◌◌◌◌◌◌


ถึงแม้ชีวิตไม่เป็นสูตรสำเร็จ แต่ใช่ว่าชีวิตจะไม่มีสูตรเอาเสียเลย

สำหรับสูตรที่ว่านั้น คือ "ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอนและไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนตามกระแสของเหตุและปัจจัย?

ชีวิตเป็นสูตรไม่สำเร็จรูป ไม่เสร็จสักทีเพราะเราทุกคนต้องก่อร่างสร้างรูปของตัวเองขึ้นมาในทุกๆ ขณะ เป็นสูตรเฉพาะตน ลอกแบบกันไม่ได้ การผลิตเชิงปริมาณใช้ไม่ได้

หลายคนที่คุ้นเคยกับคำตอบสำเร็จและชัดเจน จะเห็นว่าชีวิตไม่สำเร็จรูปเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เพราะความที่มันไม่แน่นอน ชีวิตอยู่ในพื้นที่แห่งความไม่รู้เสมอๆ เราจึงรู้สึกสบายใจกว่าที่จะอยู่กับความคิด คำตอบสำเร็จรูปที่เรารู้สึกว่าแน่นอน

....แต่จริงหรือไม่ !?

ผู้ที่ยอมรับชีวิตไม่สำเร็จรูปต้องเปิดใจสู่การเรียนรู้ ไม่หยุดตั้งคำถาม แสวงหาคำตอบ ลองผิดลองถูก ต้อนรับความเจ็บปวด

ชีวิตเช่นนี้อาศัยความกล้า กล้าเดินตามหัวใจตนเอง กล้าผิดพลาด กล้าล้ม และกล้าเผชิญความจริงของชีวิตและความไม่เที่ยง


◌◌◌◌◌◌◌◌


Life 101 ขอหักมุมบทความนี้ด้วย การนำเสนอวิธีการบางอย่างที่จะนำเราไปสู่ชีวิตไม่สำเร็จรูป


● เติมความความช้าและสุนทรียภาพให้ชีวิต ลองให้เวลาในแต่ละวันทำสิ่งต่างๆ อย่างช้าๆ ละเลียดกับเวลาและการกระทำของตัวเองบ้าง เช่น อาบน้ำ ทำอาหาร ทำสวน อ่านหนังสือ หรือแม้แต่ดื่มกาแฟ ทำทุกอย่างอย่างช้า ๆ


● เปิดใจเรียนรู้ผู้คนและสิ่งต่างๆ เรียนรู้จากการไม่ตัดสิน ห้อยแขวนความคิดเก่าๆ ความรู้จักเดิมๆไว้บ้าง ลองดูคนเก่าๆด้วยสายตาใหม่ๆ รู้ทันความคิดของตัวเอง ประวิงเวลาที่จะสนองตอบความคิดนั้นโดยทันที หยุดสักหน่อย เดินเล่นอ้อยอิ่งกับคำตอบที่คุ้นเคยอยู่ภายในสักพัก แล้วคอยดูอย่างไม่คาดหวังหรือคาดคั้นว่าอะไรจะผ่านเข้ามาในใจเรา


● รักคำถาม มากกว่าพุ่งหาคำตอบ เราอาจต้องลองเลิกนิสัยรีบได้คำตอบในทันที อาจต้องเริ่มแต่พ่อแม่ที่เมื่อเด็กถาม อย่าเพิ่งให้คำตอบสำเร็จรูปกับเด็ก เราอาจชวนเด็กขบคิดกับคำถาม หรือตรวจสอบทดสอบคำถามนั้นก็ได้

หลายคำถามต้องใช้เวลาทั้งชีวิตที่จะพบคำตอบ
บางที ชีวิตก็คือคำตอบของคำถามบางคำถามที่เรามีต่อตัวเองและชีวิต


เรามีคำถามอะไรกับชีวิตบ้างไหม และชีวิตที่เรากำลังดำเนินอยู่ให้คำตอบอะไร
เป็นคำตอบกึ่งสำเร็จรูปหรือเปล่า?


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : กรรณจริยา สุขรุ่ง | สารเพื่อนเสม ฉบับที่ 36 กรกฎาคม-สิงหาคม 2552
 
......................................................................................................




ดาไลลามะบอกให้คนและระบบการศึกษาควรพ้นจากความงมงายในศาสนา
ดาไลลามะ: เราต้องเข้าใจความไม่เพียงพอของระบบการศึกษาที่เน้นไปเพียงคุณค่าเชิงวัตถุ การแก้ปัญหาไม่ใช่เพียงแค่ให้การบรรยายเป็นครั้งคราวแต่จะบูรณาการจรรยาบรรณเข้าไปในหลักสูตรการศึกษา การทำเช่นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องมีจรรยาบรรณของประชาชน ซึ่งปราศจากอิทธิพลของศาสนา, มีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกธรรมดา, มุมมองที่เป็นจริงและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์
We need to understand the inadequacy of an educational system so slanted towards material values. The solution is not to give an occasional lecture, but to integrate ethics into the educational curriculum. To do this effectively requires a secular ethics, free of religious influence, based on common sense, a realistic view and scientific findings.
https://www.facebook.com/DalaiLama?ref=stream

..................................................................................................................


นิธิ เอียวศรีวงศ์ : การลงร่องของกระฎุมพีไทย



Eric Hobsbawm ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนักประวัติศาสตร์อังกฤษที่ดีที่สุดของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตั้งข้อสังเกต (ใน The Age of Revolution, 1789-1848) ว่า ชะตากรรมของขบวนการปฏิวัติของกระฎุมพีเสรีนิยม เช่น ในการปฏิวัติฝรั่งเศส มีพัฒนาการไปในทางเดียวกันหมด

นั่นคือเริ่มจากร่วมกันปลุกระดมมวลชน และเพราะมีมวลชนเป็นฐานกำลัง ผู้นำบางส่วนจึงสนับสนุนความเปลี่ยนแปลงไปทางซ้าย (คือปฏิวัติสังคม) ทำให้พวกกลางๆ รับไม่ได้และเกิดแตกแยกกัน พวกกลางๆ ซึ่งเคยสนับสนุนการปฏิรูปกลับหันไปทางขวา (คือจำกัดให้เหลือเพียงปฏิวัติการเมือง) มากขึ้น พยายามรักษาผลประโยชน์ของกระฎุมพีไว้ในระบบใหม่ และในที่สุดก็กลับไปสังกัดกลุ่มจารีตนิยมหรือกลุ่มอำนาจเดิม หรือหากทางมวลชนฝ่ายซ้ายกำไพ่ได้เหนือกว่า ก็จะถูกการปฏิวัติสังคมทำลายล้างไปพร้อมกับกลุ่มจารีตนิยม

ผมอ่านแล้วออกจะอึ้ง เพราะดูเหมือนมันอธิบายบุคคลที่ผมรู้จักได้หลายคน เช่น ทำไมนักปฏิรูปดังๆ เมื่อกว่าทศวรรษมาแล้ว จึงกลายเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้แก่กลุ่มอำนาจจารีตนิยมในตอนนี้ ทั้งปัญญาชน, นักวิชาการ และไม่เว้นแม้แต่กวีและศิลปิน
ข้อสังเกตของ Hobsbawm ยังดูเหมือนจะอธิบายเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยตั้งแต่ 2475 มาถึงปัจจุบันได้พอสมควรอีกด้วย

ในที่นี้ ผมขอพูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ ไม่เกี่ยวกับตัวบุคคล



อันที่จริง การ "ปฏิวัติ" ในประเทศไทย (ถ้าจะเรียกความเปลี่ยนแปลงครั้งใดอย่างนั้นได้) มีลีลาที่คล้ายการปฏิวัติฝรั่งเศสมาก ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการปฏิวัติในรัสเซีย, จีน และเวียดนาม นั่นคือไม่มีกลุ่มการเมืองใด (เช่น พรรค) เป็นแกนนำความเปลี่ยนแปลงชัดแจ้งนัก การปฏิวัติเกิดขึ้นจากการสร้างอารมณ์ร่วมของสังคม โดยมีปัญญาชน, นักวิชาการ, นักกิจกรรม, นักเคลื่อนไหวระดับล่าง, หรือแม้แต่นักการเมืองใน "ระบอบเก่า" บางคน ฯลฯ ก่อให้เกิดขึ้น โดยแทบจะไม่มีการประสานร่วมมือกันเองเลย

และแทบจะไม่มีโครงการที่แน่ชัดว่า จะนำความเปลี่ยนแปลงอะไรมาสู่สังคม อย่างเก่งก็มีเพียงอุดมคติหลวมๆ และเบลอๆ เช่น ประชาธิปไตย หรือปฏิรูปการเมือง หรือความเสมอภาค เป็นเป้าหมายร่วมกัน

แม้คณะราษฎรเป็นแกนนำในการปฏิวัติสยาม 2475 ก็จริง แต่ในขั้นเตรียมการ (หรือแม้แต่เมื่อยึดอำนาจได้แล้ว) สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้คณะราษฎรเผยแพร่แนวคิดของตนได้มากไปกว่ากลุ่มคนเล็กๆ ที่ไว้วางใจกัน หากผู้นำคณะราษฎรบางคนอาจมี "โครงการ" เปลี่ยนประเทศ ก็ไม่มีโอกาส "พัฒนา" โครงการนั้น โดยอาศัยความร่วมมือจากมวลชนระดับล่าง แม้แต่ในกลุ่มผู้ก่อการด้วยกันก็เข้าใจว่า ให้ความสนใจแต่ปัญหาในทางปฏิบัติคือจะยึดอำนาจและรักษาอำนาจได้สำเร็จอย่างไรมากกว่าว่าจะเปลี่ยนประเทศอย่างไร

14 ตุลา เป็นการเคลื่อนไหวที่ขาดแกนนำเป็นกลุ่มก้อนชัดเจนยิ่งไปกว่านั้นเสียอีก จริงอยู่ก่อนเหตุการณ์ มีการเผยแพร่ความคิดเห็นที่เป็นปฏิปักษ์กับระบอบเผด็จการทหารมานาน รวมทั้งความยากลำบากของ "ฝูงชน" ไทยภายใต้ระบอบนั้น ซึ่งมีประสิทธิภาพน้อยลงตลอดมา ก็อาจมีส่วนหนุนช่วยหรืออย่างน้อยก็ไม่ขัดขวางการล้มล้างระบอบเผด็จการทหาร แต่ 14 ตุลา ไม่มีโครงการเปลี่ยนประเทศที่ชัดเจนแน่นอนอะไร (จึงเป็นโอกาสให้ฝ่ายจารีตนิยม และ พคท. สามารถเข้ามาแทรกได้ง่าย)

ก่อนการปฏิวัติในประเทศไทยทุกครั้ง ฝ่าย "ระบอบเก่า" กุมอำนาจได้ค่อนข้างเด็ดขาดเสียจนฝ่ายปฏิวัติไม่เคยมีโอกาสปลุกระดมมวลชนเลย (นอกจาก พคท. ซึ่งปฏิวัติไม่สำเร็จ) อย่างมากที่ทำได้ก็แค่สร้างอารมณ์ร่วมในสังคม ให้ผู้คนโดยเฉพาะที่เข้าถึงสื่อ รู้สึกไม่พอใจหรือเบื่อหน่าย "ระบอบเก่า" และดังที่กล่าวแล้วว่าฝ่ายต่อต้านไม่สามารถจัดองค์กรให้เกิดความร่วมมือกันในการต่อต้าน หรือประสานการต่อต้านไปในทิศทางเดียวกัน

เหตุการณ์ที่ปะทุขึ้นมาเป็นการปฏิวัติ จึงไม่ได้เกิดขึ้นจากฝ่ายต่อต้านล้วนๆ หากไม่นับ 2475 แล้ว ล้วนมีกโลบายทางการเมืองของผู้มีอำนาจ (ทั้งในระบบและนอกระบบ) แทรกอยู่ในการปะทุทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาคม หรือพฤษภามหาโหด 2535 แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การปฏิวัติ



ผมคิดว่า ถ้าเปรียบเทียบกับการปฏิวัติฝรั่งเศส จะเห็นตรงนี้ได้ชัด กล่าวคือการปลุกระดมมวลชนทำได้กว้างและลึก จนกระทั่ง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่กล้าสั่งกองทัพหลวงของพระองค์เคลื่อนกำลังเข้าปราบนักการเมืองและประชาชนที่ลุกฮือขึ้น เพราะไม่ทรงไว้วางพระทัยว่า กองทัพหลวงของพระองค์มีใจเอนเอียงไปกับนักปฏิวัติหรือไม่
ในทางตรงกันข้าม กองทัพไทยเป็นป้อมปราการอันแข็งแกร่งของ "ระบอบเก่า" เสมอ

ปราศจากฐานมวลชนเช่นนี้ เมื่อนักปฏิวัติยึดอำนาจได้ จะนำการปฏิวัติไปสู่การปฏิวัติสังคมจึงเป็นเรื่องยากมาก ความพยายามของนักปฏิวัติบางคนที่จะทำเช่นนั้น มักประสบความล้มเหลว และนำภัยมาสู่ตนเอง เพราะไม่มีมวลชนเป็นฐานสำหรับการต่อรองทางการเมืองเอาเลย (ผิดจากพวกจาโกแบงในฝรั่งเศส ซึ่งมีมวลชนหนุนหลังอยู่หลายปี และสามารถนำทางการเมืองได้ระยะหนึ่ง)

ปราศจากการจัดองค์กรที่ชัดเจน จนทำให้ไม่มีหน่วยที่อำนวยการนำของการปฏิวัติ ในที่สุดนักปฏิวัติก็แตกแยกกันเอง ความแตกแยกนี้มักถูกมองว่าเป็นเพียงการ "แย่งอำนาจ" ซึ่งก็อาจจะจริงในส่วนหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าไม่มีด้านอุดมการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเลย ผู้ที่ต่อต้าน "สมุดปกเหลือง" ของท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ส่วนหนึ่งอาจต้องการชิงการนำจากท่าน แต่อีกส่วนหนึ่งก็รับไม่ได้กับการปฏิวัติสังคมกว้างขวางอย่างนั้น

เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาอาชีวะหลัง 14 ตุลา ด้านหนึ่งอาจเคลื่อนไหวต่อต้าน ศนนท. เพราะได้รับการสนับสนุนจาก กอ.รมน. แต่อีกด้านหนึ่งที่สามารถรวบรวมกำลังได้มากเช่นนั้น ก็เพราะยึดมั่นในอุดมการณ์ของ "ระบอบเก่า" ที่ตนเติบโตมา คือชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ความแตกแยกนำไปสู่การหันกลับไปร่วมหัวจมท้ายกับกลุ่มจารีตนิยม เกิดขึ้นได้ง่ายมากในกรณีปฏิวัติของไทย เพราะไม่เคยมีการปฏิวัติครั้งใดที่ชัยชนะได้มาจากกลุ่มปฏิวัติล้วนๆ กลุ่มอำนาจเดิมหรือ "ระบอบเก่า" เข้ามาร่วมมือในบางขั้นตอนเสมอ เพื่อแย่งอำนาจกันเอง หรือเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ จึงเป็นธรรมดาที่นักปฏิวัติกลุ่มที่แตกแยก จะหันไปร่วมหัวจมท้ายกับกลุ่มจารีตนิยม อย่างน้อยก็เพราะเขายังมีอำนาจอยู่

ในที่สุดก็กลายเป็นขวาสุดโต่ง เป็นราชานิยมเสียยิ่งกว่าพระราชา และกลายเป็นพรรคประชาธิปัตย์ในที่สุด


การปฏิวัติครั้งเดียวที่สามารถสร้างฐานมวลชนได้กว้างขวางคือ ศนนท. หลัง 14 ตุลา จนสามารถผลักดันนโยบายปฏิรูปสังคมได้หลายเรื่อง เช่น กฎหมายเช่าที่ดินเป็นต้น แต่เพราะมีฐานมวลชนกว้างขวางนี้เอง เมื่อ "ระบอบเก่า" ตัดสินใจปิดฉากขบวนการนิสิตนักศึกษา จึงต้องใช้วิธีโหดร้ายป่าเถื่อนอย่างรุนแรงที่สุด และที่ทำได้สำเร็จ ก็เพราะเมื่อวิเคราะห์ดูฐานมวลชนของ ศนนท. ก็จะพบว่าแม้ว่ามีฐานมวลชนก็จริง แต่ไม่สู้จะแข็งแกร่งเท่าไรนัก (เช่น สหพันธ์แรงงานซึ่งประกาศจะปิดน้ำปิดไฟทันทีที่เกิดการรัฐประหาร กลับหันไปร่วมมือกับคณะปฏิรูปฯ ของกองทัพทันที)

การต่อต้าน รสช. ในเหตุการณ์พฤษภามหาโหด 2535 ก็เช่นเดียวกัน อาศัยอารมณ์ร่วมของสังคมมากกว่าการปลุกระดมมวลชน มีพันธมิตรจากหลากหลายกลุ่มเข้ามาร่วมกัน แต่ไม่มีโครงการที่แน่นอนว่า หลังจากขับไล่ รสช. ออกจากอำนาจได้แล้ว จะนำไปสู่อะไร

น่าสนใจที่กลุ่มซึ่งอาจถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ต่อต้าน รสช. ไม่ใช่พรรคการเมือง แต่เป็นเครือข่ายของนักปฏิรูปสังคม อันประกอบด้วยนักวิชาการ, นักเคลื่อนไหว, เอนจีโอ และผู้นำมวลชนในท้องถิ่น กลุ่มนี้มีข้อเสนอที่ชัดเจนที่สุดคือปฏิรูปการเมือง เพื่อนำไปสู่ระบอบรัฐธรรมนูญนิยม (และดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า รัฐธรรมนูญนิยมไม่จำเป็นต้องหมายถึงประชาธิปไตย)

โดยอาศัยการนำของคนกลุ่มนี้ ในที่สุดก็ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 แต่รัฐธรรมนูญ 2540 ทำให้เกิดการเมืองมวลชนขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย การเมืองมวลชนทำให้อิทธิพลและการนำของเครือข่ายนักปฏิรูปสังคมอ่อนกำลังลง เท่าๆ กับทำให้การนำของกลุ่มจารีตนิยมอ่อนกำลังลงเช่นกัน

ผลที่ตามมาคือการผนึกกำลังกันระหว่างเครือข่ายปฏิรูปสังคมกับอำนาจนำตามประเพณี เพื่อโค่นล้มการเมืองมวลชนลงโดยผ่านการรัฐประหาร 2549

แต่การเมืองมวลชนที่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ-สังคมในประเทศ และด้วยรัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ยอมกลับไปสยบยอมอย่างเคย หันมาผลักดันการเมืองมวลชนให้ออกมาโลดแล่น ทั้งผ่านหีบบัตรเลือกตั้ง และในท้องถนน

และกลายเป็นสงครามเสื้อสีสืบมาจนถึงทุกวันนี้



แม้ว่าการเมืองไทยในทุกวันนี้ มีฐานมวลชนเป็นเงื่อนไขสำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้ และส่วนใหญ่ของผู้นำมวลชนในทุกสี ล้วนเป็นกระฎุมพีเสรีนิยม ความแตกแยกที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นเรื่องของการแก่งแย่งอำนาจกันเอง ไม่ใช่ความขัดแย้งกันด้วยเรื่องการปฏิรูปสังคม ฉะนั้น จึงเป็นธรรมดาที่ทุกฝ่ายหันไปแสวงหาความร่วมมือกับกลุ่มอำนาจเดิม-กองทัพ, นักธุรกิจระดับเจ้าสัว, นักธุรกิจเจ้าพ่อในท้องถิ่น, พระราชาคณะ, ราชสำนัก, ฯลฯ
มวลชนที่ร่วมเคลื่อนไหวเองก็แตกแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆ จนการแบ่งด้วยเสื้อสีเริ่มจะไร้ความหมายลง บางกลุ่มหันไปผลักดันประเด็น เช่น เรื่องพลังงาน, ปราสาทพระวิหาร, สื่อ, สถาบันพระมหากษัตริย์, สาธารณสุข, รัฐธรรมนูญ ฯลฯ
ถ้ามองจากชะตากรรมของขบวนการของการปฏิวัติของกระฎุมพีเสรีนิยมตามที่ Hobsbawm กล่าวไว้ ประเด็นการปฏิวัติสังคมอันตรธานไปจนสิ้นเชิงแล้วในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทยเวลานี้
......................................................................................................

มหัศจรรย์ "ไปรษณีย์ไทย" เปลี่ยนขาดทุนเป็นกำไร




ด้วยความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนยุคปัจจุบัน ทั้งในเรื่องการติดต่อสื่อสาร การแบ่งปันข้อมูลย่อโลกที่เคยกว้างใหญ่ให้เล็กลง ทั้งหลายทั้งมวลล้วนส่งผลกระทบต่อการสื่อสารในรูปแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง จนบางบริการในอดีตต้องปิดฉากลง เช่น โทรเลข

แม้การส่งจดหมาย ธนาณัติ และพัสดุไปรษณีย์จะยังไม่สูญหายไปไหนในเวลานี้ แต่อนาคตข้างหน้าที่มีแต่ความไม่แน่นอนกดดันให้กิจการ "ไปรษณีย์ไทย" ต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง

แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย

กิจการซึ่งมีอายุยาวนานกว่า 125 ปี และประสบปัญหา "ขาดทุน" มาโดยตลอด ไม่มีใครคาดคิดว่าภายหลังการแปรสภาพและแยกตนเองออกจาก "การสื่อสารแห่งประเทศไทย" มาเป็น "บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด" เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2546 แล้ว องค์กรแห่งนี้จะอยู่รอดได้อย่างไร หากไม่มีรายได้จากกิจการโทรคมนาคมมาอุดหนุนเหมือนในอดีต

แม้เมื่อครั้งที่รัฐบาลมีมติให้แปรรูปเป็นบริษัทจะตั้งงบประมาณหลายร้อยล้านบาทเผื่อไว้สำหรับอุดหนุนอุ้มชูกิจการในกรณีฉุกเฉิน

แต่ใครจะเชื่อว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาหลังแปรสภาพแยกตัวออกมาเลี้ยงตัวเอง "บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด" ไม่เพียงไม่เคยต้องเบิกงบประมาณก้อนดังกล่าวมาใช้เลยแม้แต่บาทเดียว ยังสามารถทำกำไรได้ตั้งแต่ปีแรกด้วยซ้ำไป โดยในปี 2547 มีกำไรถึง 229 ล้านบาท หรือกับปีล่าสุด 2552 ก็มีกำไรสุทธิมากถึง 900 ล้านบาท และเคยมีกำไรสูงที่สุดถึง 1,250 ล้านบาท ในปี 2550 อีกด้วย

ที่สำคัญยิ่งกว่า รายได้รวมกว่า 15,000 ล้านบาท ล้วนทำมาหาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ไม่ได้พึ่งพิงสัมปทานใด ๆ อีกต่างหาก

ถือเป็นความมหัศจรรย์ที่เหนือความคาดหมายเป็นอย่างยิ่ง

โฉมหน้า "ไปรษณีย์ไทย" ในปัจจุบันยังสดใส ทันสมัยมากกว่าเดิมหลายเท่า

"ออมสิน ชีวะพฤกษ์" กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ยอมรับว่า การมองเห็นแนวโน้มการลดลงของปริมาณการส่งจดหมายในแต่ละปีเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้บริษัทต้องปรับบริการให้สอดรับกับยุคสมัย แม้รายได้จากธุรกิจส่งจดหมายและไปรษณียบัตรในปัจจุบันจะยังคงมีสัดส่วนมากถึง 75% แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ลูกค้าเริ่มนำอิเล็กทรอนิกส์เมล์และอิเล็กทรอนิกส์บิลมาใช้ทดแทนการส่งจดหมายบ้างแล้ว อีกทั้งทราฟฟิกการใช้บริการไปรษณีย์ยังขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจทำให้จำเป็นต้องเตรียมองค์กรไว้ล่วงหน้า

"เครือข่ายการให้บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ" คือจุดแข็งของไปรษณีย์ไทย และเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาบริการ ใหม่ ๆ กลายมาเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ ด้านการขนส่งและการเงิน

"ไปรษณีย์ไทย" จึงไม่ใช่มีภารกิจแค่ส่งจดหมายหรือพัสดุขนาดเล็กเท่านั้น แต่รับส่งกระทั่งรถมอเตอร์ไซค์ ตู้เย็น เครื่อง ซักผ้า ทีวี ฯลฯ ที่มีน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 200 กิโลกรัม ผ่านบริการที่เรียกว่า "โลจิสโพสต์" ที่ส่งตรงถึงหน้าบ้านลูกค้าเลย

"หรือถ้าอยากเสียค่าบริการถูกหน่อย จะมารับที่ไปรษณีย์เองก็เลือกใช้บริการ โลจิสโพสต์พลัสได้ บริการนี้ได้รับความนิยมมาก เปิดมาไม่กี่ปีมีสัดส่วนรายได้ธุรกิจขนส่งทะลุ 10.5% ไปแล้ว และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

จากแนวโน้มดังกล่าว "ไปรษณีย์ไทย" จึงมีการเปิดบริการใหม่อย่าง "เมสเซนเจอร์ โพสต์" ขึ้นมา ซึ่งไม่ได้แค่รับส่งเอกสารธุรกิจ แต่ยังให้บริการสั่งซื้อกระเช้าของขวัญ ช่อดอกไม้ และพวงหรีดพร้อม จัดส่งได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

อีกบริการที่โด่งดังมากคือ "อร่อยทั่วไทย สั่งได้ที่ไปรษณีย์ (YummyPost)" ที่ให้หนุ่มไปรษณีย์ส่งอาหารจากร้านดังทั่วไทยเกือบ 50 ร้าน ไม่ว่าจะเป็นแหนมเนืองร้านดังจากจังหวัดหนองคาย ลูกชิ้นปลาร้านดังจากภูเก็ต เป็นต้น รับประกันความอร่อย ส่งตรงถึงบ้านลูกค้า

อร่อยทั่วไทยสั่งได้ที่ไปรษณีย์อาจไม่ใช่บริการที่ทำเงินมากมายนัก แต่ช่วยได้มากเรื่องการสร้างแบรนด์ เพราะตั้งแต่เปิดบริการทำให้ชื่อไปรษณีย์ไทยถูกพูดถึงบ่อยครั้งด้วยความเชื่อมั่นในบริการ แม้แต่ของสดยังกล้าส่ง

บริการดังกล่าวยังคว้ารางวัลสุดยอดแคมเปญการตลาดแห่งปี 2009 จากสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

โดยถือเป็นความพยายามฉีกกรอบข้อจำกัดในการขนส่ง ทั้งประเภท รูปแบบ และน้ำหนักของสิ่งของที่นำส่ง เพื่อสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า

แม่ทัพแห่งไปรษณีย์เชื่อว่า แม้การเปิดเสรีจะผลักดันให้ไปรษณีย์ไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าสนามแข่งขันกับบริษัทขนส่งระดับชาติ แต่เชื่อว่าไม่มีใครเข้าใจและรู้จักพื้นที่ในประเทศไทยได้ดีกว่า (บุรุษ)ไปรษณีย์ไทยอย่างแน่นอน

สุดท้ายแล้วแม้แต่ "คู่แข่ง" ก็ยังต้องเลือกใช้บริการของไปรษณีย์ไทยในการขนส่งพัสดุไปต่างจังหวัดอยู่ดี

"แต่จะให้เราไปเทียบชั้นยักษ์ใหญ่ขนาดนั้นคงลำบาก เขามีเครื่องบินเป็นของตัวเอง เราเป็นแค่บริษัทเล็ก ๆ ก็ต้องลงทุนแบบเล็ก ๆ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป แต่ไม่เสี่ยง ไม่ขาดทุน" ออมสินย้ำ

สำหรับบริการด้านการเงินในปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 6.4% ก็พัฒนาจากธนาณัติแบบเดิม เป็น "ธนาณัติออนไลน์" ที่ส่งเงินข้ามจังหวัดทั่วประเทศถึงมือผู้รับด้วยเวลาเพียง 15 นาที ทั้งต่อยอดพัฒนาระบบการให้บริการหน้าเคาน์เตอร์ในที่ทำการไปรษณีย์ให้มีขีดความสามารถด้านการชำระค่าบริการต่าง ๆ ด้วย ไม่ว่าการชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบัตรเครดิต เป็นต้น ด้วยบริการ "pay@post"

ล่าสุดต่อยอดไปถึงการจับมือกับพันธมิตรหลายบริษัท ทั้งยักษ์มือถือเอไอเอส และบริษัท เบญจจินดา เป็นต้น โดยอยู่ระหว่างเจรจากับคู่ค้าอีกหลายรายเพื่อให้บริการเติมเงินบริการโทรศัพท์มือถือ และชำระค่าโทรศัพท์มือถือแบบเรียลไทม์

และไม่ใช่เฉพาะให้บริการหน้าเคาน์เตอร์ไปรษณีย์เท่านั้น ก่อนหน้านี้ไปรษณีย์ไทยก็เคยร่วมมือกับ "ทรูมูฟ" ให้ "บุรุษไปรษณีย์" ที่ไปส่งจดหมายตามบ้านให้บริการเติมเงินมือถือของทรูมูฟได้แล้ว เรียกว่าเป็นบริการเติมเงินถึงบ้านลูกค้ากันเลยทีเดียว

ในเร็ว ๆ นี้ "บุรุษไปรษณีย์" ยังจะเป็นอะไรได้อีกหลากหลาย ทั้งตัวแทนขายประกันภัย ประกันอุบัติเหตุในราคาย่อมเยากับประชาชนโดยตรงอีกด้วย หลังจากได้รับใบอนุญาตจากกรมการประกันภัยแล้ว

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงข่ายไอทีทั่วประเทศ หากเสร็จสมบูรณ์แล้ว เคาน์เตอร์บริการไปรษณีย์อัตโนมัติ (New CA POS) จะพร้อม เชื่อมโยงข้อมูลออนไลน์แบบเรียลไทม์ระหว่างที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งรวมถึงแฟรนไชส์ "ร้านไปรษณีย์ไทย" ที่มีกว่า 30 แห่ง ซึ่งจะทำให้การต่อยอดบริการทางการเงินร่วมกับพันธมิตรได้หลากหลายรูปแบบยิ่งขึ้น อาทิ โครงการ "เคาน์เตอร์แสนสะดวก" ที่จับมือกับธนาคารกรุงไทยทดลองให้บริการ รับฝาก-ถอนเงิน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ บางสาขา เพื่อเตรียมขยายสายธุรกิจใหม่ Agency Banking

"แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม จีดีพีของประเทศติดลบ 3-4% กิจการไปรษณีย์ ชั้นนำของโลกหลายแห่งประสบภาวะขาดทุน ไปรษณีย์ไทยยังนับว่ามีสถานะทางการเงินที่ดีกว่ามาก สามารถฝ่าวิกฤตไปได้ โดยอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของพนักงานทั้งองค์กรเพื่อช่วยกันสร้างแบรนด์ไปรษณีย์ไทย โดยเรามีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะสร้างพลังแห่งบริการคุณภาพให้มีความเที่ยงตรงและมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าและสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน"

ในปี 2553 ไปรษณีย์ไทยจะมุ่งขยายฐานรายได้ในธุรกิจขนส่ง โดยจะร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงพาณิชย์ในการเป็นจุดกระจายผลไม้จากเกษตรกรไปถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศ โดยอาศัยศูนย์ไปรษณีย์ 14 แห่ง ที่กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ร่วมถึงเข้าไปเป็นเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs ช่วยในการกระจายสินค้า

ทั้งหมดถือเป็นการต่อยอดธุรกิจจากแก่นความสามารถดั้งเดิมที่มีอยู่ นั่นคือบุคลากรที่มีใจรักองค์กร มีประสบการณ์ด้านการขนส่ง และมีเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศมากที่สุด

วันนี้ "ไปรษณีย์ไทย" จึงมาไกลกว่าจุดเริ่มต้นเดิมของตนเองมากนัก (หน้าพิเศษ องค์กรสร้างใหม่ Trasformation)

...............................................................................................................




ฝ่ายต่อต้านทักษิณยกย่องรัฐประหารจริงๆ?
หรือว่าโต้ตอบกันก็จะต้องประชดกลับไปให้สุดขั้ว


ใบตองแห้ง – “ประเทศนี้มีแต่คนเสียสติ อาการหนักนะครับ แค่นายกฯ ประณามรัฐประหาร ก็พากันดิ้นพล่านถูกขี้เถ้า หาว่าขายชาติ เนรคุณประเทศ แปลว่ารักชาติต้องยกย่องสดุดีัรัฐประหาร”
— http://www.kaohoon.com/daily/337257/ประเทศที่มีแต่คนเสียสติ-.htm

....................................................................................................................


................................................................................................................



"มีนักการเมืองถูกลงโทษในคดีคอร์รัปชันภายใต้ระบอบประชาธิปไตยมากกว่าภายใต้ระบอบเผด็จการ" หมายความว่าในระบอบประชาธิปไตย เราสามารถตรวจสอบอำนาจรัฐ จับคนกระทำผิดได้ดีกว่าในระบอบเผด็จการ ซึ่งเราไม่สามารถตรวจสอบและจับผู้กระทำผิดได้

ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวในงานสัมมนาเนื่องในโอกาสรำลึก 21 ปีการสูญหายของทนง โพธิ์อ่าน ซึ่งได้มีการกล่าวถึงความขัดแย้งและระบอบประชาธิปไตยไทยในปัจจุบัน โดยมีเนื้หาส่วนหนึ่งระบุว่า:

“ประชาธิปไตยอาจจะไม่ใช่ระบอบการปกครองในอุดมคติ แต่ขณะนี้ประเทศสำคัญในโลกส่วนใหญ่ ที่มีเสถียรภาพทางการเมือง ล้วนแล้วแต่มีระบอบประชาธิปไตย และพบว่าเป็นระบอบที่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้งได้ดีที่สุด อีกทั้งป้องกันไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาได้ดีที่สุด ดังนั้นขณะที่เรายังไม่มีทางเลือกซึ่งดีกว่านี้และเป็นที่ยอมรับกันในสากลโลก เราจึงต้องจรรโลงระบอบประชาธิปไตยให้ดีที่สุด

เราอาจไม่ชอบนักการเมืองเพราะส่วนมากพวกเขาคอร์รัปชั่น แต่เมื่อเปรียบเทียบระบบเลือกตั้งกับระบบแต่งตั้ง ระบบเลือกตั้งเปิดโอกาสให้เราจำกัดคอร์รัปชันได้ดีกว่าแน่นอน และไม่ใช่ว่ารัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร หรือการแต่งตั้งจะไม่คอร์รัปชัน ข้อนี้ไม่จริงแน่นอน จากการศึกษา และประวัติศาสตร์การเมืองไทยชี้ชัดว่า มีนักการเมืองถูกลงโทษในคดีคอร์รัปชันภายใต้ระบอบประชาธิปไตยมากกว่าภายใต้ระบอบเผด็จการ"

ซึ่งนั่นหมายความว่าในระบอบประชาธิปไตย เราตรวจสอบอำนาจรัฐได้ดีกว่าในระบอบเผด็จการ นอกจากนั้น ผาสุก ยังกล่าวต่อไปว่า:

"ในเมืองไทยนั้นระบอบรัฐสภาประชาธิปไตย ไม่มีโอกาสได้พัฒนาไปตามธรรมชาติ เพราะว่ามักถูกรัฐประหารเสมอๆ จึงเกิดอาการสะดุดหยุดชะงัก รัฐประหารทีไรก็ถอยหลังเข้าคลอง ต้องเริ่มใหม่เสียหายทุกทีและที่สำคัญได้ทำให้ฝ่ายกองทัพที่กุมอำนาจความรุนแรงแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับฝ่ายพลเรือน นับว่าไม่เป็นผลดีกับการลดความรุนแรงในสังคม และเป็นปรปักษ์กับประชาธิปไตยอย่างยิ่ง

อย่าลืมว่าปัญหาการเมืองไทย เหมือนแผลที่ต้องใช้เวลาในการเยียวยา ระหว่างนั้นเราต้องยึดโยงกับหลักการให้มั่นคง ต้องต่อต้านรัฐประหารที่ล้มรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย อย่างสุดขีด

แม้ว่าประชาธิปไตยจะมีจุดอ่อน แต่ก็ยังดีกว่ายอมให้ระบอบที่ส่งเสริมความรุนแรงภายใต้การรัฐประหาร หรือรัฐบาลที่ฝ่ายรัฐประหารสนับสนุน เข้าบริหารประเทศโดยไม่มีใครกำกับควบคุมได้"

ผาสุก พงษ์ไพจิตร, “การเมืองไทยหลังรัฐประหาร 2549 และบทบาทที่ควรจะเป็นของขบวนการภาคประชาชน”
17 มิถุนายน 2555, ณ ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา
ที่มา: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1339922467&grpid=00&catid&subcatid
ที่มาของภาพ: http://graces.cpportal.net/บคลากร/tabid/60/Default.aspx

- Admin AC

............................................................................................................

เท่ดี ^_^
http://www.facebook.com/photo.php?v=119461488255572



ขณะที่ " เทพ " เบสบอลให้ " สัมภาษณ์ " นักข่าวสาวอยู่นั้น.....!!!
___________________________________
ติดตามชมคลิปอื่นๆต่อที่ ไอไลค์คลิป ได้เลยครับ :)

...........................................................................................................





























































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น