วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

15/05/2556


"เศรษฐกิจ" ต้องไม่มีสี

ความขัดแย้งแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งสีเสื้อ ไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะการเมืองอีกต่อไป แต่ได้ขยายวงมาเรื่องเศรษฐกิจอย่างมิอาจปฏิเสธได้ เริ่มตั้งแต่เรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟู ระบบบริหารจัดการน้ำ 3.01 แสนล้านบาท พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ความเห็นขัดแย้งแบ่งฝ่ายกันตลอด โดยกลุ่มเดิมๆ คนเดิมๆ

คนชอบรัฐบาลก็จะเชียร์สุดลิ่มทิ่มประตู คนที่ค้านก็ค้านหัวชนฝาชนิดไม่กลัวเจ็บ ทั้งๆ ที่ทุกเรื่องมันมีดีมีเสีย มีรายละเอียด มีข้อมูล มีข้อเท็จจริง

สะท้อนถึงสังคมไทยเป็นสังคมพวกพ้อง ไม่ใช่สังคมมีเหตุมีผล ไม่ใช่สังคมเรียนรู้ ศึกษาหาข้อเท็จจริง พอคนหนึ่งคนใดจุดประเด็นขึ้นมา ถ้ารักศรัทธาอยู่ก่อนแล้วก็จะเชื่อแบบฝังจิตฝังใจ ยิ่งถ้าเข้าทางพวกเดียวกันยิ่งไปกันใหญ่

เห็นเด่นชัดที่สุด เรื่องค่าเงินบาท กองเชียร์ไม่ว่าจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจ นักการเมือง ออกมาให้ความเห็นแบ่งเป็นกลุ่มเป็นพวก ที่ชอบรัฐบาลก็จะเชียร์ให้ "ลดดอกเบี้ย" แต่ที่เกลียดก็จะเชียร์แบงก์ชาติแบบสุดขั้วเหมือนกัน

ทั้งที่เรื่องดอกเบี้ยเป็นเรื่องของข้อมูล ไม่ใช่เรื่องความรู้สึก ชอบหรือเกลียด แต่ควรจะเปิดใจรับฟังเหตุผลจากทุกฝ่าย

อย่างรัฐมนตรีบางคน ปูมหลังก็ไม่เคยมีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ ออกมากดดันให้ลดดอกเบี้ย หรืออย่างทีมงานโฆษกรัฐบาลคนหนึ่งออกมาแถลงเรื่องค่าเงินบาท อ้างดอกเบี้ยไทยสูงกว่าเพื่อนบ้าน ดันไปยกตัวอย่างดอกเบี้ยออสเตรเลียลดจาก 3% เหลือ 2.75% แถมให้ข้อมูลผิดๆ บอกว่า เกาหลีใต้ลดจาก 2.50% เหลือ 2.25% ที่ถูกต้องต้องเป็น 2.75% เหลือ 2.50% จะโชว์กึ๋นทั้งทีน่าจะทำการบ้านหน่อย

ต้องรู้ว่ากรณีเกาหลีใต้มีความจำเป็น นอกจากความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีแล้ว เกาหลีใต้พึ่งพาการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เป็นคู่แข่งโดยตรงกับญี่ปุ่น เมื่อญี่ปุ่นใช้นโยบายค่าเงินเยนอ่อน เกาหลีก็เลยต้องลดดอกเบี้ยสู้

ขณะเดียวกันโฆษกท่านนั้นกลับไม่ยกตัวอย่างค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยประเทศในกลุ่มอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ที่ดอกเบี้ยสูงกว่าเรา ค่าเงินก็แข็งกว่า มีเพียงอินโดนีเซียถือเป็นกรณีพิเศษ อาจมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวที่ค่าเงินอ่อนทั้งที่ดอกเบี้ยสูงกว่าเพื่อน

เรื่องเศรษฐกิจมันมีผลทั้งบวกและลบ มีคนได้มีคนเสีย คิดจะวิพากษ์วิจารณ์ต้องหาข้อมูลและข้อเท็จจริง อย่าใช้อารมณ์ความรู้สึก

เรื่องเศรษฐกิจเห็นต่างได้ แต่อย่าแบ่งสี ตีกันทุกเรื่อง มันจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อม

คอลัมน์ เมืองไทย25น.
ทวี มีเงิน/ข่าวสดออนไลน์

..........................................................................................................................

.........................................................................................................................




"ผู้นำทางการเมืองของเรา อย่างน้อยที่สุด
จำต้องมีระดับความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างพอเพียง
ซึ่งปัจจุบันยังขาดอยู่อย่างมากที่สุด"

- อี โอ วิลสัน

ชาตินี้เราจะต้องได้เห็นนักการเมืองทะเลาะกันด้วยค่าสัมประสิทธิ์ความแปรผัน กล่าวในที่ประชุม "ท่านประธานที่เคารพครับ ตัวแปรนั้น มัธยฐานนี้..." เห็นคนออกมาประท้วงเรียกร้องเผยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ถามด้วยคำถามแบบโสกราตีส ฟันแทงกันด้วยใบมีดโกนของ occam!

ชมวีดีโอพร้อมซับไตเติลภาษาไทยได้ที่:
http://www.ted.com/talks/lang/th/e_o_wilson_advice_to_young_scientists.html

แปลโดย Unnawut Leepaisalsuwanna
ทบทวนโดย Kelwalin Dhanasarnsombut



Kraren Current มีแต่ความรู้ทางไสยศาสน์อ่าพอไหมม่ะครับ 55555+


........................................................................................................................


เราไม่ควรด่ากันและทะเลาะกันสูญเสียมิตรภาพเพราะความเชื่อเรื่องการเมืองนะครับ ผมขอแชร์สิ่งที่ผมอยากนำเสนอ ผมไม่อยากให้เรามานั่งด่า นั่งทะเลาะกันครับ ไม่มีใครได้ประโยชน์ในฐานะประชาชนเพราะมีคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ ขอเสนอวิธีที่ทำให้เราด่ากันน้อยลง ทะเลาะกันน้อยลงดังต่อไปนี้
1 โปรดทำใจว่าความเชื่อทางการเมืองของคนไทยมันแตกแล้วยากที่จะประสานคืน
2 ไม่ต้องพยายามชวนคนที่มีความเชื่อแตกต่างให้มาเชื่อตามตนเอง เขาไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ สุดท้ายต้องมานั่งด่ากัน
3 ข้ามข้อความที่อ่านแล้วคันมือ อยากด่า หงุดหงิดว่าทำไมมึงคิดแบบนี้ไปครับ การเขียนด่าไม่ช่วยอะไรนอกจากให้แตกแยกมากยิ่งขึ้น
4 สนับสนุนให้ประเทศไทยเหลือมันสองพรรคพอชัด ๆ ถ้ายังไม่มีใครดีกว่า
5 คนที่เชื่อแนวการเมืองตรงข้ามกับคุณ เขาไม่ได้โง่ เขาเพียงไม่เชื่อเหมือนคุณและเห็นว่าคุณโง่ที่คิดไม่ตรงกับเขา
6 ไม่มีรัฐบาลไหนเลว 100 % มันต้องมีดีบ้าง เพื่อให้มีความสุขพยายามมองข้อดีของรัฐบาลบ้างไม่ว่ามาจากพรรคไหน ไม่งั้นทำอะไรก็เลวหมด
7 โปรดเคารพความอิสระทางความคิดของแต่ละคน ถ้าคุณคิดไม่ตรงกับเขาเขาก็มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะคิดไม่ตรงกับคุ
8 ยิ้มรับความแตกแยกทางความคิดครั้งนี้ครับ มันไม่ใช่ตราบาป ทั้งหมดคือเราพยายามทะเลาะกันเอง อย่าเลยครับ เชื่อเรื่องการเมืองของคุณต่อไปอย่างเข้มข้น แต่อย่าบังคับคนอื่นให้เชื่อ
9 ขอให้พวกเราตั้งหน้าตั้งตาถามนักการเมืองฝ่ายที่คุณชอบแล้วผลักดันให้เขาทะเลาะกันแทนเรา เพื่อให้สิทธิที่ไร้ค่าของเราทำงาน
10 โปรดอย่าด่าผมครับ
พวกเราช่วยกันตั้งคำถามกับนักการเมืองที่เราชอบแล้วให้เขาทำหน้าที่นะครับโดยพวกเราออกมาจากความขัดแย้งกันครับ มันจะไม่เกิดผลพรุ่งนี้ แต่วันนี้มันเริ่มต้นได้
สวัสดี
สุหฤท

...................................................................................................................




การ์ตูนสร้างชาติ
...
ใครที่ไปเคยญี่ปุ่นคงสังเกตเหมือนที่ผมเห็น ที่นั่นเป็นมหานครแห่งการ์ตูนอย่างแท้จริง เดินเหินไปที่ไหนในประเทศนั้น เราจะเห็นตัวการ์ตูนต่างๆเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกทาง โฆษณาขนม กระดานเมนูร้านกาแฟ ในห้าง ในส้วม สถานีรถไฟ หรือแม้แต่ป้ายเตือนเด็กๆให้ระวังทางรถไฟก็เขียนเป็นการ์ตูน

ญี่ปุ่นใช้การ์ตูนเป็นวรรณกรรมสู่เยาวชนแล้วก็แทรกเรื่องราวดีๆลงไปในความสนุก เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เต็มไปด้วยการบ่มเพาะให้ผู้คนนึกถึงส่วนรวม ให้ผู้คนลุกขึ้นสู้กับอุปสรรคอย่างไม่ท้อแท้ และหลายๆเรื่องมักสอนให้รู้จักรับผิดเมื่อตัวเองผิด ภาพตัวเอกนั่งคุกเข่าขมาเป็นภาพที่เท่มากภาพหนึ่ง
นอกจากสอนใจแล้วการ์ตูนญี่ปุ่นยังวาดฝันวาดอนาคตให้คนญี่ปุ่นมาแล้วหลายครั้ง

ตัวอย่างการ์ตูนเรื่องนี้ครับ กัปตันซึบาสะ Captain Tsubasa การ์ตูนที่เขียนขึ้นเมื่อปี 2524 โดย โยอิจิ ทาคาฮาชิ
ผมยังจำได้ว่าตอนที่อ่านถึงตอนที่ว่า ซึบาสะจะพาทีมญี่ปุ่นไปบอลโลกให้ได้ อ่านตอนนั้นนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าทีมชาติญี่ปุ่นจะไปบอลโลกได้อย่างไร สมัยนั้นนะฝีมือนี่สู้บอลไทยยังไม่ค่อยได้เลย
แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรละครับ ซึบาสะวาดฝันจนเป็นจริง ทุกวันนี้ญี่ปุ่นเข้ารอบบอลโลกแล้ว รวมไปถึงนักบอลระดับซูเปอร์สตาร์ของเขาก็ค้าแข้งอยู่ในลีกระดับโลกหลายคน

ภาพนี้มาจากป้ายโฆษณาอันหนึ่ง กับตันซึบาสะกอดคอกับ มาโคโตะ ฮาเซเบะ กัปตันทีมฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่นตัวจริง ผมเห็นแล้วยิ้มเลยครับ ผมยืนมองอยู่ตั้งนาน มันเป็นภาพง่ายๆก็จริง แต่ดูแล้วอิ่มอกอิ่มใจครับ ถ้าทะลุเวลากลับไปตอนนั้นได้ ตอนที่การ์ตูนเรื่องนี้เพิ่งออกใหม่ๆ ไปบอกใครต่อใครว่า ญี่ปุ่นจะไปบอลโลกจากแรงบันดาลใจเรื่องนี้ จะมีคนหาว่าผมสติไม่สมประกอบหรือเปล่าหนอ
ผลงานบางส่วนในเรื่องซึบาสะนี้ ได้มีการเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาด้วย ตอร์เรส ดาวยิงของสเปนก็ให้สัมภาษณ์ว่าซึบาสะเป็นแรงบันดาลใจในวัยเยาว์ของเขา ซึบาสะทำให้เขาก้าวมาสู่อาชีพนี้

ผู้ใหญ่ไทยทุกวันนี้ ให้ความสำคัญกับการ์ตูนน้อยมาก ทั้งๆที่คนไทยเขียนการ์ตูนมาพร้อมๆกับคนญี่ปุ่น สมัยรัชกาลที่ 5-6 เราก็เขียนการ์ตูนกันแล้ว
แม้แต่ในส่วนของศิลปะในประวัติศาสตร์ ภาพเขียนบนผนังวัด ลองสังเกตภาพชีวิตผู้คนที่ศิลปินวาดเป็นส่วนประกอบในภาพดู นั่นก็ศิลปะในแบบการ์ตูนอย่างแท้จริง

แม้แต่หนังตะลุงของไทยก็คืออนิเมชั่นดีๆนี่เอง

การ์ตูนคือวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เราปฏิเสธไม่ได้ และเราต้องยอมรับว่ามันเป็นวัฒนธรรมที่เข้าถึงเยาวชนได้ง่ายและเร็วที่สุด มันมีเสน่ห์ให้ผู้คนรักในตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ

และวัฒนธรรมก็คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างชาติ

(หมายเหตุู ...IRON MAN ที่กวาดเงินคนทั้งโลกสูงสุดอยู่ทุกวันนี้ก็มาจากวัฒนธรรมการ์ตูนของอเมริกา)

.......................................................
 
............................................................................................................


มีบิดเบือน ใส่ร้ายกันเองด้วยนะครับ เฮ้อ!


"อลงกรณ์" โอดผู้ใหญ่"ปชป."ให้ข่าวบิดเบือน-ดิสเครดิต กล่าวหาข้อเสนอปฎิรูปขัดอุดมการณ์พรรค




วันที่ 15 พฤษภาคม นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ทวิตเตอร์ส่วนตัว (‏@alongkornpb) ถึงพิมพ์เขียวปฏิรูป ใจความว่า  "หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า แหล่งข่าวอาวุโสในพรรคอ้างว่า ท่านชวน หลีกภัย โกรธมากที่ข้อเสนอการปฏิรูปพรรคของผมขัดอุดมการณ์พรรคเน้นประชานิยม แหล่งข่าวอาวุโสในพรรคให้ข่าวหนังสือพิมพ์แบบบิดเบือนหลังจากที่ผมเสนอพิมพ์เขียวปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา การกล่าวหาว่า "ข้อเสนอปฏิรูปพรรค" ขัดอุดมการณ์พรรค-เน้นประชานิยม-เลียนแบบพรรคเพื่อไทย" นั้น นับว่าบิดเบือนและเป็นการดิสเครดิต

"ผมรักษาวินัยโดยไม่ให้สัมภาษณ์สื่อใดๆ หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค แต่กลับมีบางคนให้ข่าวใส่ร้ายบิดเบือนการปฏิรูป การอ้างคำพูดท่านชวน ที่ผมให้ความเคารพแบบจงใจพูดโกหก "ขาวเป็นดำ" เช่นนี้ไม่ใช่ลูกผู้ชาย จะทำร้ายผมได้ แต่อย่าทำร้าย การปฏิรูป

22 ปี ไม่เคยไปไหน พรรคให้เป็นประธานตรวจสอบทุจริตยุคทักษิณเรืองอำนาจสูงสุด 5 ปี เต็ม เสี่ยงคุกเสี่ยงตาย คนแบบนี้ไม่มีอุดมการณ์หรือ ท่านชวนเป็นต้นแบบต่อต้านการซื้อเสียงและคอร์รัปชั่น ผมก็ต่อสู้พวกซื้อเสียงพวกทุจริต และไม่สนับสนุนนโยบายประชานิยมแบบมอมเมา ผมเชื่อมั่นแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งตนเอง ท่านชวน-ดร.อาทิตย์ ให้ทำเรื่องเอทานอล ผมก็ทุ่มเททำงานจนวันนี้มีแก๊สโซฮอลขายทั่วประเทศ ท่าน "บัญญัติ-อภิสิทธิ์" ให้ผมเป็นประธานตรวจสอบทุจริตสมัยทักษิณมีอำนาจสูงสุด 5 ปีเต็ม (ปี45-49) จนโดนฟ้องโดนแจ้งความเกือบ 20 คดี ท่านอภิสิทธ์ ให้ผลักดันนโยบาย "เศรษฐกิจสร้างสรรค์และโลจิสติกส์"

ตอนเป็น "รมช.พาณิชย์" ก็บริหารจนเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและอาเซียน ท่านอภิสิทธิ์ ให้ผมปฏิรูปราชการ เพราะขีดความสามารถประเทศลดลงโดยเฉพาะ "การเริ่มต้นธุรกิจในไทย" ก็สามารถลดเวลาจาก 4 วันเหลือ 60 นาที ผมเชื่อเรื่องปฏิรูปเพราะการปฏิรูปราชการที่ว่ายาก ยังสามารถปรับปรุงระบบและพัฒนาคนจนสำเร็จทำให้กรมพัฒนาธุรกิจได้รางวัลที่ 1 ของประเทศ

ผมนำร่องปฏิรูปภาคกลางเช่นจัดอบรมแกนนำสมาชิกตั้งแต่ต้นปีกว่า 1,200 คน เน้นปลูกฝังอุดมการณ์สร้างวิสัยทัศน์ "คิดเก่ง-ทำเก่ง" ตัวอย่างที่ยกมาเพื่อให้พิจารณาเปรียบเทียบกับ "การกล่าวหาใส่ร้าย" ว่า "ผมเป็นคนไร้อุดมการณ์ ไร้หลักการ" จริงหรือไม่ หรือการกล่าวหาใส่ร้ายเกิดขึ้นเพราะผมและเพื่อนๆ เสนอ "พิมพ์เขียวปฏิรูปพรรค" และ "ความพ่ายแพ้ซ้ำซาก 21 ปี" แบบตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้บิดเบือนใส่ร้ายข้อเสนอการปฏิรูปพรรคอีกต่อไป จึงต้องเผยแพร่ "พิมพ์เขียวปฏิรูปพรรคปชป." ตั้งแต่ตอนที่17"

........................................................................................................................




อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว: อันตรายจากผังเมืองรวม กทม
ดร.โสภณ พรโชคชัย

บทสัมภาษณ์ของ กทม. เรื่องผังเมือง บอกไม่หมด พูดแต่ด้านดี ที่ไม่ได้ดีจริง สื่อมวลชนไม่ควรช่วย "โฆษณา" แต่ควรให้ความเป็นกลางในการเสนอข่าวอย่างรอบด้านเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง

ตามที่หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับเช้าวันพุธที่ 15 พฤษภาคม ศกนี้ ได้สัมภาษณ์คุณปัญญภัสสร์ นพพันธ์ รองผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร ในเรื่อง "ตอบโจทย์ผังเมือง กทม ผู้บริโภคได้อะไร" ผมไม่เห็นด้วยกับบทสัมภาษณ์นี้เพราะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ผมจึงขออนุญาตให้ข้อมูลในอีกด้านหนึ่ง ดังนี้:

1. ผังเมืองไม่มีแผนการที่ชัดเจนและมีประสิทธิผลต่อการป้องกันปัญหาภัยพิบัติดังอ้าง ยิ่งกรณีการลดโลกร้อน ยิ่งไม่เป็นความจริง มาตรการต่าง ๆ ที่ออกมามุ่งกีดกันการพัฒนา และเพียงปัดปัญหาให้ออกไปจากกรุงเทพมหานคร สู่ปริมณฑลเท่านั้น นี่จึงไม่ใช่การวางแผนที่ดี สวนสาธารณะที่อ้างอิงถึง ก็ไปนับรวมสวนในโครงการจัดสรรเอกชน ค่ายทหาร พื้นที่ปลูกต้นไม้ในเกาะกลางถนน ฯลฯ การสร้างใหม่แทบจะไม่มีจริง

2. ที่บอกว่าจะตัดถนนใหม่ 140 สายนั้น เป็นเพียงแผนเท่านั้น หลายสายวางไว้ตั้งแต่ผังเมืองฉบับก่อน ๆ แล้ว ที่สำคัญยังไม่มีงบประมาณการก่อสร้างจริงแต่อย่างใด

3. ที่อ้างว่าจะส่งเสริมเขตมีนบุรี ให้เป็นพื้นที่ศูนย์ชุมชนชานเมือง ก็ไม่เป็นความจริง เพราะรถไฟฟ้าสีชมพูและสีส้ม ที่อ้างถึงว่าจะผ่านบริเวณดังกล่าว ก็ไม่รู้จะสร้างเมื่อใด เป็นไปได้ที่ผังเมืองหมดอายุไปแล้ว ก็ยังไม่ได้สร้าง และในพื้นที่ธุรกิจดังกล่าว ก็ให้สร้างได้อย่างจำกัด กทม. ควรคิดใหม่ให้ศูนย์ธุรกิจชานเมืองสามารถสร้างได้อย่างหนาแน่น (High Density) แต่ไม่แออัด (Overcrowded) เพื่อไม่ให้เมืองเติบโตแบบราบ ๆ ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นที่วางผังไว้นี้

4. ผังเมืองนี้ซึ่งมีสถานะเป็นเพียงประกาศกระทรวงมหาดไทย กลับควบคุมอาคารยิ่งกว่ากฎหมายระดับพระราชบัญญัติที่มีอยู่แล้ว เช่น ตาม พรบ.ควบคุมอาคาร กำหนดให้ก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ได้บนถนนที่มีความกว้าง 10 เมตร กทม. ก็ไปกำหนดเป็น 12 เมตร 16 เมตร หรือแม้แต่ 30 เมตร จึงจะสร้างอะพาร์ตเมนต์ทีมีขนาด 1,000 ตรม.ขึ้นไปได้ ส่วน พรบ.จัดสรรที่ดินกำหนดให้สร้างทาวน์เฮาส์ได้ในขนาดที่ 16 ตารางวา กทม.กลับกำหนดให้ทาวน์เฮาส์ในหลายบริเวณต้องมีขนาด 20 ตารางวา หรืออาจต้องมีขนาดใหญ่กว่านั้นในบางแห่ง

5. กรณีการให้โบนัสเพิ่มเติม เช่น อยู่ใกล้รถไฟฟ้า ก็ต้องเป็นสถานีรถไฟฟ้าที่ใช้งานแล้ว ไม่ใช่ที่กำลังก่อสร้าง ที่บอกให้โบนัสหากใช้ประโยชน์สาธารณะ เป็นมาตรการที่เป็นไปไม่ได้ เป็นสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสีย ไม่ได้โบนัสจริง เป็นแค่ "ราคาคุย" เท่านั้น

6. ที่ กทม. คุยว่าจะให้พื้นที่โล่งมากมายแก่ประชาชนนั้น เป็นการเอาพื้นที่ของเอกชนไปนับรวม "ตู่" เอาไปเฉย ๆ ในพื้นที่สีเขียวบางแห่ง ประชาชนเรียกร้องอย่างต่อเนื่องมาหลายผังเมืองแล้ว ขอให้แก้ไข แต่ไมได้รับการแก้ไข กทม. อ้างว่าต้องการกันพื้นที่รอบนอกให้เป็นสีเขียว เป็น Buffer Zone กับจังหวัดปริมณฑล แต่ปรากฏว่า ในจังหวัดปริมณฑลกลับพัฒนาได้โดยไม่มีข้อจำกัด ถือเป็นการรอนสิทธิประชาชนและสร้างความไม่เท่าเทียม

7. เรื่องการส่งเสริมความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน กทม. มักอ้างว่าหากให้สร้างอาคารชุดขนาดใหญ่ในซอยสุขุมวิท จะไม่ปลอดภัยเพราะเสี่ยงต่อไฟไหม้ แต่ความจริงไฟไหม้อาคารสูงน้อยมากและลดลงตามลำดับ ข้ออ้างนี้จึงไม่เป็นความจริง ส่วนกรณีที่การก่อสร้างอาคารใหญ่ไปสร้างปัญหาเพื่อนบ้าน อยู่ที่การจัดการของ กทม. ที่ควรรักษากฎหมายโดยเคร่งครัด ในความเป็นจริง ใช่ว่าเจ้าของที่ดินในสุขุมวิทส่วนใหญ่จะต้องการรักษาให้มีสภาพเป็นบ้านเดี่ยว เจ้าของที่ดินจำนวนมากทยอยสร้างอาคารขนาดใหญ่ การออกผังเมืองอย่างนี้เป็นการรอนสิทธิของเจ้าของที่ดิ

8. ที่ว่าคนในเขตกรุงเทพมหานครจะได้อะไรต่าง ๆ มากมายจากผังเมือง ล้วนไม่เป็นความจริง มีแต่เสีย เพราะต้องระเห็จออกไปอยู่นอกเมือง ประชากรกรุงเทพมหานครลดลงโดยตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเพราะมาตรการผังเมืองที่ปัดความรับผิดชอบต่อประชากรของตนเองออกไปนอกเมือง

ผมออกมาเคลื่อนไหวเรื่องผังเมืองนี้ ไม่ใช่เพราะมีผลประโยชน์ส่วนตัวใด ๆ เลย ผมไม่ได้ทำธุรกิจพัฒนาที่ดิน ไม่ได้ทำธุรกิจนายหน้า เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและศูนย์ข้อมูลที่เป็นกลาง ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของนักพัฒนาที่ดิน นายธนาคารหรือหน่วยราชการใด ๆ โดยถือเป็นอิสระอย่างแท้จริง ขอสื่อมวลชนต่าง ๆ โปรดนำเสนอถึงอันตรายของผังเมืองรวม กทม. ฉบับนี้ และแง่คิดที่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนนี้ด้วยเถิด

........................................................................................................................


อีกความเห็นหนึ่งเกี่ยวกับ Warren Buffet
เขาเป็น Idol ในการลงทุนคนแรกของผม ก่อนเปลี่ยนมาเป็น Peter Lynch
^_^




ระบบทุนนิยมมันอนุญาตให้ตลาดหุ้นสร้าง “ตัวคูณ” ให้กับสินทรัพย์และรายได้ เพื่อให้เกิด “ความมั่งคั่ง” อีกระนาบหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นความมั่งคั่งในระดับ “อภิมหา” หรือ Super Rich

Warren Buffet ก็ใช้วิธีการนี้มาตั้งแต่แรกและใช้มาก่อนใครเพื่อน นั่นเป็นเพราะเขาค้นพบความลับของ “ตัวคูณ” มาตั้งแต่เขายังเรียนหนังสืออยู่กับ Ben Graham ที่โคลัมเบียเมื่อยังเด็ก

ดังนั้น เมื่อเขาได้ของมีค่ามา แม้ว่าจะเป็นที่ดิน อาคาร โรงงาน กิจการ หรือธุรกิจที่มีกำไร กระแสเงินสด และมีศักยภาพแห่งรายได้ เขาย่อมไม่ “กั๊ก” ไว้เอง เขาย่อมใส่เข้าไปใน Berkshier Hathaway หมด เพื่อสร้างตัวคูณให้กับหุ้น Bershire แล้วค่อยรอกินจาก “ยอด” นั้น ซึ่งวิธีนี้สำหรับเขา มันพิสูจน์ให้เห็นตำตาแล้วว่ามันได้โป่งขึ้นเป็นแสนเท่

...

ไม่แปลกที่ Buffet จะมีความสามารถพิเศษในการ “เล่าเรื่อง” หรือ “Tell Stories” เพราะเขาจำต้องสร้างความคาดหวังให้กับนักลงทุนและตลาดหุ้น เขาต้องสร้างภาพในใจคนเหล่านั้น ให้เห็นว่าวิธีการที่เขาทำอยู่ (ที่สามารถชักชวนเอากิจการดีๆ ภายใต้ผู้บริหารที่เก่งกาจ ที่มีศักยภาพที่จะสร้างกระแสเงินสดจำนวนมากฉีดเข้ามาในพอร์ตของ Berkshire อยู่ตลอดเวลา) จะนำไปสู่การเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้กับ Berkshire Hathaway ในอนาคต

ยิ่งนักลงทุนและตลาดมีความคาดหวังสูงมากเพียงใด ยิ่งภาพที่ผุดขึ้นในใจคนเหล่านั้นเริดหรูเพียงใด “ตัวคูณ” ของหุ้น Berkshire ในปัจจุบันย่อมสูงตามไปด้วย นั่นจึงเป็นที่มาของกระบวนการสร้างภาพให้กับตัวเอง เพราะนักเล่าเรื่องหรือนักเล่านิทานที่จะให้คนเชื่อได้ ย่อมต้องมี “ความน่าเชื่อถือ” เป็นเบื้องแรก

ในรอบ 30 ปีมานี้ Buffet ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของตัวเองสูงมาก เขาวางตำแหน่งตัวเองให้ดู “ไม่โลภ” (แม้จะหากินกับเรื่องเงินๆ ทองๆ มาตลอดชีวิต) เพราะเขาเข้าใจโลกสันนิวาศ ว่าถ้าถูกมองเป็นคนโลภมากเสียแล้ว ความน่าเชื่อถือก็จะน้อย พูดอะไร ทำอะไร ก็จะไม่มีน้ำหนัก

...

พอร์ตโฟลิโอของ Birkshire นั้นมีสองชั้น คือชั้นในสุด ที่เป็น Core หรือเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจจริง สร้างกระแสเงินสดจริงให้กับ Birkshire (ซึ่งก็มีกลุ่มประกันเป็นหลัก และยังมีกลุ่มการค้าอุตสาหกรรม กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและไฟฟ้า และกลุ่มไฟแนนซ์ล้อมรอบอยู่) และชั้นนอก ที่เป็น Marketable Securities อย่างเช่นหุ้นของ Coke, Wal-Mart, Proctor & Gamble, American Express, ConocoPhillips, Johnson & Johnson, Tesco, Wells Fargo, ฯลฯ

ที่ Buffet ชอบโม้ว่าหุ้นตัวเองซื้อแล้วไม่ขาย ย่อมเป็นหุ้นในกลุ่ม Core นั่นเอง ส่วนหุ้นในกลุ่มหลัง ย่อมต้องซื้อเข้าขายออกเป็นธรรมดา ตามประสานักเล่นหุ้น...ท่านผู้อ่านหลายคนมักเข้าใจประเด็นนี้ผิด คือไปเข้าใจว่า Value Investment นั้นต้องถือยาว และไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์เลยแม้แต่น้อย...ผิดครับ เพราะในพอร์ตของ Bershire นั้น มีทั้ง Credit Default Contracts, Equty Index Put Option Contracts, และ ฯลฯ

...

สำหรับผม สิ่งที่ผมได้จากการศึกษาบัฟเฟตมิใช่สไตล์หรือหลักการลงทุนของเขา เพราะผมคิดว่ามัน Unique มากเกินไปจนยากที่ใครจะเลียนแบบได้ ทว่า สิ่งที่สะกิดใจผม กลับเป็นสไตล์การจัดการของเขาเอง

ผมว่า Buffet นอกจากจะเป็นนักลงทุนที่เก่ง เป็นพวกตามีแวว ที่รู้จักแสวงหาเพชรในตม (Undervalued Assets) รู้จักเจรียนัยเพชร รู้จัก Tell Story รู้จักสร้างภาพ และเล่นกับจิตวิทยามวลชนแล้ว เขายังเป็นนักบริหารที่เก่ง

สไตล์การลงทุนของเขา มีลักษณะของ “การสร้างอาณาจักร” เขา เหมือนเจงกิสข่านที่คอยยกทัพไปตีเมืองเพื่อเอามาเป็นเมืองขึ้น แต่เขาจะให้ลูกน้องอยู่รักษาเมือง หรือบริหารเมืองนั้น และเขาก็จะเดินทัพเพื่อตีเมืองต่อไปที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ... การจะทำแบบนี้ได้ เขาต้องรู้จักใช้คน ต้องตามีแวว รู้ว่าใครมีข้อดีข้อเสียอะไร จะพัฒนาคนอย่างไร และต้องกล้า “ลงทุนในคน”

...

ผมไม่แปลกใจ ที่บัฟเฟตจะเขียนย้ำอยู่เสมอว่า เขายังคงแข็งแรง ยังบริหารได้ และยังแฮปปี้ที่จะทำงานต่อไป แม้จะอายุอานามจะปาเข้าไปกว่า 79 ปีแล้ว และเขาก็ต้องตะโกนให้ได้ยินดังๆ อยู่เสมอว่า Berkshire Hathaway นั้นไม่ขาดแคลนผู้บริหาร และต้องมีตัวตายตัวแทน โดยเขาได้คิดเรื่องการสืบทอดไว้แล้วอย่างรอบคอบ นั่นเป็นเพราะ ตัวเขาเองก็ตระหนักดีว่า “ความเสี่ยง” ของเขาอยู่ที่ใด

------------------------------------

* ส่วนหนึ่ง * จากบทความเก่าปี 2553 "ลอกคราบ วอเรน บัฟเฟต (Warren Buffet)" โดยคุณทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว... ซึ่งวิเคราะห์ตัวตนในด้านการทำงานของปู่ Buffett ได้รอบด้านที่สุดบทความหนึ่งเท่าีที่เคยอ่านมา ... มีทั้งด้านชม ด้านจิกกัด ด้านจี้ใจดำ และด้านเข้าอกเข้าใจ

หากใครได้อ่านด้วยใจเปิดกว้างอยากได้ความรู้ เชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ไม่น้อยครับ

www.sme-talk.com/webboard/viewtopic.php?f=16&t=6

และหากจะมีคำถามหรือข้อแย้งใดๆ เกี่ยวกับข้อมูล หรือมุมมอง สามารถยิงตรงไปที่เว็บเจ้าของบทความได้เลยนะครับ

ขอขอบคุณเพจ Indy Investor Forum ที่เริ่มต้นแนะนำบทความนี้ครับ

...........................................................................................................................


ใครมาเป็นรัฐบาล
ผมเชียร์ไว้ก่อน ค่อนตัวแล้วครับ

เหมือน ผู้ว่าฯ กรุงเทพ คนปัจจุบัน
แม้ผมไม่ได้เชียร์ ไม่ได้สนับสนุนตอนที่เลือกมา
เพราะตอนนั้น ผมเชียร์ พี่จูดี้ คุณพงศพัศ พงษ์เจริญ

แต่..ตอนนี้ ผมก็เชียร์และเอาใจช่วยหม่อมฯ
ให้ทำผลงานอะไรดีดี เพื่อชาว กทม.
แบบไร้รอยต่อ..ในเรื่องดีดี

เรื่องไม่ดีอะไร มันขัดหูขัดตา จะมีรอยต่อบ้างก็ไม่เป็นไร
มีอะไรเสนอต่อรัฐบาลที่ดีกว่า ก็แย้งมา
หากเป็นเพื่อส่วนรวม...เพื่อ กทม. มันก็หยวนๆ
มันก็ดี ไม่ใช่หรือ..

ผมไม่ได้เชียร์แต่ "รัฐบาล" หรอกครับ
แต่ผมเชียร์ "ตัวแทน" ของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย
"ผู้แทน" ที่ "คนไทย" เลือกมาแล้ว..

ตรรกะที่บอกว่า "นักการเมืองเลว"
หรือ "รัฐสภา" เป็นที่รวมของคนโกงกิน...
ใครคิดแบบนี้ พิจารณาตัวเองได้เลย
สงสารลูกหลานในตระกูลมากๆ...

เมื่อไม่ยอมรับระบบ ไม่เคารพระบอบ
เอาแต่ "ความดีความชอบ" แต่ไม่คิดตอบโจทย์บ้านเมือง
ก็จะมีตรรกะเพี้ยนๆ ด่านักการเมืองอย่างเดียว...
ไม่ได้สนใจหาข้อเท็จจริง ฟังมาพูดเอาเท่
ใครๆ ก็พูดได้ครับ แบบนั้น..

หมดสมัยไปแล้วนะครับ รู้ไว้ด้วย.

..................................................................................................................




» “ ความเป็น...ฮีโร่ ”

วิทยาศาสตร์เก่านั้นจะเชื่อความเป็นฮีโร่ นิยมความเป็นฮีโร่ เพราะภายใต้กรอบคิดแบบนิวตันนั้น (F=ma) การออกแรงมากย่อมเกิดการเคลื่อนที่มาก ออกแรงน้อยย่อมเกิดการเคลื่อนที่น้อย ฮีโร่คือคนที่สามารถออกแรงได้มาก

สังคมจึงต้องการฮีโร่เพื่อมาขับเคลื่อนสังคมให้เคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกต้อง ต้องการผู้นำที่เข้มแข็งอะไรประมาณนั้น

แนวคิดเรื่องนี้ไม่ได้ผิด แต่เป็นความถูกต้องเฉพาะกับ `วัตถุ´

และมีข้อแม้อีกหนึ่งข้อก็คือ... วัตถุชิ้นนั้นจะต้องเป็นวัตถุที่มีความเร็วไม่มากไปกว่าความเร็วของแสงเท่านั้น ทั้งยังใช้ไม่ได้กับวัตถุเล็กๆ ในระดับอะตอมอีกด้วย

มีข้อสังเกตตรงนี้ว่า “คนและสังคมเป็นสิ่งมีชีวิต”...การใช้แนวคิดแบบกลไกนี้กับคนและสังคมจึงอาจจะใช้ไม่ได้

::::::::::::::::::::


วิทยาศาสตร์ใหม่โดยเฉพาะทฤษฎีไร้ระเบียบนั้นบอกว่า...

ในระบบที่มีความไร้ระเบียบนั้นจะสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบได้โดยเกิดจากการเปลี่ยนของจุดเล็กๆ ในระบบ ผ่านวงจรขยาย (Amplify Loop) คล้ายๆ กับเครื่องขยายเสียง เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Butterfly Effect”

หรือคำพูดที่หลายท่านอาจจะเคยได้ยินบ่อยๆ ว่า “ผีเสื้อขยับปีกที่ปักกิ่งแล้วทำให้เกิดพายุทอร์นาโดที่ฟลอริด้า”

ตามแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ใหม่การเปลี่ยนแปลงของระบบจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ฮีโร่” แต่จะขึ้นอยู่กับจุดเล็กๆ ที่เชื่อมโยงกันเป็นชุมชนแล้วขยายผลตามเหตุตามปัจจัยที่เหมาะสม

::::::::::::::::::::


ยกตัวอย่างเช่น...

กำแพงเบอร์ลินที่พังทลายลงได้ มิใช่เพราะฮีโร่แบบปัจเจก หากแต่เป็นเพราะชุมชนเล็กๆ ในเยอรมันเกิดการรวมตัวกัน

กฎหมายที่ให้สิทธิ์เท่าเทียมกันเรื่องผิวสีในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นมาได้ในช่วงทศวรรษ 60 ก็มิใช่เพราะฮีโร่ แต่เป็นเพราะผู้หญิงผิวดำบ้านนอกธรรมดาๆ คนหนึ่ง!

เธออาศัยอยู่ในรัฐทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาตัดสินใจไม่ยอมลุกขึ้นให้ที่นั่งกับคนขาวบนรถเมล์ในวันหนึ่ง...แล้วเกิดการรวมตัวของคนผิวดำจำนวนมากมายที่ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์

การล่มสลายของสหภาพโซเวียต และปรากฏการณ์อื่นๆ ในธรรมชาติล้วนแล้วแต่เป็นหลักฐานเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความจริงในข้อนี้ได้เป็นอย่างดี

วิทยาศาสตร์ใหม่จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับ “ฮีโร่” มากไปกว่าการเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสังคม

::::::::::::::::::::


นอกจากนี้ ถ้าเราดูดีๆ การปรากฏตัวของ “ฮีโร่” กลับจะเป็นการรบกวนและอาจจะถึงขั้นทำลายกระบวนการที่ควรจะเป็นไปในระบบตามที่ควรจะเป็นไปด้วยซ้ำ

เพราะ “ฮีโร่” มักจะใช้อำนาจ เมื่อใช้อำนาจก็ย่อมเกิดความไม่เท่าเทียม รบกวนระบบและยังจะทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรงมากขึ้นตามมามากมาย


ในมุมมองแบบนี้การก่อเกิด “ความเป็นผู้นำ” จึงไม่ใช่อยู่ที่ “ตัวตน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใดคนหนึ่ง หากแต่จะอยู่ที่ “พลังงานของกลุ่ม”

เป็น “พลังงานที่ซ่อนเร้นอยู่” ที่พลังงานเหล่านี้สามารถ “ผุดบังเกิด” หรือ “โผล่ปรากฏ” ออกมาได้ก็ต่อเมื่อมี “กระบวนการ” ที่เหมาะสม ได้แก่

1. การอยู่กับปัจจุบัน
2. การใคร่ครวญร่วมกัน
3. การรับรู้และรับฟังกันอย่างลึกซึ้ง
4. ความเท่าเทียม
5. การแขวนการตัดสิน

::::::::::::::::::::


ด้วยความเข้าใจแบบนี้ ความเป็นผู้นำแบบวิทยาศาสตร์ใหม่จึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ “ฮีโร่” ในความหมายแบบเก่าที่เข้าใจกันมาตลอด

ด้วยความเข้าใจใหม่แบบนี้เราก็จะมองเห็นได้ว่า “ความเป็นผู้นำ” ไม่จำเป็นจะต้องอาศัย “ฮีโร่” (ที่มีแรงมากเพื่อออกแรงมาก) อีกต่อไป

หากแต่ต้องการ “ความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน” แล้วไว้ใจให้ “สาระสำคัญของความเป็นผู้นำ” ผุดบังเกิดออกมาในเวลาที่เหมาะสม

เราได้มาถึงยุคที่จะต้องใช้วิทยาศาสตร์ใหม่ให้เหมาะสมกันแล้ว มิเช่นนั้นเราก็คงจะมิอาจแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลย ถ้ายังคงมีกรอบคิดแบบเดิมและใช้อำนาจแบบฮีโร่ในสมัยก่อ


::::::::::::::::::::

Credit : นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์

.......................................................................................................................




Curry onsen ... ไอเดียดีๆในจานอาหาร ทำให้ชีวิตรื่นรมย์ขึ้นเยอะ..http://www.iurban.in.th/inspiration/creative-food-art-ideas/

..............................................................................................................................



...........................................................................................................................




iTem นี้ยอดเยี่ยมมาก เหมาะสำหรับคนชอบ Gadget ล้ำๆ และคนรักสีเขียว เพราะมันเป็นปลั๊ก ที่ให้เราใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ที่ไหนก็ได้ แค่ติดกับหน้าต่างแล้วก็ดูดเอาพลังงานมาใช้เลย..สุดยอดมั๊ยล่ะ ดูเพิ่มhttp://www.iurban.in.th/design/window-socket/

............................................................................................................................




เมื่อก่อนแอดมินก็ไม่เข้าใจว่าทำไมที่จอดรถคนพิการเต็มตลอด แต่พอคิดไปคิดมาก็พบว่าประเทศไทยมีคนพิการเยอะจริงๆ แหละ

...................................................................................................................




หลากหลายวิธี นำแกนกระดาษชำระกลับมาใช้งานใหม่

- ม้วนการ์ดอวยพรแผ่นใหญ่ ๆ ไว้ในแกนกระดาษชำระ จะช่วยให้การ์ดหรือกระดาษนั้นไม่ยับยู่ยี่เมื่อถึงมือผู้รับ

- ตัดแบ่งเป็นท่อนเล็ก ๆ แล้วตกแต่งตามใจชอบ สามารถใช้เป็นห่วงสำหรับใส่ผ้าเช็ดปากบนโต๊ะอาหารได้

- หนังยางรัดของที่มักเก็บรวมกันไว้อย่างกระจัดกระจายในลิ้นชัก ให้นำทั้งหมดมารัดรอบแกนกระดาษชำระ ก็จะทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น

- วางแกนกระดาษชำระรวมกันในลังในแนวตั้ง แล้วใส่สายไฟหรือสายชาร์จอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายซึ่งพันแล้วเก็บลงในแกนกระดาษชำระแกนละสาย จะช่วยทำให้คุณเก็บสายไฟได้อย่างมีระเบียบ และหยิบใช้ง่าย

- ใช้วางแบ่งช่องสำหรับเพาะเมล็ดพืชได้ โดยจัดวางเรียงให้เป็นแถวในภาชนะที่ใช้เพาะต้นกล้า

- ใส่กระดาษหนังสือพิมพ์อัดเข้าไปในแกนกระดาษชำระ ใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงเวลาจุดเตาถ่านหรือก่อกองไฟได้

ขอบคุณ : Kapook, Lisa

...............................................................................................................................




Todd Akin คือ สส. จากรัฐมิสซูรี สังกัดพรรครีพับลิกัน เขาเป็นผู้ต่อต้านนโยบายทำแท้งมายาวนาน จนเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมปี 2012 ที่ผ่านมา เขาได้รับเลือกจากพรรครีพับลิกัน (Republic primary) ให้เป็นตัวแทนลงแข่งขันเลือกตั้ง สว. และเพียง 2 สัปดาห์จากนั้นเขาก็ได้กล่าววาทะที่ทำให้เขาโด่งดังไปทั่วโลก โดยเขาให้สัมภาษณ์รายการโทรทัศน์แห่งนึงว่า

“เขาได้เรียนรู้จาก "แพทย์" ว่าผู้หญิงที่ถูกข่มขืนโดยชอบธรรม (Legitimate Rape) นั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะตั้งท้อง เนื่องจากในกรณีนี้ร่างกายของผู้หญิงจะมีกลไกต่อต้านการตั้งท้องได้โดยธรรมชาติ”

First of all, from what I understand from doctors, that's really rare. If it's a legitimate rape, the female body has ways to try to shut that whole thing down.

แทบจะทันทีที่วาทะนี้หลุดออกไป เขาก็กลายเป็นตัวตลกระดับชาติและระดับโลก กลุ่มสตรีมากมายออกมาก่นด่าเขาว่าอะไรคือ “การข่มขืนโดยชอบธรรม”

นักการเมืองฝ่ายเดโมแครตได้จังหวะขี่แพะไล่กระซวกเขาในทางการเมืองอย่างสนุกสนาน และแน่นอนว่าพรรครีพับลิกันเสียเครดิตไปมากจากกรณีนี้

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ ณ ขณะนั้นพรรครีพับลิกันก็กำลังส่ง มิตต์ รอมนีย์ มาเป็นคู่แข่ง บารัค โอบามา ในสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีเช่นกัน และรีพับลิกันเองก็เป็นรองเดโมแครตอยู่แล้ว จึงอาจเรียกได้ว่า Todd Akin เป็นตัวซวยทำให้รีพับลิกันเสียคะแนนแบบโง่ๆก็ว่าได้

มิตต์ รอมนีย์ กล่าวประนามวาทะนี้ว่า “ไม่อาจแก้ตัวได้, เหยียดหยาม, และพูดตรงๆได้ว่า ผิด” (inexcusable, insulting, and frankly, wrong)

กระแสก่นด่า Todd แพร่ขยายออกไปจนสมาชิกพรรครีพับลิกันเองก็ทนไม่ไหว หมดปัญญาจะช่วยแก้ต่างให้ในทางการเมือง หลายคนรวมทั้ง มิตต์ รอมนีย์ เองก็ออกมากดดันให้ Todd ถอนตัวออกจากการแข่ง สว. ทันที

อย่างไรก็ตาม Todd ตัดสินใจไม่ถอนตัว เขาลงทุนทำโฆษณาทีวีแก้ต่างให้ตัวเองไปทั่วประเทศ แต่สุดท้ายเขาก็แพ้เลือกตั้งในกับเดโมแครตในที่สุด


==================


เรื่องราวของ Todd Akin สอนให้เราเห็นว่าทุกพรรคการเมืองมีทั้งคนโง่และคนฉลาด

คนที่ติดตามการเมืองโดยเชื่อใน “ระบบ” จะไม่ยึดติดกับ “ข้าง” เสียจนมืดบอดโง่เขลา เพราะการเมืองที่เชื่อใน “ระบบ” เชื่อใน “พรรค” มันจะอยู่เหนือตัวบุคคล มันคือเรื่องของนโยบาย เรื่องของปรัญญา เรื่องของหลักคิด และเรื่องของไอเดีย ในการบริหารพัฒนาประเทศ

ฝ่ายตรงข้ามเราก็สามารถทำเรื่องดีๆได้ เช่นเดียวกับที่คนฝ่ายเราก็สามารถทำเรื่องโง่บรมได้เช่นกัน

คนที่มีสติสัมปชัญญะที่ดี จะไม่มีปัญหาใดๆกับการก่นด่า “พวกตัวเอง” ที่ทำตัวโง่ๆ เพราะสุดท้ายการทำตัวโง่เง่านั้น มันจะเป็นผลเสียต่อ “พรรค” ที่พวกเขาสนับสนุน

ใครที่สามารถมองการเมืองที่ไอเดียได้ ก็จะหลุดพ้นจากตัวบุคคลได้เองโดยธรรมชาติ

ไม่ต้องเดือดร้อนเวลามีคนคอยเหน็บแนมว่า “ดูสิ พวกเอ็งน่ะทำตัวโง่เง่ามากนะ”

เพราะเราก็พูดได้เต็มปากเช่นกันว่า “จริง ... แม่งโง่ชิบหายเลยว่ะ”

แต่สำหรับคนที่ยังยึดติดกับตัวบุคคลอยู่ ก็คงไม่อาจเข้าใจได้หรอกว่าเราจะด่าคนพวกเดียวกันได้อย่างไร

..................................................................................................................




"ชายชุดดำ"
ไม่รู้คำไทยว่าไง แต่ฝรั่งเค้าว่า "Like a boss!!!"

............................................................................................................................




"ระบบคมนาคมที่พัฒนาขึ้น จะทำให้เกิดโอกาสใหม่ ที่ชัดเจนคือ ธุรกิจ e-commerce จะโตขึ้น ธุรกิจนี้มีเงินหมุนเวียนกว่า 600,000 ล้านบาท" อภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล กล่าวในงานสัมมนาประชาชาติธุรกิจ "รถไฟฟ้า-ไฮสปีดเทรน พลิกโฉมประเทศไทย Connectivity = Opportunity” #สัมมนาประชาชาติฯ

.............................................................................................................................




การเปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญระหว่างสองขั้วความคิดในประเทศ

ข้อมูลอ้างอิง
ฝั่งซ้ายมือจาก แนวคิดของคณะนิติราษฎร์
ฝั่งขวามือจาก แนวคิดของ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา สมาชิก สภาร่างรัฐธรรมนูญ 50 และกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์

..............................................................................................................



มาเปลี่ยนจากใครๆก็ก๊อปกัน มาเป็นใครๆก็บลัสกันดีกว่าค่ะ

ใครทำคอนเท้นท์บนเพจด้วยตัวเองแล้วโดนก๊อบ ก็เข้าไปรีพอทลิงค์นี้ได้เลยจ้า

https://www.facebook.com/help/contact_us.php?id=208282075858952

หนูระบุไปแค่ว่าภาพที่โดนก๊อปเป็นภาพที่หนูวาดอัพลงในเพจของหนู แล้วมันเอาไปโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมแนบลิงค์ภาพต้นฉบับไปให้พร้อมบอกว่าเช็ควันเวลาอัพดูได้

มาร์คเลยจัดการบลัสให้หนูไปสี่รายเลยงุ หนูลองมาละ ก๊ากกกกๆกๆกๆกๆกๆกๆกๆ มาร์คก็ทำอะไรดีๆนอกจากบลัสปลาดุกกับกระต่ายหมายจันทร์เหมือนกันนะ

พิมพ์ภาษาไทยก็ได้ อิ้งลิซยิ่งดี

..............................................................................................................




เติมน้ำใสใส่หัวใจ

มีจุดหนึ่งของการเกิดมาในครอบครัวตะวันออกที่ผมมองไม่เห็น จนกระทั่งไปใช้ชีวิตในตะวันตก นั่นคือการที่ผู้ใหญ่เอ่ยคำขอโทษ คำชม และคำขอบคุณต่อเด็กไม่เป็น (นี่เป็นเพียงข้อสังเกตจากประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น)

หลายคนพูดจากับคนแปลกหน้าไพเราะกว่าพูดกับสมาชิกในครอบครัว ยิ้มให้กับคนที่เราไม่รู้จักกันดีอย่างดี แต่ไม่ยิ้มให้คู่ครองที่อยู่ด้วยกันมานานยี่สิบ สามสิบปี

แปลกไหม?

ธอมัส เมอร์ตัน ชาวตะวันตกคนหนึ่งที่ลุ่มหลงชีวิตตะวันออก เขียนในหนังสือปรัชญาเต๋าเล่มหนึ่งว่า เมื่อเราเดินไปในตลาดพลุกพล่าน เผลอเหยียบเท้าใครคนหนึ่ง เรารีบเอ่ยว่า "ขอโทษ" และให้เหตุผล แต่เมื่อเหยียบเท้าลูก เรากลับเงียบกริบ

นี่อาจเป็นพฤติกรรมที่ฝังรากมาจากความเชื่อที่ว่า ผู้ใหญ่ย่อมไม่ผิด ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน

บางครั้งการเอ่ยคำ "ขอโทษ" นั้นยากเย็นยิ่ง เหมือนกับศักดิ์ศรีของตนถูกลดทอน หรือเป็นการเผยว่าตนเองโง่เง่าจนผิดพลาด

ทว่าการพลาดพลั้งยังดีกว่าการไม่เคยพลั้งพลาด และการกล้ายอมรับว่าตนผิดย่อมดีกว่าการดื้อดึง เพียงเพื่อรักษาหน้าตาหรือศักดิ์ศรี

มารยาทที่แท้ย่อมรักษาความสม่ำเสมอ และไม่มีข้อแม้ใด ๆ

หลายปีนี้ผมเรียนรู้อย่างหนึ่งว่า บางครั้งการชิงเอ่ยคำ "ขอโทษ" ก่อน ทั้งที่เราไม่ผิด ช่วยลดอุณหภูมิความเครียดระหว่างสองฝ่ายได้อย่างอัศจรรย์

การเอ่ยคำชมและบอกรักคนอื่นก็อยู่ในข่ายเดียวกัน

คนจำนวนมากรู้สึกเขินเมื่อต้องบอกรักผู้อื่น คนอีกไม่น้อยมองไม่เห็นว่าทำไมต้องชมคนอื่น บางคนบอกว่าชื่นชมในใจก็พอแล้ว

พวกเขาลืมไปว่า ไม่มีใครได้ยินคำชมที่อยู่ในใจ

คำชมและคำบอกรักเป็นของฟรี ให้คนอื่นมากเท่าไร ก็ไม่มีวันหมดจากคลังหัวใจ

ภาษิตฝรั่งบอกว่า Don't wait until people are dead to give them flowers.

รู้จักชมคนบ้าง เพราะบางครั้งการชมผู้อื่นมีค่ามากกว่าสินจ้างรางวัล

การบอกรักผู้อื่น โดยไม่ต้องรอโอกาสพิเศษคือ ความพิเศษอย่างหนึ่ง

สัมมาวาจาก็เช่นน้ำเย็น พรมใส่ต้นไม้ นอกจากจะสร้างความชุ่มฉ่ำต่อใบหรือดอก ยังไหลย้อยลงดินเป็นอาหารแก่ราก

ชีวิตมีความงดงามก็ตรงที่เรารู้จักเติมน้ำดีใส่ลงไปในหัวใจอยู่เรื่อย ๆ

วินทร์ เลียววาริณ, 13 พฤศจิกายน 2547

..................................................................................................................




การทำร้ายทางจิตใจ (Emotional abuse)
น่าจะเป็นรูปแบบที่โหดร้ายที่สุด และส่งผลกระทบยาวนานที่สุด

การทำร้ายทางจิตใจด้วยคำพูด พฤติกรรมดูหมิ่น หรือการเพิกเฉย คือ การทำให้คนอื่นรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าลดลงอย่างเป็นระบบ และพฤติกรรมเหล่านี้มักเป็าพฤติกรรมต่อเนื่อง ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งใดครั้งหนึ่ง

การทำร้ายจิตใจมีผลร้ายต่อเด็กที่กำลังอยู่ในวัยที่จะเรียนรู้คุณค่าของตัวเองและเป็นเหยื่อได้ง่ายมากที่สุด ผลของการทำร้ายจิตใจจะลดแนวคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวเอง (self concept=อัตมโนทัศน์ แนวคิดรวบยอดเกี่ยวกับตนเอง-การตรวจสอบและการรับรู้ตนในด้านค่านิยม ความสามารถ จุดมุ่งหมายและคุณค่าของตน) ของเด็กลง จนถึงจุดที่เด็กที่ตกเป็นเหยื่อคิดว่า ตัวเองไม่ทีคุณค่า (Unworthy) เช่น ไม่มีค่าควรที่จะใครจะยอมรับ ไม่มีค่าควรที่ใครจะเป็นเพื่อน ไม่มีค่าควรได้รับความรักและการคุ้มครอง

ตัวอย่างประโยคทำร้ายจิตใจ แกมันโง่ แกมันคิดไม่เป็น แกมันไม่มีหัวคิด แกอ้วน แกดำ แกมันน่าเกลียด หรือการเปรียบเปรย เช่น แกไม่มีทางจะได้ดีเหมือนพี่แกร้อก ทำไมถึงทำแบบนี้ ฉันอายที่มีแกเป็นลูกจริงๆ

และการทำร้ายจิตใจอาจจะมาจากการโดนทอดทิ้ง เพิกเฉย ไม่แสดงความรักก็ได้ การทำเช่นนี้พ่อแม่เหมือนไม่ได้ทำร้ายอะไร แต่นี่คือการทำลายล้างที่มีผลไม่น้อยไปกว่าคำพูด และหากลงมือทำทั้ง 2 อย่างจะส่งผลเสียเป็นทวีคูณ

การทำร้ายทางจิตใจ หรือด้วยคำพูด หรือด้วยการเพิกเฉย มักทำให้คนที่ถูกทำร้ายได้รับความเจ็บปวดพอๆกับการทำร้ายร่างกาย แต่ความเจ็บปวดมักจะอยู่นานกว่า

เด็กบางคนที่โดนทำร้ายจากพ่อแม่ นอกจากจะไม่ได้รับการปลอบโยนจากพี่น้องแล้วยังกลายเป้าหมายของการระบายอารมณ์ของคนในครอบครัวอีก เด็กๆ มักเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว แทนที่จะได้เรียนรู้พฤติกรรมที่ดีจากผู้ใหญ่ เช่น ความเห็นใจ การดูแลปกป้องคนอื่น พวกเขาจะได้เรียนรู้พฤติกรรมการโขกสับคนอื่นที่เลวร้าย ซึ่งอาจถูกนำติดตัวไปด้วยเมื่อเป็นผู้ใหญ่ สร้างวงจรที่เลวร้ายของการเลี้ยงลูกแบบนี้ต่อไป

การทำร้ายจิตใจเด็ก เป็นการทารุณเด็กที่เกิดมากที่สุด แต่เป็นที่เข้าใจ/รับรู้ น้อยที่สุด และผู้ใหญ่มักคิดว่า มันจะหายไปเองเมื่อเขาโตขึ้น - การทำร้ายจิตใจนั้นจะเป็นบาดแผลในหัวใจ ทำลายจิตวิญญาณ ต้องได้รับการดูแลรักษา แต่ความจริงความเจ็บปวดไม่ได้หยุดเมื่อพวกเขาโตขึ้น บางคนกลับรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นด้วย

ไม่ว่าจะโดนแบบไหน เด็กที่เป็นเหยื่อมักต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหาคำอธิบายว่าทำไมพ่อแม่ผู้ปกครองหรือครู ถึงได้ทำแบบนั้นกับเขา ส่วนใหญ่คำอธิบายจะจบลงแบบที่ทำให้ตัวเองอยู่รอดต่อไปในครอบครัวนั้นๆว่า "เป็นความผิดของเขาเอง ไม่ใช่ความผิดผู้ที่ทำร้ายเขา"

การทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดและพฤติกรรมมีลักษณะพิเศษมากตรงที่มันได้รับการออกแบบมาให้เหยื่อเป็นฝ่ายรู้สึกว่าตนผิด ทำให้คนที่ทำร้ายคนอื่นยังคงมีพฤติกรรมซ้ำซากต่อไปจนเป็นนิสัย และมันเป็นเรื่องที่เลียนแบบได้ง่ายมากด้วย

นอกจากนี้ผู้ใหญ่ที่ทำ มักไม่ตระหนักว่าตนเองทำร้ายจิตใจเด็ก และมักไม่ปฏิเสธในสิ่งที่ตนทำ เพราะคิดว่าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นการทำผิดอะไร

การจะเยียวยาบาดแผลจากการถูกทำร้ายทางจิตใจไม่ใช่อยู่ที่การให้อภัยผู้ที่ทำร้ายจิตใจคุณ แต่อยู่ที่คุณต้องให้อภัยตัวเอง ว่าคุณไม่ใช่คนผิด จึงไม่จำเป็นต้องสำนึกผิดในสิ่งที่คนใกล้ชิดเป็นผู้ทำร้ายจิตใจคุณ

การให้อภัยตนเองเป็นเรื่องที่ทุกคนมีสิทธิทำได้ การที่คุณจะเยียวยาตัวเอง และเอาชนะความเจ็บช้ำในอดีตได้ คุณต้องตระหนักว่าคุณมีค่าควรได้รับความรัก และความนับถือจากคนอื่น และคุณกล้าที่จะพิสูจน์ตัวเองในเรื่องนี้

: ท้ายสุด

คุณอาจเห็นคนแสดงความคิดเห็นที่พยายามกดทับคนอื่น
ให้ร้ายคนอื่น ลดคุณค่าของคนอื่นเต็มไปหมดในโพสท์ต่างๆ

ก็ให้เข้าใจเบื้องต้นได้เลยว่า เขาเหล่านั้นเป็นคนน่าสงสาร ...
เราอาจต้องให้โอกาสและช่วยเหลือเขา
ให้เขาก้าวพ้นความเจ็บปวดในจิตใจของตนเอง

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะเราจะมาร่วมกันคิด
เพื่อสร้างแนวทางการสื่อสารที่สร้างสรรค์

ไม่ใช่การลดทอนคุณค่าของผู้อื่น

(เลิกเรียกคนอื่นว่า ควาย เหี้ย โง่ สลิ่ม คลั่งเจ้า ล้มเจ้า แมลงสาป ฯลฯ กันเถอะ แล้วมาแลกเปลี่ยนความคิดอย่างสร้างสรรค์กันนะ)

เรียบเรียงใหม่โดยแอดมิน

อ้างอิง Andrew Vachss
จิตวิทยาวัยรุ่น : วิทยากร เชียงกูร

โพสท์ครั้งแรก 26 ม.ค.56
https://www.facebook.com/bethethinker/posts/497983540252679



Piyawatana Yosyingyong หนึ่งในนิสัยเสียประจำชนชาตินะท่านเป็นรองแค่ ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อวด ขี้อิจฉา

....................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น