วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

31/05/2556



» รู้ทัน...นักการตลาด

Case#1

เมื่อลูกค้ารายหนึ่งขับรถเข้าไปในปั๊มน้ำมัน เขาถามเด็กปั๊มว่า “ของแถมที่ขึ้นป้ายอยู่หน้าปั๊มยังมีแถมอยู่หรือเปล่า” ก่อนตัดสินใจเติมน้ำมัน เพราะเขาเคยได้ยินคำตอบซ้ำ ๆ จากเด็กปั๊มหลังเติมน้ำมันไปแล้ว และถามหาของแถมว่า “ของแถมหมด” ทั้งที่ยังอยู่ในช่วงจัดรายการส่งเสริมการขาย และทางปั๊มยังขึ้นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่ระบุของแถมอยู่หน้าปั๊ม

Case#2

เมื่อลูกค้าอ่านโฆษณาเชิญชวนให้สมัครสมาชิกอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงทางหน้าหนังสือพิมพ์ที่ระบุว่าราคาพิเศษพร้อมอุปกรณ์ฟรี เขาพยายามสอดส่ายสายตาหาตัวอักษรตัวเล็กๆ หลังเครื่องหมายดอกจัน เพื่อมองหาเงื่อนไขที่นักการตลาดระบุไว้ตัวเล็ก ๆ ในโฆษณา

Case#3

เมื่อลูกค้าอ่านบทความในนิตยสาร เขาเริ่มถามตัวเองว่า บทความที่เชียร์อาหารเสริมยี่ห้อหนึ่งอย่างออกหน้าออกตาชิ้นนี้ เป็นคอลัมน์ในหนังสือที่น่าเชื่อถือ หรือเป็นโฆษณาของบริษัทผู้จำหน่ายอาหารเสริมที่นำเสนอในรูปบทความและมองหาที่ด้านล่างของหน้าเพื่อดูว่ามีข้อความระบุว่า “เนื้อที่โฆษณา” อยู่หรือไม่

::::::::::::::::::


Q : เกิดอะไรขึ้นกับ "ลูกค้า" ในวันนี้ ?

ทำไมลูกค้าดูหวาดระแวงในการซื้อสินค้าหรือเข้าร่วมในกิจกรรมส่งเสริมการขาย ที่บรรดานักการตลาดทุ่มกำลังสมอง ทำวิจัย และวางแผนเพื่อสร้างความพึงพอใจกับลูกค้าให้ได้ดีกว่าของคู่แข่งขัน

วันนี้ลูกค้าดูจะไว้วางใจนักการตลาดน้อยลงทุกที มีงานวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อหลายปีที่แล้ว ซึ่งผู้วิจัยสอบถามผู้บริโภคว่า ไว้วางใจนักการตลาดมากแค่ไห

ได้คำตอบที่ไม่น่าตกใจ...เพราะลูกค้าเกือบ 80% คิดว่านักการตลาดไม่น่าไว้วางใจ ถ้ามีโอกาสที่จะเอาเปรียบลูกค้าได้ โดยลูกค้าจับไม่ได้ก็เชื่อได้ว่านักการตลาดจะทำ

ทัศนคตินี้น่ากลัว แต่ถ้าย้อนกลับไปมองสิ่งที่นักการตลาด(บางส่วน) ทำกับลูกค้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา...ก็ไม่น่าแปลกใจที่ ทำไมความน่าเชื่อถือที่ลูกค้ามีต่อนักการตลาดโดยรวมนั้น ต่ำลงทุก ๆ วัน

::::::::::::::::::


จากการรวบรวมสิ่งที่นักการตลาดทำ...แล้วนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจของลูกค้า สรุปได้ 5 ข้อ ดังนี้...


A. การพยายามทำข้อเสนอธรรมดา ๆ ให้เป็นข้อเสนอพิเศษ

ในการโฆษณาหรือจัดรายการส่งเสริมการขาย นักการตลาดในยุคนี้ชอบตีปี๊บให้ดัง ทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่า เป็นข้อเสนอที่ยิ่งใหญ่ในรอบ 10 ปี ไม่เคยมีใครให้มาก่อน เป็นข้อเสนอที่ลูกค้าจะไม่ได้พบที่ไหนอีก พลาดไม่ได้

เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้น จากนั้นไม่นานลูกค้าจะพบกับข้อเสนอที่ว่า แทบไม่ได้ต่างจากข้อเสนอของรายอื่นที่ให้กันอยู่ในตลาด

ที่แย่กว่านั้นก็คือ ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ทางบริษัทก็เสนอส่วนลดหรือข้อเสนอที่ดีกว่าขึ้นมาอีก

วันนี้นักการตลาดเอาทองมาแจกลูกค้ามูลค่าแค่ 5 ล้านบาท แต่ทุ่มโฆษณารายการส่งเสริมการขายด้วยงบเกือบ 50 ล้าน ค่าสื่อเป็น 10 เท่าของมูลค่าของที่แจกให้ลูกค้า บางทีของแถมมีต้นทุนแค่ 5 บาท ทำรีทัชให้ของที่เห็นในโฆษณาดูดี ดูมีค่าหลายร้อย

ข้อเสนอที่เป็นราคาคุยแบบนี้ สร้างความคาดหวังให้กับลูกค้าสูงกว่าสิ่งที่นักการตลาดให้กับลูกค้าได้จริง ซึ่งตามทฤษฎีการสร้างความพึงพอใจของลูกค้าแล้วถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเพราะทำให้ลูกค้าผิดหวัง (สู้ไม่หวังแล้วได้ จะทำให้ลูกค้าพอใจมากกว่า)

::::::::::::::::::


B. Good Promotion but bad Operation

คือ รายการส่งเสริมการตลาดที่ดี เกิดมาด้วยความตั้งใจดีของนักการตลาดแต่ลืมคิดถึงตอนดำเนินการหรือดำเนินการได้ไม่ดี (บางครั้งอาจเกิดจากการตอบรับของลูกค้าสูงกว่าที่คาดไว้มาก) ทำให้ลูกค้าไม่พอใจและคิดว่ากำลังโดนหลอก

Ex1 : ในธุรกิจโทรศัพท์มือถือที่จัดรายการโปรโมชั่นแสนเร้าใจให้โทรฟรี โทรถูกแสนถูก แต่โทรไม่ค่อยติดเพราะรายการส่งเสริมการขายไปกระตุ้นให้เกิดการใช้งานที่สูงเกินกว่าที่ระบบจะรองรับได้ดี

Ex2 : “ของแถมหมด” เป็นอีกคำพูดหนึ่งที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า นักการตลาดไม่มีความรับผิดชอบ ไม่รักษาคำพูด และหลายคนรู้สึกว่ากำลังโดนหลอกอยู่

ทำไมห้างใหญ่ ๆ ที่ มีระบบการจัดการที่ดี สินค้าแทบไม่เคยขาดจากชั้นวางสินค้า แต่ก็ไม่เคยจัดหาของแถมได้พอดีกับสินค้า ทำให้เมื่อจ่ายเงินไปแล้วลูกค้าไม่ได้รับของแถมที่ตนคาดหวังไว้ว่าจะต้องได้รับ

ร้านค้าปลีกหลายแห่งในสหรัฐอเมริกามีนโยบายให้คูปองสำหรับลูกค้ากลับมารับของแถมภายหลัง หากของแถมหมด โดยลูกค้าสามารถมารับได้ถึงแม้จะสิ้นสุดรายการส่งเสริมการขายนั้นแล้วก็ตาม แต่ในเมืองไทย...ยังไม่เคยเห็นใครใช้นโยบายนี้อย่างจริงจัง

จริง ๆ ปัญหานี้ก็น่าเห็นใจนักการตลาด...เพราะกลยุทธ์และกิจกรรมทางการตลาด นักการตลาดเป็นคนคิด แต่ตอนแจกแถมสินค้าให้ลูกค้าจริง ๆ จะต้องเกี่ยวข้องกับฝ่ายอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของนักการตลาด

บางที...โรงงานที่ผลิตของแถมผลิตของให้ไม่ทัน ทำให้ของขาด บางทีคนกลางในช่องทางจำหน่ายอมของแจกแถม เก็บไว้เองเพื่อนำไปแยกจำหน่าย ทำให้ของแถมที่ให้ไปไม่พอดีกับสินค้า แต่นั้นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่นักการตลาดจะปฎิเสธความรับผิดชอบ

::::::::::::::::::


C. เงื่อนไขที่ซ่อนไว้ในข้อเสนอ ในโฆษณา และสัญญาขาย

สินค้าในปัจจุบัน ดูจะมีหมายเหตุด้านล่างหรือดอกจัน ประกอบเยอะมาก ด้วยตัวอักษรที่เล็กจนแทบอ่านไม่ออก ขณะที่ข้อเสนอที่ใช้เป็นเครื่องจูงใจลูกค้าใช้ตัวอักษรขนาดมหึมา สีสดใส ชัดเจน

อย่างโฆษณาบ้านจัดสรร ที่ลงรูปบ้านใหญ่โตสวยงาม พร้อมราคาตัวใหญ่ๆ ว่า 2.5 ล้านบาท แต่มีดอกจันตัวเล็ก ๆ ว่า เป็นราคาเริ่มต้น เมื่อลูกค้าไปถึงที่โครงการพร้อมถือหนังสือพิมพ์ที่โฆษณาลงไป จะพบว่าบ้านราคา 2.5 ล้านในโครงการ มีขนาดเล็กกว่าที่เห็นในโฆษณา ถ้าจะเอาแบบที่เห็นในโฆษณา ราคาก็โดดขึ้นไปเป็น 4 ล้านกว่า

ในธุรกิจโทรศัพท์มือถือ บัตร Prep aid แต่ละรายก็จะมีเงื่อนไขการใช้ที่จุกจิกมาก จนลูกค้าสับสน เหล่านี้นำไปสู่ความรู้สึกที่ไม่ดีและไม่ไว้วางใจนักการตลาด

::::::::::::::::::


D. โฆษณาที่พยายามทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกว่าเป็นโฆษณา

โดยหลักการแล้วนักการตลาดรู้ดีว่า ข้อความข่าว หรือบทความในหนังสือหรือในรายการโทรทัศน์ ทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อถือได้ดีกว่าโฆษณา

ปัจจุบันจึงมีการทำโฆษณาในรูปบทความหรือสารคดีสั้น หรือกระทั่งการนำสินค้าเข้าไปนำเสนอในรูปเชิญผู้บริหารของบริษัทเป็นแขกรับเชิญไปสนทนากับพิธีการรายการในลักษณะการสนทนาเพื่อเชียร์สินค้ากันมาก

ทางรายการหรือเจ้าของสื่อก็ได้รับเงินค่าโฆษณา ทางเจ้าของสินค้าก็ได้นำเสนอสินค้าอย่างน่าเชื่อถือ แต่สำหรับลูกค้าล่ะ เขาได้อะไร ?

ในอดีต สื่อจะแยกส่วนของเนื้อหาออกจากโฆษณาอย่างชัดเจน แต่ปัจจุบันนักการตลาดก็พยายามนำผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนเข้าไปแทบเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหา

ในรูป Cover Story บทสัมภาษณ์พิเศษ โฆษณาในรูปบทบรรณาธิการหรือบทความ โดยหนังสือบางฉบับยังแยกให้ลูกค้าเห็นความแตกต่างโดยการระบุที่มุมหน้านั้น ๆ ว่า “เนื้อที่โฆษณา”

ซึ่งนักการตลาดก็ดูจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก เพราะที่พยายามหารูปแบบตัวอักษร วิธีการเขียนให้คล้ายคอลัมน์ในหนังสือนั้น ๆ ก็เพราะไม่อยากให้ลูกค้ารู้ว่าเป็นโฆษณา

จนเดี๋ยวนี้นิตยสารและหนังสือพิมพ์หลายฉบับตีพิมพ์บทความโฆษณาโดยไม่ระบุแล้วว่าเป็น “เนื้อที่โฆษณา”

เจ้าของหนังสือบางรายยังช่วยให้นักการตลาดหาวิธีนำเสนอสินค้าแฝงในคอลัมน์ประจำของหนังสือด้วย

ตัวลูกค้าเองในฐานะผู้เสียเงินซื้อหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารจะรู้สึกอย่างไร เมื่อรู้ว่าบทความหรือเนื้อหาข่าวที่เขาอ่านอยู่ไม่ได้ถูกเขียนโดยอิสระ แต่ถูกเขียนตามสคริปต์เพื่อขายสินค้า

::::::::::::::::::


E. งานวิจัยที่ไม่หวังแค่ผลวิจัย แต่ต้องการนำชื่อ-ที่อยู่ ของลูกค้าไปทำ Direct Marketing ต่อด้วย

ทุกวันนี้มีนักการตลาดที่ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการหารายชื่อลูกค้าและคัดเลือกลูกค้าเพื่อนำไปใช้ในการทำการตลาดทางตรง

เช่น การโทรมาเสนอขายสินค้าหรือนำชื่อ-ที่อยู่ ผู้ตอบแบบสอบถามไปขายให้กับบริษัทอื่นเพื่อทำ Direct Mail หรือ Tele Marketing โดยไม่ขออนุญาตจากลูกค้า

ทำให้ลูกค้าทุกวันนี้ไม่ค่อยไว้ในในการให้ข้อมูลในการตอบแบบสอบถามเท่าที่ควร

::::::::::::::::::


ที่ยกมา 5 ข้อ ...เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น

ที่เราพบกันในโลกการตลาดวันนี้...ยังมีอีกหลายประเด็นที่นำไปสู่การที่ลูกค้าลดความไว้วางใจนักการตลาดลง ทั้งกับแบรนด์ใหญ่ ๆ ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน และกับแบรนด์เล็ก ๆ ที่เพิ่งแจ้งเกิด

นักการตลาดจะเรียกร้องให้ลูกค้าเชื่อใจ ไว้ใจได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่ท่านทำกับลูกค้าวันนี้ บ่อยครั้งเป็นคำสัญญาที่ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง

ท่านเลือกพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวให้ลูกค้าฟัง

ท่านซ่อนเงื่อนไขบางอย่างไว้ หลังเครื่องหมายดอกจัน โดยคิดว่าลูกค้าส่วนใหญ่คงจะไม่อ่าน

แน่นอนว่า คงมีนักการตลาดหลายท่านแย้งว่า...บริษัทของท่านไม่ได้ทำเช่นนี้

ใช่ เชื่อว่าในบ้านเรามีนักการตลาดที่มีมาตรฐานสูงด้านความรับผิดชอบต่อลูกค้า

แต่ก็เห็น ๆ กันอยู่ทุกวันนี้...ด้วยสภาพการแข่งขันที่รุนแรงและเน้นกันที่เป้าการขายและกำไร มากกว่าความรู้สึกของลูกค้าที่มีต่อตรายี่ห้อ

โดยไปมองว่า...การสร้างแบรนด์เป็นเรื่องของการสื่อสารการตลาดที่ไว้ใจให้บริษัทโฆษณามืออาชีพมาดูแล โดยลืมนึกถึงความรู้สึกจริง ๆ ของลูกค้าเมื่อต้องการติดต่อกับบริษัทที่ผ่านบุคลากรอย่างพนักงานขาย, Call Center หรือฝ่ายรับประกัน...เมื่อสินค้ามีปัญหา

ลองคิดดูนะครับว่า ท่านจะอยู่ได้อย่างไร...ถ้าลูกค้าไม่ไว้ใจ !?

::::::::::::::::::


Credit : รศ.วิทวัส รุ่งเรืองผล | Marketeer บทความ "เมื่อลูกค้าไม่ไว้ใจนักการตลาด
...................................................................................................................


การรู้คำตอบของทุกคำถามไม่ได้ช่วยให้มั่นใจมากขึ้น
ความพร้อมที่จะเผชิญกับทุกคำถามต่างหากคือความมั่นใจอันแท้จริง
..................................................................................................................


เมื่อคนึงก็ถึงฯ
ประภาส ชลศรานนท์

คำถาม
ทุกครั้งที่เห็นรูปผู้ชายคนที่ทั้งรักทั้งเกลียดติดอยู่ในบ้านพี่สาว อยากเข้าไปดึงขว้างทิ้ง เป็นรูปหมู่ครอบครัวที่ถ่ายกันหลายคนใส่กรอบติดผนังอยู่ ถ้าไม่เกรงใจพี่สาวกับแม่ อยากทำลายมันทิ้งทุกครั้งที่เห็น เราควรทำยังไงดี เลิกไปบ้านพี่สาว หรือไปแต่อย่ามองรูป ยอมรับว่าไม่มีความสุข ทั้งๆที่พยายามลืม
"เราเอง"
...................................

คำตอบ
ผมเพิ่งได้สัมภาษณ์น้องผู้หญิงสองคนที่คิดว่าจะรับมาทำงานด้วย
อันที่จริงผมก็ไม่ได้มีหน้าที่ในการสัมภาษณ์พนักงานมาก็หลายปีแล้ว เว้นเสียแต่ว่ามีกรณีพิเศษ หรือมีผู้จัดการคนไหนอยากให้ผมไปช่วยสัมภาษณ์ผมก็จะเข้าไปช่วยฟังช่วยวิจารณ์ แค่นั้น แต่รายนี้นี่ผมต้องลงไปเป็นมวยแทนด้วยเหตุจำเป็นบางประการ

ที่ยกเรื่องน้องทั้งสองคนมาเล่า ก็เพราะทั้งคู่เคยมาผ่านงานมาหลายบริษัทเหมือนกัน และก็เคยผ่านบริษัทเดียวกันมาแล้วด้วย ทั้งสองคนไม่เคยเจอกันและไม่รู้จักกัน ผมคุยกับคนแรกวันจันทร์ แล้วพอถึงวันศุกร์ก็ได้คุยกับอีกคนหนึ่ง

แม้จะห่างกันถึงสี่วันแต่ก็ทำให้ผมรู้สึกคิดถึงเธอขึ้นมาทั้งสองคนพร้อมกัน ทันทีที่อ่านจดหมายของ “คุณเราเอง” จบ

ยังไม่เล่าเรื่องน้องสองคนนะครับ แต่จะขอทดลองตอบคำถามประเภทปัญหาหัวใจดูบ้าง ผมคิดว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับ “การเลือกมองชีวิต”

ก่อนปิดเทอมเมื่อปีที่แล้ว พอผมบอกกับลูกๆว่าวันหยุดที่จะถึงนี้เราจะไปหัวหินกัน นอกจากเรียกเสียงเฮลั่นแล้วผมว่าผมยังได้เห็นแววตาสนุกสนานผุดพรายขึ้นมาในดวงตาของเด็กๆทันที

และผมก็เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายคนก็เป็นอย่างนั้น พอเรามีแผนการณ์ที่จะไปเที่ยวหรือไปพักผ่อนที่ไหนสักแห่ง เราทุกคนก็มักมีการเตรียมตัว สาวๆหลายคนคิดไปถึงว่าจะแต่งตัวอย่างไร บ้างก็ไปเดินหาซื้อของที่ยังไม่ครบ หลายคนจัดกระเป๋าแต่เนิ่นๆ

มีความสุขออก จริงไหมครับ

สำหรับผมแล้วผมถือว่าชีวิตเรานั้น ไปอยู่ที่หัวหินตั้งแต่คิดว่าจะไปแล้ว
ผมไม่ได้มองชีวิตว่ามันอยู่แค่ปัจจุบัน

หลังจากนั้นพอมันผ่านไปสักปี สองปี หรือมากกว่านั้น เราก็จะมาดูรูปที่เคยถ่ายตอนไปเที่ยว ผมคนหนึ่งละที่ชอบถ่ายรูปเป็นจำนวนมากเวลาไปเที่ยวหรือมีกิจกรรมพิเศษกับผู้คนในชีวิตของผม ผมถ่ายเยอะมากจนบางครั้งร้านอัดรูปถามกลับเลยว่า อัดทุกรูปเลยหรือเปล่า

ผมรู้สึกเสมอว่า ทุกครั้งที่เราดูรูปถ่าย ชีวิตเราก็จะไปอยู่ในช่วงเวลาในรูป
เสียงเพลงก็ทำให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน พอได้ฟังเพลงบางเพลงที่มันเคยอยู่ในเหตุการณ์ที่เรามีความทรงจำ ชีวิตเรามันก็ได้กลับไปอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง

ที่สำคัญ เราสามารถเลือกที่จะอยู่ตรงไหนก็ได้ในอดีต

ผมใช้คำว่า “ตรงไหนก็ได้” นี่เพราะผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ ที่หัวหินหกเจ็ดปีก่อนที่ไปเที่ยว ลูกชายผมเหยียบแง่งหินจนเท้าเลือดออก แผลใหญ่มากจนถูกห้ามลงน้ำทะเล ความสนุกมันก็หายไปบ้างตามธรรมดา ต้องนับว่าเป็นการไปเที่ยวทะเลที่กร่อยที่สุดของพวกเรา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ได้กลับมาดูอัลบั้มรูปที่ไปเที่ยวหัวหินครั้งนั้นเมื่อไร ผมก็ยังรู้สึกว่าชีวิตที่ได้กลับไปอยู่ในห้วงเวลานั้นมันก็มีความสุขดีนี่ ไม่ได้กร่อยไปเสียทั้งหมด

เราเลือกที่จะอยู่ตรงไหนในอดีตได้จริงๆนะครับ “คุณเราเอง” ไอ้ตรงที่สุขมันก็มี ไอ้ตรงที่ทุกข์มันก็มาก ผมไม่เถียงหรอกครับ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้วมีหรือที่จะไม่เคยเจ็บปวด

คุณเองก็บอกว่า ผู้ชายคนนั้นคุณทั้งรักทั้งเกลียด

ทีนี้ก็ต้องเลือกเองแล้วละครับ ว่าเวลามองรูปถ่ายที่บ้านพี่สาวคุณ คุณอยากมองชีวิตช่วงไหนของคุณมากที่สุด

ไม่รู้สิครับ ต่อให้มองกลับไปถึงชีวิตสมัยเป็นนักเรียนบ้านนอก ผมก็ไม่เคยรู้สึกเกลียดชังครูคนที่จ้องจะตีผมอย่างเดียว ถ้าใช้ประโยคเดียวกันก็ต้องพูดว่าผมเลือกที่จะนึกถึงตอนดีๆของท่านได้

ในประวัติศาสตร์นั้น อังกฤษกับฝรั่งเศส จ้องจะงาบแผ่นดินเราอยู่ตลอดเวลา ถามว่าเราควรจะเกลียดสองประเทศนี้ไหม เราควรจะเลิกคบกับเขาไหม ตอนที่เขาดีกับเรามันก็มี ตอนที่เขาเอาเปรียบเรามันก็เยอะ ที่ดีที่สุดในความคิดผมก็คือเมื่อเราเป็นมิตรกันแล้ว เราต้องนึกถึงตอนที่เราดีๆต่อกัน แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราจะลืมตอนที่ไม่ดีต่อกันนะ

อย่างไรก็ห้ามลืมนะครับลูกหลานไทยทั้งหลาย

เรื่องของ “คุณเราเอง”ก็เช่นกัน ผมไม่รู้ว่าผู้ชายคนที่คุณทั้งรักทั้งเกลียดทำอะไรไว้กับคุณบ้าง แต่สิ่งที่เขาทำไว้กับคุณอย่างไรก็ไม่ควรลืม แต่ควร “จบ”

มีคนบอกว่าอะไรที่มันผ่านๆไปแล้ว ลืมๆไปเถอะ อย่าไปสนใจ ตรงนี้ผมไม่เห็นด้วยครับ ผมว่าความผิดพลาดนี่ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะลืม และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะพยายามลืมด้วย ของพรรค์นี้ยิ่งพยามยามก็จะยิ่งทุกข์
แล้วคำว่า “จบ”ของผมแปลว่าอะไร

พระท่านก็พูดบ่อยๆว่า เราต้องไม่ลืมแต่เราต้องให้อภัยและระวังไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีก “จบ”ในความหมายของผมก็คือ สะอาด หมดจด จะแพ้จะชนะก็หมดจด จะเจ็บก็เจ็บอย่างเข้าใจ จะจากก็จากอย่างเพื่อน
ไม่ลืมแต่ให้อภัย ทั้งให้อภัยเขาและให้อภัยตัวเอง

ตอบคุณเราเองห้วนๆอย่างนี้แหละครับ
แล้วก็จบห้วนๆแค่นี้ด้วย สำหรับการทดลองตอบปัญหาหัวใจที่ผมไม่ถนัดเลย

กลับไปที่เรื่องสัมภาษณ์น้องผู้หญิงสองคนที่ผมเล่าค้างไว้ต่อ
คนแรกนั้นหลังจากแนะนำตัวแล้ว ผมก็ถามว่าทำไมถึงอยากเปลี่ยนงาน ที่นั่นผู้คนเป็นอย่างไรบ้าง เธอก็เริ่มเล่า ผมฟังไปก็ได้แต่ทำหน้าจ๋อยๆ แล้วก็บอกตัวเองว่าน่าสงสารเหลือเกิน ไม่รู้ว่าสงสารเธอผู้นั้น หรือสงสารคนที่ทำงานเก่าของเธอ

คำพูดของเธอแม้จะไม่กี่คำแต่ได้ทำให้ผู้คนที่เธอเคยทำงานด้วยกลายเป็นปีศาจไปหมดบริษัทแล้ว นั่นคือคนที่นั่นทั้งเล่นการเมือง เหยียบหัวคนอื่น เอาหน้าเจ้านาย ไม่มีความเอื้อเฟื้อ ขาดความคิดสร้างสรรค์ และรุนแรงจนไปถึงมีการแทงข้างหลังด้วย

ผมฟังแล้วผมก็บอกเธอไปว่าคนที่นี่ก็คงไม่ต่างจากที่นั่นเท่าไรน
ผมพูดอย่างนั้นจริงๆครับ

น้องคนที่สองที่ผมสัมภาษณ์ เธอเอาผลงานที่เธอเคยทำไว้มาให้ดูด้วย ไอ้ตัวงานน่ะดูแล้วผมก็ยังไม่ค่อยถูกใจนัก คุยเรื่องผลงานเธออยู่สักพักก็เลยคิดว่าน่าจะลองถามความเห็นเธอเกี่ยวกับผู้คนในที่ทำงานเก่าดูบ้าง

เธอบอกว่าผู้คนที่นั่นดีมาก ขยันขันแข็ง และมีความอาทรต่อกัน ยิ่งเจ้านายยิ่งดีใหญ่เพราะใกล้ชิดพนักงานเหมือนลูกเหมือนหลาน พนักงานส่วนใหญ่ก็สามัคคีรักใคร่กันดี ผมฟังแล้วผมก็ทำหน้าสงสัยว่าบริษัทดีออกอย่างนั้นแล้วจะลาออกทำไม และยังไม่ทันออกปากถาม เธอก็รีบบอกสาเหตุของการเปลี่ยนงานของเธอว่า เกิดจากบริษัทกำลังเปลี่ยนลักษณะของธุรกิจไปทำอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเธอคิดว่าเธอไม่เหมาะกับตรงนั้น

ก่อนออกจากห้อง เธอขออนุญาตถามผมคำถามหนึ่ง พอผมอนุญาต เธอก็ถามว่า แล้วคนที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง
ฟังคำถามเธอแล้วผมก็นึกถึงน้องคนแรกขึ้นมาทันที แล้วก็เลยบอกเธอไปว่า ก็คงไม่แตกต่างจากที่ทำงานเก่าคุณเท่าไร

ไม่เล่าต่อนะครับว่าผมรับคนไหนเข้าทำงาน เพราะมันไม่ใช่ประเด็นของวันนี้ แต่พอได้มานึกถึงเรื่องนี้กับได้มาตอบคำถามของ “คุณเราเอง” ทำให้ผมนึกไปถึงประโยคสั้นๆ ที่เคยเขียนไว้ในสมุดโน้ตเมื่อครั้งยังอยู่ในวัยที่นิยมชมชอบกับการหาคำมาผูกกลอนเล่น

ตอนที่เขียนนั้นยอมรับว่าเขียนไปด้วยความอยากหาคำสวย แค่นั้น และพอเขียนไปแล้วก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันจะดีเด่อะไรด้วย ผมเขียนไว้ว่า
“เมื่อคนึงก็ถึง เมื่อเห็นก็เป็น”
กลับมาอ่านวันนี้ ผมว่าก็ฟังดูครึ้มอกครึ้มใจดีเหมือนกัน
................................................
.........................................................................................................................

จาก Status: ขยะความคิด

ว่ากันตรงไปตรงมาเลยนะ

1. ถ้าเทียบกับทั้งโลกแล้ว ระบบการแพทย์ของไทยเป็นสิ่งนึงที่ผมภาคภูมิใจในประเทศนี้จริงๆ เพราะในทรัพยากรจำกัดกว่าประเทศอื่นๆ มากมาย เรากลับสามารถใช้รักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงเกือบที่สุดในโลก แทนที่จะเรียกว่าประเทศเกษตร จริงๆ น่าจะเรียกว่าประเทศการแพทย์ได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าคุณบอกว่าห่วย ต้องบอกก่อนว่าคุณไปอยู่ในอเมริกาหรือบางที่ ไม่มีเงินคือไม่มีสิทธิ์แม้แต่รับการตรวจด้วยซ้ำ

2. เรื่องสองสามมาตรฐาน อันนี้ก็ว่าไป แต่โดยส่วนมาก ก็ต้องยอมรับความจริงก่อนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะคาดหวังมาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาลเอกชน แต่ถ้าในรัฐด้วยกัน ก็ต้องว่ากันไปอีกว่าทางเค้าระบบเป็นยังไง แต่ผมว่าแทนที่คุณจะใส่ใจว่ามันสองมาตรฐานมาน้อยเนื้อต่ำใจไร้สาระ คุณควรจะบอกว่า "คนจน" ได้รับการบริการที่ "ไม่เหมาะสม" อย่างไร คือคุณต้องยอมรับก่อนว่าในระบบที่เงินขาด คนจนแม่งก็ต้องได้รับการรักษาขั้น Minimum อยู่แล้ว เพื่อให้ได้จำนวนเยอะที่สุด ดังนั้นประเด็นจึงไม่ใข่ว่าคนรวยได้รับการรักษาดีกว่า อันนั้นทุกคนรู้ และไม่มีวิธีเลี่ยงได้เลย แต่ประเด็นคือแล้วคนจนได้รับการรักษาดีพอยอมรับได้หรือไม่ คุณควรจะเล่นประเด็นนี้ ไม่ใช่ไปน้อยเนื้อต่ำใจกันอยู่นั่น

3. บิล เกตส์ ตั้งมูลนิธิ เกตส์-เมลินดา ด้วยเงิน 36.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาทไทยก็ 1 ล้านล้านบาท ยังตั้งโรงพยาบาลช่วยเหลือแบบยังงั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยังไงสุดท้ายก็ยังต้องปล่อยให้โรงบาลรันเองได้ในระดับนึง คือจริงๆ มีความฝันอยากช่วยเหลือคนน่ะดีครับ แต่พอผมเห็น Hatred ที่ปากเก่งว่าพอรวยแล้วจะทำงั้นงี้ คนรวยแม่งงก ผมก็อดสวนไม่ได้ว่าความจริงการช่วยเหลือคนในสเกลใหญ่มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิด เกตส์ รวยที่สุดในโลก ยังมีปัญญาทำแค่ระดับเดียว เศรษฐีไทยไม่ต้องคุยกันเลยดรับ (แต่ CSR ของ SCG, PTT ก็ไม่น้อยนะครับ)

4. 30 บาทดีหรือไม่อันนี้ผมไม่ขอยืนยัน แต่สิ่งที่ผมบอกได้คือถ้าคุณต้องการช่วยคนจนในปริมาณมาก ต้องการช่วยเหลือให้คนในสังคมได้รับมาตรฐานการรักษาที่ดี คุณต้องสร้างระบบสาธารณสุขขึ้นมา จะเป็นระบบอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้คนจนเข้าถึงการรักษา ไม่ต้อง 30 บาทก็ได้ แต่ต้องมีระบบซักอย่างรองรับ ไอ้การล้มระบบสาธารณสุขแล้วมาช่วยกันแบบเป็นเคสๆ บริจาคเงินทีละคนสองคน ถ่ายรูปแล้วก็ฟินว่านี่แหละคือวิธีที่ดีกว่า 30 บาท ผมว่าแม่งปัญญาอ่อนเหี้ยๆ อ่ะครับ คุณไม่เอา 30 บาทก็ได้ แต่ถ้าอยากช่วยคนในปริมาณมาก ยังไงก็ต้องสร้างระบบครับ ไม่ใช่ล้มระบบแล้วมาช่วยเป็นคนๆ ปัญญาอ่อนเหี้ยๆ

แต่พอคุณสร้างระบบที่ช่วยคนทุกคนจริงๆ คุณจะเข้าใจครับว่าทำไมมาตรฐานการรักษามันถึงต้องลดหลั่นกันไป โอเค คุณไม่อยากให้ลดหลั่น ไม่ชอบสองมาตรฐาน มันก็มีสองทางเลือก
1. เพิ่มมาตรฐาน พยายามให้ทุกคนได้เท่ากัน แต่ก็จะมีคนหลุดจากระบบมากขึ้น
2. พยายามดึงให้ทุกคนมีโอกาสรักษา แต่มาตรฐานต่ำลงมาหน่อย

จะเอาแบบไหนก็เลือกมาครับ มันได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นแหละ

ส่วนเรื่องที่ว่าหมอทำงานไม่เต็มที่ ดังนั้นเราจึงสามารถเพิ่มมาตรฐานได้โดยไม่จำเป็นจะต้องมีคนป่วยหลุดจากระบบ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่ เพราะอย่างที่ผมบอกแต่ต้นเรื่อง เทียบ Relatively แล้ว ประสิทธิภาพการรักษาต่อทรัพยากรของไทยเราสูงกว่าประเทศเจริญแล้วเสียอีก สมมติฐานนี้ดูแล้วยากที่จะเป็นจริงมากๆ ครับ



ดูเหมือนว่าพี่บิณฑ์จะยังไม่เข้าใจระบบประกันสุขภาพของไทยซักที รพ รัฐทุกวันนี้ใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า ยากดีมีจนก็ใช้ได้หมด ค่าธรรมเนียมสามสิบบาท ถ้าพี่บิณฑ์ได้อ่านเงื่อนไขจะรู้ว่าเงินสามสิบบาทนี้ถ้าไม่มี ไม่อยากจ่าย ก็ไม่ต้องจ่ายก็ได้ รพ ไม่ได้บังคับเก็บและถึงจะไม่จ่ายสามสิบบาทก็ยังได้สิทธิการรักษาทุกประการ ส่วนการถามชื่อนามสกุลผู้ป่วย คือการเอาชื่อไปตรวจสอบในฐานข้อมูลของ สปสช ว่าผู้ป่วยใช้สิทธิการรักษาแบบไหน ประกันสังคม สามสิบบาท เบิกตรง บลาๆ ไม่ได้แปลว่ารพ รัฐ รับรักษาแต่คนไข้นามสกุลดังๆเท่านั้น ถ้ามี รพ ไหนเลือกรักษาคนไข้ที่นามสกุลก้อเอามาแฉเลยอย่าพูดลอยๆแบบนี้ จริงอยู่ที่การให้การรักษาพยาบาลของไทยในปัจจุบันมีปัญหาเยอะมาก บริการก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรแต่ปัญหาเกิดจากความขาดแคลนทรัพยากรและคุณภาพของบุคลากร เราสามารถช่วยกันแก้ไขปัญหาได้ ขอแค่เราเอาปัญหาจริงๆมาพูดคุยกัน ไม่ใช่มโนไปเองว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก้อไม่ได้อยากว่าพี่บิณฑ์ซักเท่าไหร่เพราะรู้ว่าพี่แกหวังดีกับคนจนจากใจจริง แต่ช่วยเลิกมโนคิดเองเออเอง แล้วพูดให้วงการแพทย์และสาธารณสุขดูเลวร้ายกว่าความเป็นจริงเพราะความมโนของพี่บิณฑ์ซักทีเห๊อะ

Ice Nachai อืม ผมเข้าใจทั้งพี่บิณฑ์และพี่พงศ์นะ แต่ข้อที่สี่ "ถ่ายรูปแล้วก็ฟินว่านี่แหละคือวิธีที่ดีกว่า 30 บาท ผมว่าแม่งปัญญาอ่อนเหี้ยๆ อ่ะครับ คุณไม่เอา 30 บาทก็ได้" 
ผมว่าพี่บิณฑ์เค้าไม่ได้ล่มระบบ เพื่อมาช่วยเป็นคนๆนะครับ 
เค้าแค่มีโอกาสช่วยคน จากที่ผมอ่านเค้าไม่โจมตีระบบ 
เค้าโจมตีเป็นกลุ่มคนที่ละเลยการดูแลผู้ป่วยมากกว่า
เค้าอาจจะประสบเหตุอะไรมาเราก็ไม่รู้ได้ ที่มันอาจจะแย่ๆก็ได้
................................................................................................................


เรื่องความคิดเห็น นี่สำคัญนะครับ
หลายคนยึดเชื่อ จนลืมไปว่า นั่นมันแค่ความคิด
คนที่คิดสร้างสรรค์ จึงไม่ทะเลาะ หรือโกรธกันง่ายๆ
ด้วยเรื่องแค่ เขาคิดต่างจากเรา
.................................................................................................................



ถ้าเป็นคุณจะเลือกใครเข้าทำงาน

ในการสัมภาษณ์งานเพื่อหาผู้จัดการแผนกคนใหม่ของบริษัทแห่งหนึ่ง

CEO ของบริษัทมาสัมภาษณ์ด้วยตนเอง โดยมีปัญหาเชาว์ง่าย ๆ ว่า
...
"สอง กับ สอง เป็นเท่าไร?"

คนแรก เป็นนักหนังสือพิมพ์ คิดสักครู่ แล้วจึงตอบอย่างตรงไปตรงมาอย่างมืออาชีพ

"ยี่สิบสองครับ"

คนที่ 2 เป็นวิศวกร ควักเครื่องคิดเลขกดผิดกดถูกสักครู่แล้วตอบว่า

"คำตอบอยู่ระหว่าง 3.9 กับ 4.1 โดยมีระดับความเชื่อมัน 95% ตามหลักวิชาสถิติครับ"

คนถัดไปเป็นนักกฎหมาย พูดช้า ๆ ว่า

"จากข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัด และความกำกวมของภาษา ผมขอตั้งสมมติฐานว่า คำว่า กับ หมายถึง บวก

ดังนั้น สองกับสอง ก็คือ สองบวกสองซึ่งเท่ากับสี่ครับ"

คนสุดท้ายเป็นนักบัญชี พอถูกถามคำถามเดียวกันก็สบตา CEO แล้วก็ลุกไปปิดประตู แล้วกลับมานั่งที่เดิม

โน้มตัวเข้าไปใกล้เล็กน้อย แล้วถามกลับเบา ๆ แต่หนักแน่นว่า

"ท่านประธานต้องการให้เป็นเท่าไรล่ะครับ?"

คงทราบนะครับว่าใครจะได้งานนี้ไป
@Chatree C.Sinsup
..............................................................................................................



Friedrich Wilhelm Nietzsche, German writer (1844-1900)

"การเป็นคนลึกซึ้งและแสร้งเป็นคนลึกซึ้งนั้นต่างกัน ใครก็ตามที่รู้ว่าตนเองเป็นคนลึกซึ้ง ย่อมมุ่งหาความกระจ่างชัด ทว่าใครก็ตามที่อยากแสร้งให้ฝูงชนเห็นว่าตนเป็นคนลึกซึ้ง ย่อมมุ่งสู่ความคลุมเครือ ทั้งนี้เพราะฝูงชนจะถือว่าสิ่งใดลึกซึ้งต่อเมื่อสิ่งนั้นไม่อาจเห็นไปถึงก้นบึ้ง ฝูงชนนั้นช่างตาขาวและหวาดกลัวเกินกว่าจะทิ้งตัวลงในน้ำ"- Friedrich Nietzsche (Gay Science)

ภาพ: unnaturaldesirez.blogspot.com

ขอบคุณ Don Buapradit สำหรับการแนะนำข้อความนี้ด้วยครับ
...........................................................................................................................

.........................................................................................................................



การสร้างพระกันมากมาย ทำให้คนยิ่งโง่งมงาย

เวลานี้เกิดพระเล็กๆขึ้นมากมาย หล่อกันขายกันเพื่อสร้างนั่นสร้างนี่ ใครจะสร้างอะไร เอ้า! หล่อพระขาย เพราะว่าคนชอบอย่างนั้นมีอยู่มาก ที่มีมากเพราะอะไร? เพราะเราไม่อธิบายให้คนเข้าใจ ไม่สอนให้เขารู้อะไรเป็นอะไร ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ ทิ้งไว้ให้โง่ต่อไป จะได้ไถ่สตางค์กันต่อไป ก็เลยทำพระขายกันบ่อยๆ

วัดใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ นี่...หลายวัดกลายเป็นสำนักผลิต "วัตถุ" ขายกัน พระนั้นพระนี่ ขายกันเรื่อยๆ อาตมาไม่ค่อยชอบเรื่องนี้ แอนตี้เรื่อย บางทีท่านผู้ใหญ่บอกว่า "ระวัง เดี๋ยวฝ่ายตรงข้ามรู้จะเอาไปเทศน์อีก" ความจริงอาตมาก็นั่งอยู่ตรงนั้นท่านจะว่าอาตมา แต่ไม่กล้าพูด "ระวังท่านปัญญาจะเอาไปเทศน์อีก" ไม่กล้าว่า แต่กลับว่าฝ่ายตรงข้าม ตรงกันข้ามแต่มันข้ามไปในด้านดี ด้านบริสุทธิ์ ด้านปัญญา ท่านผู้ผลิตไม่ใช่ด้านปัญญา... ด้านที่ทำให้คนโง่งมงาย กลัวฝ่ายด้านปัญญาจะติเอา

ท่านว่า"ระวังนะ เดี๋ยวฝ่ายตรงข้ามจะเอาไปติอีก"อาตมาก็นั่งยิ้มอยู่ในใจว่า "พิโธ่เอ๋ย! รู้แล้วว่ามันโง่ แล้วจะทำไปทำไมกัน ...ทำให้คนโง่หลงทำไมกัน" เราก็เข้าใจผิดกันอย่างนั้น คือนึกว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นศิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นวัตถุมงคล เอานามพระพุทธเจ้ามาอ้างว่า "ได้เสก" ได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้

ถ้าพูดกันไม่เกรงใจใครก็เรียกว่า "มันไม่ได้เรื่องทั้งนั้น" ไม่ต้องเสกอะไร ไม่ต้องทำอะไร... ถ้าจะทำเป็นรูปพระก็ทำเป็นรูปงามๆดีๆ แล้วก็แจกไป...แจกฟรี เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจนะ นึกถึงพระบ่อยๆ ถ้ามีพระอยู่กับเนื้อกับตัวก็อย่าไปฆ่าใคร อย่าไปมัวเมาในกามารมณ์ อย่ามัวไปเล่นการพนัน อย่าไปเที่ยวกลางคืน อย่าคบเพื่อนชั่วเพื่อนร้าย สอนให้เขาประพฤติธรรมดีกว่าที่จะบอกว่า โอ้! นี่ศักดิ์สิทธิ์มาก หลวงพ่อองค์นั้นก็เสก หลวงพ่อองค์นี้ก็มาเสก มันไม่ได้เรื่องอะไร คนก็ไม่ดีขึ้นเพราะไม่สอนคนให้เข้าไปถึงเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า แต่ไปติดอยู่กับสิ่งนั้น

เลิกเชื่อไร้เหตุผล พึ่งตนและพึ่งธรรมะ หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ
หน้า ๒๓๑- ๒๓๒
.............................................................................................................

...........................................................................................................................



บางเรื่องที่วิทยาศาสตร์อธิบายได้เค้าก็ไม่เชื่อนะครับ ยังเชื่อว่ามันเป็นวิญญาณ เป็นผี เป็นโน่นเป็นนี่/000

ต้นฉบับ
http://i.imgur.com/cmouEhM.jpg
................................................................................................................

............................................................................................................................


อย่าแค่งดบุหรี่ในวันงดสูบบุหรี่โลกวันเดียวนะครับ
เราควรช่วยกันกำจัดเพื่ออนาคตของชาติด้วย
.........................................................................................................................



ทำไมต้องส่งเรื่องสั้นก่อน?
(โพสนี้อยู่ในหมวด การดำเนินเรื่อง จ้ะ)

ความจริง ถ้ามีใครมาถามถึงวิธีเริ่มต้นเขียนเรื่อง ผมมักจะแนะนำให้ไปเขียนการ์ตูน 4 ช่องจบ หน้าเดียวจบ เสียด้วยซ้ำครับ (ฮา) ซึ่งคำอธิบายจะอยู่ในภาพทั้งหมดครับ

กราฟนี้ได้มาจากคุณชาติผู้เขียน Joe Seacret Agent พี่เขาเรียกว่ากราฟความสนุกครับ จะสังเกตได้ว่าความสนุกจะค่อยๆ เพิ่มไปจนถึงจุดที่สนุกที่สุดหรือที่เรียกว่าไคลแมกซ์นั่นเอง

ช่วงอินโทร
วิธีเล่าก็แล้วแต่สไตล์นักเขียน จุดสำคัญก็คือการเล่าถึงสภาพแวดล้อมของเรื่อง และกำหนดเป้าหมาย (ซึ่งมักเป็นไคลแม็กซ์ )ของเรื่องให้เร็วที่สุด เช่น เล่าว่าพระเอกเป็นกุ๊ยขาใหญ่ประจำโรงเรียน แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนขี้อาย เขาแอบชอบผู้หญิงคนหนึ่ง และให้คำมั่นกับตัวเองว่าวันนี้จะเข้าไปจีบเธอให้ได้

ช่วงดำเนินเรื่อง
เป็นการดำเนินเรื่องให้ไปให้ถึงไคลแมกซ์ พร้อมๆ กับค่อยๆ บิ๊วท์อารมณ์ผู้อ่านให้คล้อยตามเนื้อเรื่องไปด้วย เดี๋ยวข้างล่างจะบอกอีกทีว่าจะทำยังไงให้กราฟค่อยๆ ไต่ขึ้น

ช่วงไคลแมกซ์
ก็คือส่วนที่พีคที่สุดของเรื่อง เป็นบทสรุปของเป้าหมายที่เราบิ๊วท์มาตลอดทั้งเรื่อง เช่นถ้าเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับการแข่งขันก็จะได้ผู้ชนะ ถ้าเป็นการ์ตูนสืบสวนก็จะโชว์ปิดคดี ถ้าเป็นการ์ตูนโป๊ก็... (ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) ซึ่งเราอาจจะเลือกให้คนอ่านฟิน หรือจะหักหลังคนอ่านอย่างเลือดเย็นก็ได้ (ฮา การ์ตูนแก๊กนี่ตัวหักหลังเลยแหละ)

ช่องเอาท์โทร
เป็นช่วงเก็บตกปมที่เรายังไม่ได้คลี่คลาย แต่ถ้าหากไคลแมกซ์ทำได้เคลียร์แล้วก็อาจจะไม่มีส่วนนี้ หรืออาจจะใช้เปิดปมใหม่เพื่อบิ๊วท์ให้ผู้อ่านอยากอ่านต่อ เช่น มีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามา มีปัญหาที่ใหญ่กว่าเกิดขึ้นมา (สำหรับการ์ตูนซีรี่ย์)

จะทำอย่างไรให้กราฟไต่ขึ้น ?
อันนี้เราก็ต้องมีสกิลของนักอ่านติดตัวมาบ้างล่ะ ซึ่งกราฟความสนุกนี้ ก็อาจจะหมายถึงความน่าติดตามของเรื่องได้เหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผู้อ่านอยากติดตามก็ไม่มีชัดเจน ขึ้นอยู่กับแนวเรื่องด้วย
หลักๆ ที่พอจะนำมาประยุกต์ใช้ได้ก็อย่างเช่น

1. ผู้อ่านต้องรู้ได้ตลอดเวลาว่าเนื้อเรื่องไปถึงไหนแล้ว เป้าหมายปัจจุบันคืออะไร
2. ผู้อ่านต้องรู้สึกว่าเนื้อเรื่องได้เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ (เนื้อเรื่องคืบหน้าแบบเนื้อๆ )
3. ผู้อ่านเอาใจช่วยตัวละครให้ไปถึงเป้าหมาย (ทำให้ผู้อ่านตกหลุมรักตัวละคร )
4. อนึ่ง อาจใช้กฎ what (อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้) how (ตัวละครจะทำอย่างไรให้ไปถึงเป้าหมายได้-เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร) who (ใครคือคนร้าย) หรืออะไรทำนองนี้เป็นคีย์ให้ผู้อ่านอยากติดตามต่อได้ แต่ก็อย่าลืม 3 ข้อแรกที่บอกไป
5. ถ้ายังคิดไม่ออก ให้ใช้วิธี "ปั่นให้เรื่องวุ่นวาย" ครับ หาอุปสรรคมาขัดขวางตัวละครของเราเรื่อยๆ ดูพวกหนังปล้นธนาคาร-คาสิโนสิ เป็นแบบนี้ตลอด ไม่เคยเป็นไปตามแผนสักที ;_;b

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขียนจนจบแล้ว ไอ้คนเขียนเองก็อาจจะมัวแต่หลงภูมิใจจนมองข้ามข้อผิดพลาดไปได้ ทางที่ดีเมื่อเขียนเสร็จแล้ว ให้เก็บใส่ลิ้นชักสักวันสองวัน (เห็นว่าบทภาพยนตร์เขาเก็บกันครึ่งปี...) หลังจากเคลียร์สมองเสร็จแล้วก็กลับมาอ่านอีกครั้ง ก็จะช่วยให้เราพบจุดบกพร่องที่เรามองข้ามไปได้ (ของแบบนี้ยิ่งใช้เวลานานก็ยิ่งดีครับ)
หรือไม่อย่างนั้นก็ให้คนอื่น เช่น เพื่อน หรือ บก. มาช่วยอ่านงานของเราอีกรอบได้
อย่าลืมว่า แก้บท เป็นส่วนหนึ่งของการเขียนเรื่องนะจ๊ะ XD

กลับมาที่กราฟ ผมแสดงให้เห็นถึงจังหวะ อินโทร-ดำเนินเรื่อง-ไคลแมกซ์-เอาท์โทร ที่คล้ายกันของการ์ตูน 4 ช่องจบ 1 หน้าจบ และ 1 ตอนจบ ทำให้ผมมักแนะนำให้หน้าใหม่เขียนสั้นๆ ก่อน เพื่อฝึกกระบวนการนี้ให้คล่อง ก่อนจะเล่นของสูง เดินเรื่องยาว (ซีรี่ย์) *w*

เพราะกราฟความสนุกของเรื่องยาวจะเป็นดังภาพล่างสุดครับ ซึ่งมันก็คือการ์ตูนเรื่องสั้นจบในตอนที่เอามาต่อๆ กันนั่นเอง !!!
.........................................................................................................................



เห็นฮาวทูเขียนเรื่องสั้นของคุณ Plustina ก็เลยนึกได้ว่าตัวเองได้ไปให้ความหวังกับชาวบ้านไว้เยอะเหมือนกัน ;_; ขอโต้ดก๊าบ

ก็ตามคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มนี้นะครับ ค่อยๆ โพสสั้นๆ วันละนิด เผื่อมีคำถามเพิ่มเติมจะได้อธิบายเพิ่มในโพสถัดๆ ไป *w*

ภาพทางซ้าย (หรือบน) เป็นสิ่งที่ผมใช้บรรยายชาวบ้านเกี่ยวกับการเขียนเรื่องครับ นั่นก็คือ 3 องค์ประกอบสำคัญในการสร้างเรื่องนั่นเอง
ในที่นี้ขอกล่าวสรุปแต่ละหัวข้อสั้นๆ ก่อนนะครับ

3 องค์ประกอบสำคัญสำหรับผมในการเขียนเรื่องได้แก่ Character Theme และ Plot ครับ

Character หมายถึง ตัวละคร
การกระทำของตัวละครเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดเนื้อเรื่องต่างๆ หากเรากำหนดคุณสมบัติต่างๆ ของตัวละครได้ดีพอ (เช่น ชื่อ เพศ ฐานะ อาชีพ นิสัย สำนวนการพูด ความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นๆ ภูมิหลัง ฯลฯ) สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การเขียนเรื่องเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะเราไม่ได้สร้างบทบาทให้ตัวละคร แต่เป็นตัวละครที่เล่นตามบทบาทของมันเอง

Theme หมายถึง ธีมของเรื่อง
สภาพแวดล้อม หรือกฎเกณฑ์ ที่ถูกกำหนดไว้เพื่อเป็นขอบเขต (เริ่มต้น) ของเนื้อหาในการ์ตูน เช่น ธีมเกี่ยวกับการทำครัว ธีมเกี่ยวกับจักรยาน ธีมเกี่ยวกับการแข่งขันเกม ธีมเกี่ยวกับชีวิตบ้าๆ บอๆ ของคุณพ่อลูกสาม ธีมเกี่ยวกับโลกเวทมนตร์ อาจเพิ่มกฏปลีกย่อยอีกเช่นเป็นโลกเวทมนตร์ที่ถูกปกครองโดยเห็ดโคน ซึ่งการกำหนดธีมไว้แต่แรกจะช่วยให้เนื้อเรื่องของเราไม่หลุดโฟกัส ไม่ออกทะเล

Plot หมายถึง โครงเรื่องคร่าวๆ
ประโยคสั้นๆ แสดงทิศทางการเล่าเรื่องคร่าวๆ อาจมีประโยคสำคัญเขียนแทรกไว้ โดยส่วนใหญ่จุดเริ่มต้นกับไคลแมกซ์ของเรื่อง (หรือของตอนสำหรับการตูนซีรี่ย์) จะสมบูรณ์ก่อน ส่วนกลางเรื่องผมมักลงไม่ลึก ปล่อยให้ตัวละครลื่นไหลไปตามบทบาทเอง 

อีกอย่างที่ผมเพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ
Director (คำนึกภาษาอังกฤษดีๆ ไม่ทัน) หมายถึง ความสามารถในการเล่าเรื่อง
เป็นสกิลที่สำคัญที่สุดของนักเขียนเรื่อง เพราะนี่คือการเล่นกับคนอ่านว่าเราจะนำเสนอเนื้อเรื่องตรงจุดไหน ลำดับการเล่าเรื่องอย่างไร ถือเป็นทักษะเฉพาะตัว ดังคำกล่าวที่ว่า พล็อตเรื่องเดียวกัน นักเขียน 10 คน เขียนออกมาไม่เหมือนกันสักคน XP

วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อน โปรดติดตามรายละเอียดลึกๆ ได้ในโอกาสหน้าจ้ะ _(;3 j L)_
 
..........................................................................................................



เพราะพลังแฝงของพระเอกจะปล่อยออกมาตอนใกล้จบเท่านั้น
......................................................................................................................



มีความสุข ... สนุกในทุกวันของชีวิต

กิจกรรมหนึ่งที่ผมชอบทำทุกครั้งที่เปิดเฟสบุ๊คก็คือ ดูว่าวันนี้เป็นวันเกิดใครบ้าง และจะให้เวลากับการเขียนอวยพรเพื่อนๆทุกคน ด้วยประโยคเดิมๆ เหมือนกันในทุกครั้ง นั่นคือ ...

"Happy Birthday มีความสุข สนุกในทุกวันของชีวิตนะครับ"

ผมเชื่อว่าชีวิตคนเรานั้นในแต่ละจังหวะ ในแต่ละช่วงเวลา มีดีมีร้ายผ่านเข้ามา หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป ไม่มีใครโชคดีตลอด และในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีใครโชคร้ายทุกวัน

และด้วยเหตุที่ชีวิตคนเราไม่ได้ยาวนานอะไรนัก ผมจึงถือว่า การทำให้ตัวเองมีความสุข และรู้สึกสนุกได้ตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนเราควรนึกถึงในทุกวันตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ

สำหรับผม ผมชอบมองสิ่งต่างรอบตัวเป็นเหมือน "เกม" สักเกมหนึ่ง ที่น่าเล่น น่าลุ้น น่าลอง และท้าทาย ชนะก็ดีใจ แพ้ก็ไม่เป็นไร เพราะเรายังไม่ตาย พรุ่งนี้ก็เล่นใหม่ได้อีก

อย่างเวลาจะเปิดธุรกิจใหม่ให้ทำเงิน ผมก็จะมานั่งคิดและวางแผนว่า จะทำอย่างไรให้คนมารักมาชอบสินค้าและบริการของเรา เล่นเกมทายใจกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายว่าเค้าคิดอะไรและชอบอะไร

เวลาเลี้ยงลูก ผมก็คิดว่ามันเป็นเกมที่ต้องหลอกล่อให้ลูกอยากเรียน และอยากรู้ในสิ่งที่เราอยากให้เค้าได้รู้ เช่น ก่อนนอนผมชอบเล่านิทานที่แต่งเอง จินตนาการไปเรื่อยๆ แล้วแอบซ่อนเกมบวกเลข และทายคำศัพท์เข้าไปในนิทานเสมอ

" 5 + 4 เท่ากับเท่าไหร่ ถ้าตอบไม่ได้ข้าจะกินเจ้าสองพี่น้อง" เสียงหมาป่าคำรามขู่สองพี่น้องออกัสและจัสติน

หรือแม้กระทั่งตอนที่ครอบครัวผมเป็นหนี้หลายสิบล้าน ผมก็คิดว่ามันเป็นเกม ที่มีผมเพียงคนเดียวที่จะปกป้องครอบครัวจากปีศาจสินเชื่อเหล่านั้นได้ ทุกครั้งที่ปิดบัญชีหนี้ได้ 1 รายการ Level เราก็ up แล้วก็ได้ของวิเศษไปจัดการหนี้ก้อนต่อไป (หลังๆมีกดสูตร 555)

การมองอะไรๆ รอบตัวเป็นเกม ... ทำให้ชีวิตผมสนุก และมีความสุขอยู่เสมอ แม้ว่าปัญหานั้นจะหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ตาม

ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไร ไม่มีใครรู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้สำหรับตัวเองหรือเปล่า ดังนั้น จงอย่าปล่อยเวลาให้ชีวิตจมอยู่กับความทุกข์

เจอปัญหาครั้งต่อไป บอกกับตัวเองด้วยหน้าที่เปื้อนยิ้ม และหัวใจที่เข้มแข็งว่า

"ได้เวลาสนุกกับเกมใหม่อีกแว้วว นะฮ๊าฟ"
................................................................................................................

เมื่อสื่อตะวันตกมอง"การศึกษาไทย"ฝังราก"ระบบทหารกับเด็ก"-"นักเรียน"เริ่มท้าทาย-รบ.ล้างระบบ"

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1369822099&grpid=01&catid&subcatid
..................................................................................................................



ยุคนี้เป็นยุคออน์ไลน์ ไม่ปล่อยให้คนทำผิดลอยนวลได้อีกต่อไป ภาพรถคันนี้ ถูกตำรวจจราจรใช้กล้อง DSLR ถ่าย ขณะปาดรถคันอื่นที่แยกพัฒนะ และถูกออกหมายเรียกพร้อมส่งภาพไปดำเนินคดีถึงบ้านพัก เจ้าของรถจะไปต่อทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบก ปรากฏว่าถูกขึ้นอายัดทะเบียนตัวแดงโร่ ต้องมาเสียค่าปรับที่สถานีตำรวจ โดยเจ้าของรถแจ้งว่าไม่ทราบ เพราะลูกน้องเป็นคนขับแล้วเอาหมายไปเก็บไว้ไม่บอกเจ้านาย และถูกดำเนินคดีไปตามขั้นตอของกฏหมาย ซึ่งในวันนี้ได้มีการประชุมผ่านทางระบบคอนเฟอเรนซ์แจ้งไปยังตำรวจจราจรทั้งกรุงเทพฯ ให้ใช้กล้องในการตรวจจับกุมผู้กระทำผิดกฏจราจร โดยเฉพาะพวกนักปาด นักเบียด นักแทรก ซึ่งกำลังมีการฝ่าฝืนกันอย่างมากทั่วกรุงเทพมหานคร และส่งภาพพร้อมหมายเรียกไปจัดการตามกฏหมาย ถ้าไม่ยอมมาถูกดำเนินคดี อายัดทะเบียนไปยังกรมการขนทางบกตามขั้นตอน เวลาไปต่อทะเบียน จะถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ยุคนี้เป็นยุคที่มีการออน์ไลน์ทั่วประเทศไทย จะลอยนวลกันแบบสมัยก่อนไม่ได้แล้วครับ
...........................................................................................................................



7 หลักการโฆษณาชวนเชื่อ

อ้างอิง :
http://terasphere.exteen.com/20080923/entry?n=y
http://en.wikiquote.org/
http://en.wikipedia.org/wiki/Propaganda
http://www.holocaustresearchproject.org/holoprelude/nazprop.html

กิติมา สุรสนธิ. การสื่อสารสาธารณมติ. คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550.

  • Piyawatana Yosyingyong สรุป ผู้สื่อเค้าไม่คิดบ้างเหรอครับว่าผู้รับสื่อก็มีสมอง

  • Supapong Wanitpongpan บัวมีหลายเหล่านะครับ 
    พวกที่รับสื่อแล้วเชื่อเลยก็มาก 
    ใช้อคตินำจนขาดการวิเคราะห์แยกแยะก็เยอะ

    ไม่ถูกหรือครับ 

  • Thinnakorn Tankaya เลยคำว่าอคติไปแล้วครับ มันคือความเกลียดชัง

..............................................................................................................

.............................................................................................................................

.............................................................................................................................


นิสัยคนไทย 41 แบบ

ด้วย บุคลิกของคนไทย ที่ไม่นิยมการเผชิญหน้าหรือมีความขัดแย้งกับคนอื่นๆ การประนีประนอมจึงมีสูงในสังคมไทย แต่ใช่ว่าการประณีประนอมหมายถึง การยอมรับของแต่ละฝ่าย เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างเก็บข้อข้องใจไว้รอระเบิดออกมามากกว่า

การ แสดงความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซด์ อันหมายความว่าไม่ต้องเปิดเผยตัวตนของตนเอง จึงเป็นช่องทางที่สะท้อนความคิดเห็นของคนไทย ที่ตรงไปตรงมามากที่สุดช่องทางหนึ่ง ลักษณะนิสัยของคนไทยจากเว็ป จึงเป็นการมองคนไทย ด้วยคนไทยที่น่าจะตรงไปตรงมาที่สุด

จาก การรวบรวมจากเว็บไซด์ยอดนิยม มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคนไทย หลายๆความคิดที่พอสรุปเป็นลักษณะที่มีการพูดถึงบ่อยๆ บนเวปไซด์ได้ทั้งสิ้น 41 ลักษณะนิสัย ดังนี้

1. มีแต่คำด่า ไม่เคยมีคำเสนอแนะ
2. ปากไม่ตรงกับใจ ทำอย่างหนึ่ง แต่ปากด่าอีกอย่าง
3. ชอบทำตามกระแส
4. ไม่มีใครรุกราน ก็จะตีกันเอง แต่ถ้ามีใครมารุกราน ก็จะรวมใจกันเป็นหนึ่ง
5. วัวหายล้อมคอก
6. ไม่มาทวงก็เพิกเฉย
7. เมื่อมีปัญหา ก็มักไปกราบไหว้บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์
8. ไม่ค่อยสงสัย หรือสงสัยก็ไม่ถาม แต่ติ-วิจารณ์เก่ง
9. หากจำเป็นจริงๆ ก็ทำจนได้ แต่ต้องมีผู้นำ ที่กล้าคิด กล้าทำ นำหน้าก่อน
10.มีความยืดหยุ่นสูง ให้อภัยกันเสมอ 11.ถ้าบอกว่าผิด เดี๋ยวคนนั้นว่าคนนี้ว่า
12.อยากทำเท่ ต้องซื้อรุ่นใหญ่สุด กินขวดใหญ่สุด
13.มีคู่แข่งเปิดมา ตัดราคาแย่งลูกค้าคุณ
14.มักนิยมแบ่งชนชั้น
15.ไทยมุง ต้องเล่าให้เป็นเท่าตัว กว่าเหตุที่เกิดขึ้น จะได้ตื่นตัวเร็วขึ้น
16.ชอบซิกแซ๊ก
17.ชอบหลอกเด็กๆ ถึงเรื่องผีๆ จับกลุ่มกัน ก็พูดถึงเรื่องผี ชอบดูหนังเกี่ยวกับผี
18.ชอบของฟรี
19.แก้ยาก ขี้โกงก็หนึ่งล่ะ ไม่ชอบเสียเปรียบคนอื่น ก็อีกหนึ่งล่ะ
20.ชอบและพร้อมที่จะเชื่อเรื่องเสียหายก่อนเสมอ ทำให้เราสะใจ
21.ขี้อิจฉา คิดว่าความเห็นของตัวเองดีและถูกทุกอย่าง ไม่ชอบเห็นใครประสบความสำเร็จหรือดีเกินตัวเอง
22.มาสาย นัดแล้ว ไม่ตรงเวลา
23.หัวเราะแบบแห้งๆ "ฮะๆ" เพราะไม่รู้จะพูดอะไร หัวเราะหรือยิ้วไว้ก่อน
24.ช่างหัวมันเถอะ
25.ได้แต่นึกจะเอาเปรียบ แต่พอเขาจับได้ ก็มาโวยวาย
26.ยิ่งห้ามยิ่งยุ
27.คิดแต่จะค้าน คิดแต่จะจับผิด
28.รอคนอื่นยกมือก่อน แล้วค่อยยกมือตาม
29.ใครอย่าได้พลาดมาเชียว ไม่ว่าจะโกหกหรือไม่โกหก ก็โดนทับถมอยู่ดี ดีแต่ตัว ชั่วแต่คนอื่น
30.ไม่พกพวกตารางเดินรถ แผนที่ เวลาไปไหนมาไหน ถามชาวบ้านหรือพนักงานตลอด
31.จะสงวนสิทธิ์ก็ไม่ได้ เพราะยังไงก็ต้องมีคนก๊อปอยู่ดี
32.ผลัดวันประกันพรุ่ง
33.พ่อแม่ทำไม่ได้ เลยฝากความหวังไว้กับลูก
34.บังคับให้เรียนรู้ไม่ได้ ต้องหลอกล่อให้สนุก ใช้ความสะดวกสบาย
35.เดี๋ยวก็ลืม
36.ไม่ชอบคนที่รวยกว่า ไม่ยอมรับความจริง ชอบเชียร์มวยรอง หมดปัญญา
37.มักง่าย เห็นแก่ตัว บางคนนึกจะจอดรถตรงไหน ก็จอด
38.นินทาว่าร้าย ชอบยุ่ง ชอบแส่งานคนอื่น เพราะอิจฉา
39.ต้นตระกูลของการปฎิเสธ
40.ชอบพูดคำว่า "ไม่" ก่อนจะทัน ได้ใช้สมองคิดเสียอีก
41.ทั้งที่รู้ตัวว่าทำผิด แต่พอคนมาพูด ก็ตีความว่าเป็นคำด่า ไม่ยอมรับแก้ตัวสารพัด โยนความผิดให้คนอื่น

และ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การด่าใครแต่อย่างใด เพียงแต่ให้ดูว่าเราโดนที่ข้อไหนบ้าง อะไรที่ดีอยู่แล้วก็ทำให้ดีขึ้น อะไรที่ไม่ดีเราก็นำเอาไปพัฒนาให้ดี เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

ที่มา : บลอกของ redviking / yenta4
................................................................................................................


แพทย์ชนบท นัดชุมนุมผู้ป่วยล้างไตหน้าบ้านนายกฯ ปู การเมือง หรือเดือดร้อน ???

บทความโดย...ลูกชาวนาไทย

ตอนเริ่มต้นการทำงานของชีวิตใหม่ ผมเคยได้มีโอกาสทำงานเป็นบุคคลากรด้านสาธารณสุขในระดับล่างสุดของกระทรวงสาธารณสุข ที่เขาเรียกกันแบบสุภาพๆ ว่า "พวกน้องเณร" ทั้งหลาย ทำให้ผมมีความรู้ความเข้าใจการทำงานด้านสาธารณสุขในระดับชุมชนมากพอสมควร เรียกว่ารากฐานความรู้ช่วงต้นๆ มาจากตรงนั้นเลยก็ได้

ผมได้ยินข่าวว่า "ชมรมแพทย์ชนบท" จะเอาผู้ป่วยล้างไต ไปประท้วงหน้าบ้านนายกฯปู ผมก็เริ่มรู้สึกแปลกใจว่า "เกิดอะไรขึ้น"

มีปัญหาอะไรกันในวงการสาธารณสุขที่ใหญ่โตขนาดนั้น จากที่ไม่สนใจข่าวนี้ทำให้ผมต้องกลับไปค้นว่า "รากฐานที่มาของปัญหามันคืออะไรกันแน่"

แพทย์ชนบทนั้น คือแพทย์จบใหม่ทั้งหลายที่ต้องใช้ทุนรัฐบาลที่เข้าเรียนแพทย์ซึ่งเป็นการ "ได้รับทุนทั้งหมด" แพทย์ทุกคนต้องใช้ทุนโดยการรับราชการอย่างน้อย 4-5 ปีนี่แหละก่อนจะลาออกไปทำงานโรงพยาบาลเอกชนได้ ช่วงปี 2520-2530 เป็นช่วงที่ประเทศไทยทุ่มงบประมาณพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศเป็นอย่างมาก มีการสร้างโรงพยาบาลอำเภอเกือบทุกอำเภอ เป็นโรงพยาบาลขนาด 10 - 60 เตียง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะส่งแพทย์จบใหม่ ไปประจำตามอำเภอเหล่านั้น ซึ่งสมัยก่อนเราได้ยินเรื่องดังๆ เช่น หมอเมืองพร้าว เป็นต้น

บุคคลากรสาธารณสุขต่างๆ รวมทั้งแพทย์ชนบทมี Idol ที่เคารพมากคือ "นายแพทย์ประเวศ วะสี" เพราะช่วงปี 2520-2540 หมอประเวศทุ่มเทงานด้านสาธารณสุขมาก ผู้นำแพทย์ชนบทยุคนั้นที่ได้ยินชื่อเช่น น.พ.วิชัย โชควิวัฒน๋ เป็นต้น

การขยายตัวไปชนบทนั้นแพทย์ได้รับความนับถือจากชาวบ้านมาก เพราะเหมือน "พ่อพระ" มาโปรด คนยากคนจน แพทย์ชนบทจึงได้รับความนับถือจากชาวบ้าน ยิ่งมีการขยายงานสาธารณสุขมูลฐาน การอบรม ผสส./อสม. ที่เอาชาวบ้านมาอบรมด้านสาธารณสุขแล้วให้ช่วยเหลือเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข ขยายเต็มทุกหมู่บ้าน

เมื่อแพทย์ชนบทเปรียบเสมือนผู้ให้ จึงมีความรู้สึกว่าเหนือกว่าชาวบ้านที่เป็นผู้รับทั้งหลาย

มาถึงยุคนายกฯทักษิณ ชินวัตร นโยบายสาธารณสุขเปลี่ยนไปจากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งจริงๆ คือ การนำเอาระบบ Comprehensive Health Care System=CHCS แบบอังกฤษมาใช้ สรุปคือ "ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของทั้งสังคมนั้น รัฐ (ก็คือสังคม) จะเป็นผู้จ่าย (เรียกระบบ Single Payer) จะไม่มีการจ่ายตรงจากประชาชนอีกต่อไป

การรักษาพยาบาลกลายเป็น "สิทธิของประชาชน" ที่รัฐจะต้องจัดหามาให้

ระบบการแพทย์ก็เปลี่ยนไปจาก การแพทย์แบบประชาสงเคราะห์แพทย์/พยาบาลเหมือนผู้ให้ มีสถานะสูงกว่าผู้รับคือ ชาวบ้านที่ต้องมาข้อรับการสงเคราะห์นั้น

ระบบใหม่ "บริการด้านการแพทย์เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่รัฐจัดหาให้" แพทย์พยาบาลเปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้ให้" มาเป็น "ผู้บริการ" ซึ่งถือเป็นหน้าที่ ส่วนประชาชนกลายเป็นผู้มีสิทธิ์ในการรับบริการ ไม่ใช่มาขอแบบอนาถาอีกต่อไป

ผู้รับจึงมีเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความเสมอภาค

แน่นอนระบบใหม่นี้บุคคลากรบางส่วนย่อมไม่พอใจ

ยุคนายกฯปู ปี 2555 ประเทศไทยเปลี่ยนเป็นประเทศที่กำลังเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม รายได้ระดับกลาง กำลังติดกับดัก Middle income Trap ที่จะต้องทะลวงผ่านให้ได้ รัฐบาลจึงมีนโยบายเป็นศูนย์กลางต่างๆ เช่น ยานยนต์

และโชคดีที่ระบบการแพทย์และสาธารณสุขของไทยได้รับความนิยมมาก มีเศรษฐีต่างๆ จากทั้งอาหรับและคนมีฐานะดีในภูมิภาคอาเซียน เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนมาก ยินดีจ่ายไม่อั้น ระบบการแพทย์ไทยจึง "สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศจำนวนมาก" เช่นเดียวกับการนวดแผนไทย สปา ที่นักท่องเที่ยวนิยม

รัฐบาลนายกฯปู จึงมีนโยบาย Medical Hub หรือ "การเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านการแพทย์ในอาเซียน" เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การจ้างงานบุคคลากรในด้านการแพทย์ การสาธารณสุขต่างๆ จำนวนมาก รวมทั้งการพัฒนาระบบการแพทย์ไทยให้ก้าวหน้าอยู่ในระดับแนวหน้า

การทำตามนโยบาย Medical Hub จึงต้องปรับตัวหลายด้าน เช่น การผลิตยา ก็ต้องส่งเสริมให้บริษัทใหญ่ๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อต้นทุนลดลง หรือมีการใช้ทรัพยากรในประเทศ เช่นสมุนไพร เป็นต้น

แน่นอน มันย่อมขัดผลประโยชน์รัฐวิสาหกิจที่ผูกขาดในการผลิตยาของไทย คือ "องค์การเภสัชกรรม" (ก็เหมือน ปตท.ที่ผูกขาดตลาดแก๊สธรรมชาตินั่นแหละ) การเปิดเสรีด้านการผลิตยา ย่อมขัดผลประโยชน์องค์การเภสัชกรรม แรงต้านจากกลุ่มผู้บริหาร และคนทีเกี่ยวข้องจึงมี และการปลด นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ออกจากผู้อำนวยการองค์การเภสัชฯ น่าจะเป็นการจุดชนวนความไม่พอใจอันหนึ่ง ของกลุ่มผลประโยชน์ที่ผูกขาดตลาดการผลิตยาแต่เพียงเจ้าเดียวอยู

จริงๆ นโยบาย Medical Hub ไม่ได้ขัดแย้งกับระบบบริการด้านการแพทย์ในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค CHCS เพราะรัฐบาลยังบริการประชาชนด้วยระบบนี้อยู่ อาจมีการดึงบุคคลากรกันระหว่าง รพ.เอกชน กับ รพ.รัฐ ทางแก้ก็คือ ต้องผลิตบุคคลากรให้เพียงพอในระยะยาว

ประเด็นเรียกร้องของแพทย์ชนบทที่จะเอาผู้ป่วยล้างไตไปประท้วงหน้าบ้านนายกฯ หลังจากที่ผมดูข้อเรียกร้องทั้ง 5 ข้อของแพทย์ชนบทแล้ว ผมงงๆ

(ข้อเรียกร้องอยู่นี่ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1366877017&grpid=00&catid=00 )

เพราะผมว่ารัฐบาลสามารถเจรจากันได้ เหมือนที่ นายกฯปู ตอบสนองเจรจากับม็อบปากมูล ที่ไปบุกทำเนียบเมื่อเดือนที่แล้ว และการเจรจาก็จบได้อย่างดี พึงพอใจทั้งสองฝ่าย

ผมคิดว่า นายกฯปู คงพร้อมที่จะเจรจากับแพทย์ชนบท

ส่วนเรื่องการเรียกร้องให้ ยุติโครงการ Medical Hub และปลด รมว.สาธารณสุข นั้นผมว่ามันเกินไป มันเป็นการเคลื่อนไหวในบริบททางการเมือง แนวคิดทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องความเดือดร้อน และแนวคิดล้าหลังกว่าชัดๆ

ยิ่งเห็นชื่อ น.พ.วิชัย โชควิวัฒน์ และอดีตแกนนำแพทย์ชนบทอื่นๆ ที่เชื่อมโยงไปถึง น.พ.ประเวศ วะสี อะไรพวกนี้แล้ว ผมรู้สึกทะแม่งๆ ว่านี่มันเป็น "ยุทธการทางการเมืองเพื่อโค่นล้มรัฐบาลนายกฯปู" เป็น "แนวรบอีกสาขาหนึ่งของพวกอำมาตย์" หรือเปล่า

ข้อเรียกร้องก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลมากมายแต่อย่างใด เพราะมันเจรจากันได้ ไม่ถึงกับต้องเอาผู้ป่วยฟอกไตเป็นเครื่องมือ

ยิ่งอ้างว่าทักษิณซื้อ รพ.เอกชน ด้วยแล้ว ข้อเท็จจริงมันไม่ใช่ วงการเขารู้กันอยู่ว่า กลุ่มทุน รพ.เอกชนนั้นเชื่อมโยงกับอำมาตย์ ไม่ใช่ทักษิณ

แต่ข่าวล่าสุดคือ กลุ่มแพทย์ชนบท ได้คุยกับฝ่ายรัฐบาลแล้ว และประกาศเลื่อนการชุมนุมหน้าบ้านนายกฯ ไปอีกสองสัปดาห์

ก็ดีครับหากเป็นปัญหาความเดือดร้อน และรัฐบาลพร้อมที่จะคุยเพื่อหาทางออกในการกแก้ปัญหา ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะไม่มีปัญหาใดที่คุยกันไม่ได้

การเจรจา ก็ต้องดูว่าผลประโยชน์รวมของประเทศชาติเป็นอย่างไร จะแก้ปัญหาร่วมกันอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

อย่าให้เป็นปัญหาการเมือง หรือนโยบายแนวคิดทางการเมืองเลยครับ เพราะนโยบายและแนวคิดนั้นควรเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นผู้ตัดสิน

เพราะรัฐบาลได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนให้มาทำตามที่เขาสัญญากับประชาชนไว้
...................................................................................................................



ความรู้สึกดีๆ บางทีก็ให้เปล่า
(อาจไม่ซาบซ่าอย่างใครๆ แต่ก็ทำให้เธอชื่นใจได้เหมือนกัน)
...........................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น